เครื่องถมเมืองนคร
 
Back    20/02/2020, 13:46    391  

หมวดหมู่

งานฝีมือ


ความเป็นมา/แหล่งกำเนิด


ภาพจาก :
มรดกวัฒนธรรมภาคใต้, ม.ป.ป., ๑๕๗     

         เครื่องถมไทยนับเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุที่สําคัญอย่างหนึ่ง เพราะเครื่องถมเป็นผลผลิตของงานประณีตศิลปวันทรงคุณค่าของไทยและเป็นสัญลักษณ์ของชาติไทยที่ได้แพร่หลายไปทั่วโลก สำหรับจุดกำเนิดของเครื่องถมในประเทศไทยนั้น ยังหาหลักฐานที่แน่นอนชัดเจนยังไม่พบ แต่สามารถจะอนุมานได้จากหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่บันทึกไว้มาแต่โบราณ ซึ่งปรากฏในกฎมณเฑียรบาล ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีแห่งหนึ่งที่กล่าวว่า...
          “ขุนนางศักดินา ๑๐,๐๐๐ กินเมือง กินเจียดเงินถมยาดำรองตะลุ่ม” จึงทําให้สรุปได้ว่าเครื่องถมดํานี้เป็นของไทยเรา คิดทําได้ตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น คือระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑) มีหลักฐานยืนยันว่าได้โปรดรับสั่งให้จ้าเมืองนครศรีธรรมราช จัดหาช่างถมชาวเมืองนครศรีธรรมราช ที่มีฝีมือเข้าทําเครื่องถมส่งไปบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเครื่องถมดําลายอรหันต์ ปรากฏในจดหมายเหตุของฝรั่งเศสว่า...
        "เจ้าพระยาวิชาเยนท์เป็นผู้ออกแบบและในรัชกาลนี้ได้ส่งทูตานุทูตสยามไปถวายบรรณาการ คือกางเขนถมฝีมือช่างชาวนคร พร้อมด้วยพระราชสาสน์ต่อโปป ณ กรุงโรม และในการเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ ราชทูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคํารับราชสาสน์ ราชสาสน์ม้วนบรรจงไว้ในผอบทองคําลงยาราชาวดีอย่างใหญ่ลงผอบนั้น ตั้งอยู่ในหีบถมตะทอง หีบถมตะทองตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้าทองคํา อุปทูตเชิญเครื่องมงคลราชบรรณาการ ตรีทูตเชิญของถวาย (ของ) เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ มีถุงเข็มขาบพื้นเขียวหุ้ม ๑ ถุง ตั้งอยู่บนพานถมตะทองคําสําหรับถวายโปป"  เมื่อท่านโกศาปานผู้เป็นราชทูตไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นั้น บาทหลวงเดอวิเซ บันทึกไว้ว่า...
          “ที่โรงเรียนช่าง
ทองนั้น ท่านราชทูตก็เข้าไปดูบ้างเหมือนกัน แต่ดูอยู่ไม่นาน เพราะการช่างทองท่านเข้าใจดิบดีมาแต่ กรุงสยามเสียแล้ว" ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ได้มีหมอชาวเยอรมันชื่อเอเยล เบิร์ต แทมปเฟอร์ มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา ๒๓ วัน ในปี พ.ศ. ๒๒๓๓ ได้เขียนบรรยายสภาพของกรุงศรีอยุธยาไว้ตอนหนึ่งว่า...     
