Page 83 - ธาดา ยิบอินซอย
P. 83

ปัญหาของการเรียนการสอนชนิดนี้อยู่ที่ครู

                           (การสอน) มากกว่านักเรียน (การเรียน)






               ถนัดของตนเอง สื่อในที่นี้อ�จเป็นชนิด CAL (computer assisted learning), VDO,
                                                          ้
                            ุ่
               ก�รเรียนจ�กกลม ฯลฯ ปัญห�ของสอก็คือครูเองต้องสร�งและ update และคณะต้องมีแหลง ่
                                           ื่
               สำ�หรับก�รเรียนชนิดนี้ ข้อดีอื่นก็คือก�รใช้ครูอย่�งคุ้มค่� ผมอย�กให้ใช้ก�รเรียนชนิดนี้ ในปี
               1-2 ม�กขึ้น โดยเฉพ�ะสำ�หรับนักศึกษ�ที่ “ด้อย” ก�รศึกษ� (ไม่ด้อยปัญญ�ที่จะเป็น
               หมอ) และที่เร�ส�ม�รถตกลงก่อนว่�จะใช้ 3 ปี สำ�หรับเรียนปี 1 และ 2 คือ เข�เรียนเอง
               จน “ผ่�น” โดยรู้จริง
                     ส่วนก�รเรียนด้วยตนเองชนิด problem based หรือ integration นั้น ผมอย�กจะ
               เน้นเหตุผล :
                     1. หล�ยภ�คสอนหัวข้อเดียวกัน (เช่น pain, fever, cancer) และอ�จสอนต่�งแนว

               หรือให้ข้อคว�มไม่ตรงกัน นักศึกษ�จะงง (horizontal disintegration) เพร�ะไม่เข้�ใจว่�
               สิ่งเหล่�นี้ไม่จำ�เป็นต้องมีคว�มเห็นพ้อง
                     2. หล�ยคณะหรือภ�ค (จ�ก basic ถึง clinical) สอนโดยที่แต่ละฝ่�ยไม่พย�ย�ม
               ผสมผส�นให้เป็นเรื่องเดียวกัน (vertical disintegration) ทำ�ให้นักศึกษ�งง และก็เรียน
               เกินคว�มจำ�เป็น

                     3. นักศึกษ�แพทย์ได้ข้อมูลชนิด rote ม�กไป โดยที่ครูไม่ตระหนักคว�มรู้เพิ่มพูน
               รวดเร็วจนไม่มีท�งต�มทัน ทั้ง ๆ ที่พย�ย�มเรียนตลอดชีวิต (perpetual learning)
                                               ิ่
                                          ี้
                              ่
                                                      ี่
                                                 ี่
                                                                             ื่
                     ผมจึงมองว�ก�รเรียนชนิดนเป็นสงทหลีกเลยงไม่ได้ในยุคน ไม่ว�จะเป็นชออะไร 218
                                                                      ่
                                                                  ี้
               ปีที่แล้วม� Samuel Johnson เขียนว่� “มีคว�มรู้สองชนิด หนึ่งคือรู้เอง สองคือรู้ว่�ไปห�
               ได้ที่ไหน” ปัญห�ของก�รเรียนก�รสอนชนิดนี้อยู่ที่ครู (ก�รสอน) ม�กกว่�นักเรียน (ก�ร
                                                                                 ่
                                      ู
                                                                         ่
               เรียน) จริงอยนักศึกษ�ทได้ถกสอนชนิดท่องจำ�อ�จปรับตัวลำ�บ�ก แต่คิดว�ปรับได้ง�ยกว�
                                                                                     ่
                                   ี่
                          ู่
               ที่คิด (พวกเร�ที่เรียนในรูปแบบท่องก็หันกลับม�ใช้ problem based เองเมื่ออ�ยุม�กขึ้น)
               ปัญห�ที่ครูก็คือ ครูเลือกท�งง่�ยเป็นท�งออก สอนให้คิดนั้นย�ก สอนโดยไม่ให้ content
                                                              ่
                                                          ั
               ลำ�บ�ก  สอนให้เข�รู้ว่�เร�ก็ไม่รู้นั้นทำ�ให้อ�ย  จะยกตวอย�งให้เห็นว่�บ�งทเร�ก็ทำ�สิ่งซึ่ง
                                                                            ี
               ขัดกับจุดปล�ยท�ง เร�สอน PBL แต่แล้วก็สอบโดยใช้ multiple choice เพร�ะคงไม่
                                                                   ้
               อย�กเสียเวล�ตรวจข้อสอบชนิด  essay  หรือกลัวว�ไม่ยุติธรรมถ�เร�สอบชนิดสัมภ�ษณ์
                                                        ่
               เมื่อเร�สอบโดยใช้ content เป็นหลัก นักศึกษ�แพทย์หรือแพทย์ที่สอบประก�ศนียบัตรชั้น
               สูงก็เลยท่อง content แล้วก็ลืมหลักของ life-long learning
                                                   82
                                             ครูแพทย์ผู้ประเสริฐ
   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88