Page 87 - ธาดา ยิบอินซอย
P. 87

ี่
                                                                   ี่
                                                      ู้
                                        ่
                                                                             ู้
                     4. พูดในหัวข้อทเร�คิดว�นักศึกษ� “ต้องร” ไม่ใช่ในหัวข้อทเข�สนใจจะร  (นักศึกษ�
               แพทย์รู้ไหมว่�อะไรที่เข�ต้องรู้ ?)
                     5. นักศึกษ�ไม่มีโอก�สซักถ�ม
                     จ  �กนี้ก็สรุปได้ว่� ผู้พูดและผู้ฟังอ�จใช้คนละ “คลื่น” (wave length) และผู้ฟังไม่
               ได้ใช้ผมเป็นแหล่งวิช� (resource person) คว�มผิดอยู่ตรงไหน ผู้สอน? คือ ใช้เทคนิค
               ผิด ไม่มีคว�มรู้ม�กพอ อยู่ที่ผู้ฟัง ?  คือ อ�ย ไม่เตรียมตัว ไม่สนใจในคว�มรู้ สนใจเพียง
               ให้สอบผ่�น อยู่ที่ lecture ? คือ เป็นวิธีสอนที่ไม่ดี ไม่ว่�จะปรับปรุงอย่�งไร หรืออยู่ที่วิธี

               ประเมิน ? เช่น เอ�อะไรเป็นเกณฑ์
                     มีข้อสังเกตอื่นซึ่งอย�กให้เอ�ม�ใช้ประกอบก�รสรุป
                     พวกเร�ส่วนม�กเมื่อไปฟัง lecture ในส�ข�ที่เร�สนใจและที่เร�มีคว�มรู้อยู่บ้�งแล้ว
               เร�เรียน style ที่เข�พูด หรือต�มเนื้อห� ? ถ้�ฟังไม่เข้�ใจทุกตอน (เช่น ผู้พูดใช้ภ�ษ�
               อังกฤษ)  เร�จะไปอ่�นเพิ่มหรือซักถ�มหรือเปล่� ฟังแล้วจำ�ได้หรือเปล่� Motivation ของ
               ก�รฟังและของก�รจำ�นั้นม�จ�กไหน ผิดกับ motivation ของนักศึกษ�แพทย์ / แพทย์
               ประจำ�บ้�นอย่�งไร

                     เร�เคยไปฟัง lecture หรือฟังเทศน์ ในหัวข้อซึ่งเร�มีคว�มรู้น้อยหรือในหัวข้อที่ไม่
                              ์
               เกยวกับก�รแพทย และก็สนุกกับก�รฟังไหม ? บ�งทียังส�ม�รถจำ�บ�งวรรคได้อย�งแม่นยำ�
                                                                              ่
                 ี่
               ในกรณีนั้นเร�ได้คว�มรู้เพร�ะอะไร  ?  จ�กหัวเรื่อง  หรือเพร�ะเร�สนใจ  หรือเพร�ะเข�
               พูดเก่ง เคยไหมในท�งตรงข้�ม ไปฟังเรื่องซึ่งเร�สนใจ แต่แล้วฟังไม่รู้เรื่อง หรือจับใจคว�ม
               ไม่ได้ สุดท้�ย คงเคยฟัง lecture ซึ่งเพียงแต่จำ�ได้ว่�สนุกและน่�สนใจ แต่เมื่อม�พย�ย�ม

                                                                      ็
                                                ้
                                   ่
               ทบทวนก็ไม่ส�ม�รถจำ�ว�พูดในหัวข้อใดบ�ง  ถ้�เคยประสบเช่นนั้นกอย�กถ�มว่�ท่�นไป
               หลงท�งตรงไหน




                       ที่คิดว่า lecture ไม่มีประโยชน์กับนักศึกษานั้น

                      อาจเป็นการตัดสินที่มี bias (คือ ไม่มีการศึกษา

                       อย่างแท้จริง) เราเองก็ยังไปฟัง lecture อยู่

                    และก็ได้ความรู้ เป็นไปได้หรือเปล่าว่า จุดที่ต้องเสริม

                     ในเรื่องนี้อาจอยู่ที่การเตรียมตัวของผู้ให้ lecture

                                        และผู้ฟัง lecture







                                                   86

                                             ครูแพทย์ผู้ประเสริฐ
   82   83   84   85   86   87   88   89   90   91   92