           “ถนนสายกลางซึ่งแล่นเหนือขึ้นไปยังพระราชวังนั้นมีผู้คนอยู่กันคับคั่งที่สุด แน่นขนัดไปด้วยร้านค้าร้านช่าง ศิลปะหัตถกรรมต่าง ๆ” จากหลักฐานเหล่านี้นี้ก็เป็นการยืนยันถึงความเจริญของช่างเงินช่างทองในยุคนั้นเป็นอย่างดี สืบต่อมาจนแผ่นดินพระเพทราชาก็ยังมีการทําเครื่องถมกันอยู่อย่างหนาแน่น
ศิลปหัตถกรรมของกรุงศรีอยุธยา มาจากชาวอินเดีย ชาวอาหรับ และชาวโปรตุเกส ที่เดินทางมาค้าขายก็เป็นไปได้
          ระยะที่ ๒ คือหลังจากระยะแรก ๙ ปี (คือในปี พ.ศ. ๒๐๖๑) เมื่อพระเจ้ามานูเอลแห่งกรุงโปรตุเกส แต่งทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยานั้น ได้ทรงอนุญาตให้ฝรั่งชาวโปรตุเกสเป็นชาติแรกเข้ามาตั้งทําการค้าในราชอาณาจักรไทยได้ ๔ เมือง คือกรุงศรีอยุธยา นครศรีธรรมราช ปัตตานี และมะริด เมืองนครศรีธรรมราชนั้นก็เช่นเดียวกันกับเมืองอื่น ๆ  เมื่อได้มีการติดต่อกับเมืองโปรตุเกสก็ได้รับเอาวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของโปรตุเกสไว้ อาทิ การชนวัว และศิลปหัตถกรรม เชื่อว่าชาวโปรตุเกสได้ถ่ายทอดวิชาทําเครื่องถมให้ชาวนครศรีธรรมราช สินค้าเครื่องถมก็ได้แพร่เข้ากรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็ปรากฏว่าเครื่องถมนครได้รับความนิยมอย่างยิ่งในราชสํานักของสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)  จากหลักฐานที่กล่าวว่าโปรตุเกสเป็นผู้นำศิลปหัตถกรรมมาถ่ายทอดในประเทศไทยนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้ทรงสนพระทัยและทรงสืบค้นถึงเครื่องถมไว้หลายครั้งด้วยกัน โดยทรงกล่าวไว้ว่า...
         "เคยได้ทรงพบหนังสือฝรั่งทืี่ไว้ว่าชาวยุโรปได้วิชาทําเครื่องถมไปจากประเทศ อิหร่าน (เปอร์เซีย) ข้อนี้ก็ใกล้เคียงกับข้อความที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตามข้าพเจ้ายืนยันว่าในอิหร่านนั้น ข้าพเจ้าพบแต่เครื่องยาสีคือเป็นเครื่องเงินลงยาสีดําและลงยาสีอื่น ๆ ไม่ใช่ยาลงยาถมแน่นอน เครื่องยาถมจะมีหรือไม่นั้นไม่ปรากฏหลักฐานให้ค้นได้ 
เมื่อกล่าวถึงเรื่องโปรตุเกสแผ่อิทธิพลมาทางตะวันออก ก็ขอย้อนกล่าวถึงการที่โปรตุเกสได้มีเมืองขึ้นอื่น ๆ ในตะวันออกนี้ไว้ให้ปรากฏคือก่อนได้เมืองมะละกา โปรตุเกสได้เมืองกัว เมืองดาเมา เมืองผิว ในอินเดียตอนใต้ในปี พ.ศ. ๒๐๔๘  และปกครองอยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ รวมถึง ๔๕๖ ปี ก็ไม่ปรากฏว่าโปรตุเกสได้ทิ้งมรดกการทําเครื่องถมไว้ในดินแสนนี้เลย หลังจากได้มะละกาโปรตุเกสก็ขยายอิทธิพลเข้าครอบครองมาเก๊าบนฝั่งประเทศจีนในปี พ.ศ. ๒๑๐๐ และครอบครองมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ก็ไม่ปรากฏร่องรอยว่ามีศิลปหัตถกรรมอะไรของโปรตุเกสที่เป็นเครื่องถมให้เห็นเลย ต่อจากมาเก๊าโปรตุเกสก็เข้าครอบครองเกาะติมอร์เป็นเวลาถึง ๓๙๖ ปี ก็ไม่ปรากฏเช่นเดียวกันรตุเกสได้เคยมีศิลปหัตถกรรมเครื่องถมทิ้งให้เห็นร่องรอยไว้เลย จนอาจกล่าวได้ว่าทุกดินแดนที่กล่าวมาแล้วมีแต่ศิลปหัตถกรรมเครื่องเงินล้วน ๆ เป็นส่วนใหญ่ และมีเครื่องลงยาสีอยู่บ้าง เท่านั้น แต่ไม่มีเครื่องถมแน่นอน"... จากข้อพิสูจน์ดังกล่าวแล้วจะมีหลักฐานอะไรให้เราพอเชื่อได้ว่า โปรตุเกสได้นําศิลปหัตถกรรมเครื่องถมมาสู่นครศรีธรรมราช อันเป็นนครโบราณที่มีชื่อว่า “ตามพรลิงค์” และเจริญรุ่งเรืองก่อนเกิดโปรตุเกสถึง ๑๐๐ ปี (กล่าวคือประเทศโปรตุเกสเกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. ๑๒๐๐) และในเมื่อโปรตุเกสเองก็ไม่ได้มีศิลปหัตถกรรมเครื่องถมให้ปรากฏ ทั้งในเมืองแม่และเมืองขึ้นแต่สักอย่างเดียวทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีผู้รู้หลายท่านระบุว่าไทยได้รับศิลปหัตถกรรมเครื่องถมมาจากอินเดีย เป็นที่ยอมรับกันว่าอินเดียหรือชมพูทวีปนั้นเป็นแหล่งเกิดของวัฒนธรรมที่ไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้รับมาหลายประการ แต่อินเดียเองก็ได้รับวัฒนธรรมบางประการจากชาติอื่น เช่น ในปี พ.ศ. ๒๑๖ อินเดียก็ถูกพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีซ กรีธาทัพเข้ารุกรานได้ชัยชนะ และถอนทัพกลับในระยะเพียง ๓ ปี ซึ่งได้ทิ้งอารยธรรมและวัฒนธรรมของกรีซไว้ในอินเดียเช่นกันแต่ก็ไม่ใช่ศิลปหัตถกรรมประเภทเครื่องถทแน่ เพราะประเทศอินเดียและอิหร่านนั้น เกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองก่อนกรีกเป็นพัน ๆ ปี ในปีคริสต์ศักราช ๔๖๐ กองทัพอิหร่านได้ทําลายและยึดครองกรุงเอเธนส์และกรีก ทำให้กรีกได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมไปจากสองประเทศนี้ไปด้วย ต่อมาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ได้ส่งพุทธศาสนทูตไปยังประเทศต่าง ๆ ๙ สาย ระหว่างปี พ.ศ. ๕๔๓-๖๔๓ อิทธิพลของอินเดียได้ครอบคลุมแผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างท่วมท้น นับแต่ดินแดนที่ในปัจจุบันนี้เรียกว่าพม่า แหลมอินโดจีน สุมาตรา  บาหลี ชาวอินเดียได้แผ่อิทธิพลครอบงําอาณาจักรฟูนัน อินโดจีน ลังกาสุกะ และที่สําคัญก็คือครอบครองนครศรีธรรมราชเป็นเมืองหลวง นอกจากนั้นทางฝั่งมหาสมุทรอินเดียก็มีเมืองตะโกลา(สันนิษฐานคือ เมืิองตะกั่วป่า) ในดินแดนมลายูปัจจุบันนี้ ชาวอินเดียก็มาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายแหล่งด้วยกัน เช่น ที่ยะโฮร์ เปรัก ปากน้ําไทรบุรี ส่วนชาวอินเดียที่มายังตะวันออกนั้นถ้ามาทางเรือและขึ้นที่แหลมทองที่เป็นส่วนของประเทศไทยทางตะวันตกนี้ขึ้นที่ทปากน้ํากันตัง แล้วเดินทางบกมายังนครศรีธรรมราชหรือขึ้นที่ตะกั่วป่าแล้วเดินทางบกมายังอ่าวบ้านดอน หรือเข้าแม่น้ํากันตังแล้วเดินทางต่อไปขึ้นแล้วเดินบกมาลงเรือปลายแม่น้ําตาปีออกอ่าวบ้านดอน ตามพงศาวดารของราชวงศ์จีนที่กล่าวว่าระหว่างปี พ.ศ. ๘๑๑-๘๓๐ ทูตจีนที่ไปยังอินเดียได้พบว่าชาวอินเดียเป็นช่างแกะสลักเงินเป็นเครื่องรูปพรรณแต่งกาย ภาชนะที่ใช้ในการรับประทานทําด้วยเงิน ภาษีอากรก็จ่ายเป็นทองคํา เนื้อเงิน ใช่มุก และน้ําหอม ซึ่งก็พอจะอนุมานได้ว่าชาว อินเดียได้มีศิลปหัตถกรรมเครื่องเงินและได้นําศิลปหัตถกรรมประเภทนี้มายังภูมิภาคตะวันออกคือเขมร พม่า มลายู ชวา และไทย ด้วยหลักฐานและเหตุผลต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วนั้น สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีความเห็นว่า.. เมื่อชาวนครศรีธรรมราชได้รับความรู้เรื่องเครื่องถมจากชาวอินเดียแล้ว วิชาเครื่องถมได้แพร่หลายสู่กรุงศรีอยุธยา... 
          ส่วน
ตํานานเมืองนครศรีธรรมราชที่กล่าวว่า.. พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชผู้สร้างเมืองเดิมนั้นเป็นพราหมณ์ชาวอินเดีย ชื่อพราหมณ์มาลี ได้พาสมัครพรรคพวกหนีภัยจากพวกมุสลิมลงเรือหลายร้อยลํามาขึ้นที่บ้านทุ่งศึก เมืองตะกั่วป่าโดยสร้างราชธานีขึ้นที่นั่นแล้ว ได้อภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์พระนามว่าพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช การอพยพครั้งนี้ได้นําพระทันตธาตุ พระพุทธรูป เทวรูป ภิกษุ พราหมณาจารย์มาด้วยเป็นอันมาก แต่การสร้างเมืองที่นั่นไม่สําเร็จเพราะถูกพวกมุสลิมติดตามมาตีแตก ก็ พากันอพยพข้ามภูเขาทางตะวันออกมาตั้งมั่นที่บ้านน้ํารอบ แต่ที่นี่ภูมิประเทศไม่เหมาะทําให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ก็อพยพต่อไปยังเชิงเขาชวาปราบ (ปลายคลองสินปูน อําเภอคลองท่อม) แต่โรคร้ายไม่สงบอีก ต้องเลื่อนต่อไปยังบ้านเวียงสระ (อําเภอ เวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานีปัจจุบัน) อยู่ที่นั่นไม่นานเพราะโรคภัยไข้เจ็บยังไม่สงบ ก็อพยพ ต่อไปทางตะวันออกถึงหาดทรายแก้ว ได้สร้างราช ธานีขึ้นที่นั้นคือเมืองนครศรีธรรมราชในปัจจุบันนี้ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ให้พราหมณาจารย์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทําพิธีอาฏานา ๙ วัน ๙ คืน สร้างเงินตรานโมขึ้น เมื่อเสร็จแล้วก็ให้นําไปฝังรอบเมือง ทั้งสี่ทิศและตามเวียงวัง สถานที่สําคัญต่าง ๆ เพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บไม่ให้เบียดเบียนล้างเสนียด จัญไรทั้งปวง เงินตรานโมนี้ปัจจุบันกลายเป็นของที่หายากและได้รับความนิยมเชื่อถือทั่วไปว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เก็บไว้กับบ้านกับตัวป้องกันภัยได้ ที่เก็บไว้กับตัว นั้นก็ใช้ประกอบทําอาภรณ์ เช่น แหวน สร้อย เป็นต้น เงินตรานโมที่ทําในครั้งนั้นมี ๒ ชนิด คือเงินตราไก่ (เฟืองตราไก่) มีขนาดลักษณะดุจสัณฐานตาไก่ และอีกชนิดหนึ่งคือเงินชี้หนู (เฟื่องขี้หนู) มีขนาดโตกว่าเงินตราไก่ และรูปยาวกว่าชนิดแรก หลักเกณฑ์ที่จะพิสูจน์ว่าเป็นเงินตรานโมแท้หรือเทียมนั้น ท่านผู้เฒ่าชาวนครชี้แจงว่ามีอยู่ ๓ ประการคือ

(๑) เนื้อเงินไม่ขาวเหมือนเบี้ยเงินบริสุทธิ์ แต่ไม่เป็นสีโลหะธาตุใด ๆ ชัดเจนอยู่ท่ามกลางของสีเงิน สีทอง และสีเหล็ก เมื่อขัดขึ้นเงาเห็นเนื้อ ละเอียดออกรัศมีผิดกว่าแร่ชนิดอื่น เมื่อสัมผัสจะรู้สึกหนักและเย็นคล้ายศิลา
(๒) ไม่ขึ้นสนิมแม้จะอยู่ในน้ําหรือจมดิน แต่หากเก็บไว้นานไม่ขัดถูกลับขึ้นสีทองบาง ๆ
 (๓) หลอมไม่ละลายแม้จะถูกความร้อนจัดมาก ก็จะแตกปะทุ ถ้าจับอังไฟพอร้อนจะมีเสียง คล้ายประทุเกิดขึ้น 

        เรื่องของเงินตรานโมที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อจะได้ระลึกว่าบรรพบุรุษชาวนครศรีธรรมราชมีความรู้ความสามารถในทางเล่นแร่แปรธาตุ สร้างสิ่งอันเป็นมหัศจรรย์และศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ให้เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานในยุคปัจจุบันนี้ได้ อนึ่ง นการทําเงินตรานโม ถ้าหากให้ได้เนื้อเงินที่ดีจะต้องผสมเมฆพัด เมฆพัดนี้เมื่อเอาเนื้อเงินผสมลงไปก็จะกลายเป็นวัตถุคล้ายยาถมมาก ถ้าการใช้ส่วนผสมของเงิน ทองแดง ตะกั่วได้สัดส่วนกันก็ได้ยาถมที่ดีที่สุด ถ้าใช้สูตรที่มีเนื้อเงินมากขึ้นผสมกับวัตถุอื่นบางอย่าง อาจกลายเป็นเนื้อเงินตรานโมก็ได้ บรรพบุรุษของชาวนครศรีธรรมราช สร้างเงินตรานโมได้คงไม่เกินความสามารถในการคิดค้นสร้างน้ํายาถมขึ้นได้อย่างแน่นอน มีผู้รู้อย่างศาสตราจารย์หลวงวิศาลศิลปกรรม ยืนยันว่าน้ํายาถมนี้ไทยมิได้รับต้นตํารับมาจากประเทศใดแต่เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยแท้
         ระยะที่ ๓ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ได้ทํานุส่งเสริมเครื่องถมตลอดมา โดยเฉพาะสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เครื่องถมไทยได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นศิลปหัตถกรรมชั้นสูง โดยเมื่อครั้งทรงแต่งทูตไปเจริญพระราชไมตรีตอบแทนพระเจ้ากรุงอังกฤษควีนวิคตอเรีย ได้พระราชทานเครื่องราชบรรณาการแด่พระเจ้ากรุงอังกฤษ หลักฐานสําคัญของเรื่องนี้ก็คือสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงประสบมาและมาตรัสเล่าว่า..
         “สิ่งที่ข้าพเจ้าอดจะนํามาเล่าสู่กันฟังมิได้ก็คือพระราชินีนาถอลิซะเบธ ได้โปรดให้จัดของไทย ๆ เช่น ขันน้ําแสะพานรองลงยาราชาวดี หีบทอง ลงยา ตลับยานัตถ์ทองลงยา ซองบุหรี่ทองลงยา ดาบฝักทองคํา จําหลักที่ยาถมตะทอง เป็นต้น มาประดับประดาแต่งห้องนั่งเล่นของเราภายในพระราชวังบักกิงแฮม เพื่อเราทั้งสองจะได้รู้สึกเหมือน
บ้าน ของเหล่านั้นเป็นของขวัญที่รัชกาลที่ ๔ ส่งไปพระราชทานควีนวิคตอเรีย โดยโปรดเกล้าให้ราชทูต มีพระยามนตรีสุริยวงศ์และคณะหรือหม่อมราโชทัย เป็นต้น นําไปถวายเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ หรือ ค.ศ. ๑๘๕๗ ได้ยินว่าตามธรรมดาของเหล่านี้เก็บอยู่ในพระราชวังวินด์เซอร์.... ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๐๓ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้แต่งทูตเจริญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งกรุงฝรั่งเศส เครื่องราชบรรณาการครั้งนั้นก็เครื่องถมรวมอยู่ด้วย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เสด็จประพาสประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย และเสด็จประพาสยุโรปถึงสองครั้ง สันนิษฐานได้จากการที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านครคือพระยาสุธรรมมนตรี ทําพระที่นั่งพุดตานถมจนเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก ดังนั้นในการเสด็จประเทศต่าง ๆ ก็คงพระราชทานของกํานัลแก่ประมุขของประเทศต่าง ๆ จะเป็นเครื่องเงินหรือเครื่องถมดุจเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว นอกจากนั้นได้ทรง โปรดเครื่องเงินอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครื่องเงินแบบพม่า ถึงกับได้ขอให้ทูตประจําประเทศไทย ติดต่อจ้างช่างเงินมาจากเมืองท่าธนประเทศพม่าเป็นจํานวนหลายคนมาเป็นช่างประจําราชสํานัก
         


ภาพจาก : https://link.psu.th/pzF4Rv

           โรงเรียนช่างถมนครศรีธรรมราช
       
ผู้ให้กําเนิดโรงเรียนช่างถมของนครศรีธรรมราช คือพระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช (ม่วง รตฺนธชฺโช) เมื่อครั้งดํารงสมณศักดิ์เป็นพระสิริธรรมมุนี สถิต ณ วัดท่าโพธิ์ ชาวนครเรียกท่านว่า “เจ้าคุณวัดท่าโพธิ์" ภารกิจทางด้านศาสนาท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช แต่อีกภารกิจหนึ่งท่านเป็นผู้อํานวยการจัดการศึกษาของกุลบุตรกุลธิดาแก่ชาวมณฑลศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดําริให้จัดการศึกษาขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. ๒๔๒๑ เป็นครั้งแรกนั้น ได้ทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เป็นองค์ประธานอํานวยการศึกษาและพระศาสนาในหัวเมืองมณฑลกรุงเทพฯ และในมณฑลหัวเมืองตลอดจนพระราชอาณาจักร กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสได้ทรงเลือกพระรัตนธัชมุนี (เมื่อครั้งดํารงสมณศักดิ์เป็นที่พระสิริธรรมมุนี) ขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นผู้อํานวยการจัดการศึกษาและการพระศาสนา มณฑลนครศรีธรรมราชและมณฑลปัตตานี การจัดการศึกษาครั้งนี้ ไมใช่เป็นเรื่องที่ทําได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุประการแรกคือการคมนาคมไปมาไม่สะดวกอย่างยิ่ง ประการที่สองเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงจิตใจของคน หรือเปลี่ยนแปลงแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีเดิม และต้องฝ่าอํานาจบุคคลหมู่มากที่มีอยู่ด้วยประการต่าง ๆ ร้อยแปดพันประการ เฉพาะอย่างยิ่งในมณฑลปัตตานีซึ่งพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม มีลัทธิประเพณีต่างกับชาวพุทธ การจัดการศึกษาย่อมยากยิ่งขึ้นเป็นอันมาก แต่ท่านเจ้าคุณพระรัตนธัชมุนีได้ดําเนินการนั้นด้วยสติปัญญาและความสุขุม เป็นผลลุล่วงได้ด้วยความราบรื่นสมพระประสงค์ทุกประการ ท่านเป็นผู้วางรากฐานการศึกษาให้แก่ชาวปักษ์ใต้ แก่ชาวนครศรีธรรมราช ไม่ใช่แต่วิชาสามัญเท่านั้น วิชาสามัญคือวิชาชีพ ท่านได้จัดตั้งโรงเรียนสอนวิชาช่างถมขึ้นในวัดท่าโพธิ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ การทําเครื่องถมนครได้ชบเขาตกต่ําลงไปมาก ท่านเจ้าคุณได้สละเงินนิตยภัตที่ท่านได้รับพระราชทานจ่ายเป็นเงินเดือนแก่ครูผู้สอน กิจการของโรงเรียนนี้ได้ดําเนินมาหลายปีจนในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการได้เห็น ความสําคัญของศิลปหัตถกรรมประเภทนี้ จึงได้รับโอนโรงเรียนมาเป็นโรงเรียนของรัฐ ทำให้โรงเรียนได้เจริญเติบโตกลายเป็นโรงเรียนช่างโลหะรูปพรรณ ของจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช นับเป็นสถานศึกษาแห่งเดียวเท่านั้นของไทยที่สอนวิชาช่างถม ทําเครื่องถม อันเป็นศิลปหัตถกรรมประจําชาติของไทย และนักศึกษาที่จบจากสถาบันนี้จะเป็นผู้ดํารงไว้ซึ่งศิลปหัตถกรรมอันเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีแก่ชาวนครศรีธรรมราชสืบไปชั่วกาลนาน
        ประเภทของเครื่องถมนคร
 
       เครื่องถมนครหรือถมนคร เป็นเครื่องใช้ที่ทำจากวัสดุเงินหรือทอง แกะลวดลายให้ตัดกับสีพื้นซึ่งเป็นน้ำยาสีดำแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่

๑. ถมเงิน หรือที่นิยมเรียกกันว่า ถมดำ ลักษณะเป็นเนื้อถมที่ถมลงไปนพื้นตามร่องลาย เป็นสีดำสีดำมันซึ่งเนื้อถมจะขับลวดลายให้เด่นงดงามอยู่บนพื้นสีเงิน เป็นถมที่เก่าแก่ที่สุดตามความนิยม ถมที่ดีต้องมีสีดำสนิทไม่มี "ตามด" (ตามดคือจุดเล็กบนสีดำ)


ภาพจาก : มรดกวัฒนธรรมภาคใต้, ม.ป.ป., ๑๕๖    

๒. ถมทอง เป็นการนำถมเงินมาทำให้มีสีสวยงาม มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการทำให้ลวดลายสีเงินได้เปลี่ยนเป็นสีทอง ช่างถมจะเปียกหรือละลายทองคำให้เหลวเป็นน้ำ โดยใส่ทองแท่งลงในปรอทปรอทจะละลายทองแท่งให้เป็นน้ำ ช่างถมจะชุบน้ำทองผสมปรอทด้วยพู่กันเขียนทับลงบนลวดลายสีเงิน การเขียนนำทองละลายปรอทนี้จะต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมาก ต้องเขียนทับลงบนเส้นเงินเท่านั้น เมื่อเขียนเสร็จแล้วจะใช้ความร้อนไล่ปรอทออกจากทอง ทองก็จะติดแน่นอยู่บนพื้นที่เขียนน้ำทองนั้น ถมทองมีความงามตรงที่เป็นสีทอง ลวดลายกระจ่างเด่นชัด ทองที่ทาทับก็จะมีความคงทนนับร้อยปี


ภาพจาก : มรดกวัฒนธรรมภาคใต้, ม.ป.ป., ๑๕๕

๓ ถมตะทอง เป็นศัพท์ของช่างถม หมายถึงวิธีการระบายทองคำละลายปรอทหรือแต้มทองเป็นแห่ง ๆ เฉพาะที่ไม่ใช่ระบายจนเต็มเนื้อที่อย่างเดียวกับการทำถมทอง โดยเอาทองคำแท้ ๆ ใส่ลงในปรอททองละลายอยู่ในน้ำปรอท เมื่อเอาน้ำปรอทที่มีที่ที่มีทองคำละลายปนอยู่ไปแต้มตามแห่งที่ต้องการให้เป็นสีทองนั้น ในขั้นแรกปรอทจะยังคงอยู่ เมื่อไล่ด้วยความร้อนปรอทจะหนีทองก็จะติดแน่นอยู่บนตำแหน่งหรือลายที่แต้มทองนั้น การแต้มทองหรือระบายทองในที่บางแห่งของถมดำ เป็นการเน้นจุดเด่นหรือต้องการแสดงอวดภาพหรือลายเด่น ๆ ทำให้ครื่องถมตะทองเป็นของที่หายากกว่าถมเงินหรือถมทอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีความนิยมในถมตะทองมากกว่าถมทอง

          เอกลักษณ์ของเครื่องถมอยู่ที่สีดำเงางามของพื้นผิว และลวดลายที่เกิดจากการแกะสลัก โดยแบ่งลวดลายออกเป็นทั้งลายที่เลียนแบบธรรมชาติ อาทิ ลายกนกเปลว ลายใบเทศ ลายประจำยาม ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ลายกระจัง ลายก้านขด รวมทั้งลวดลายแบบประดิษฐ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นภาพประกอบลาย โดยแต่ละชิ้นงานช่างจะเป็นผู้ออกแบบและวางลวดลายให้เหมาะสมกับชิ้นงาน เครื่องถมเมืองนครเป็นงานฝีมือของชาวนครศรีธรรมรารที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุดมาแต่โบราณ ถือกันว่าเป็นประณีตหัตถกรรมชั้นสูงซึ่งชาวนครศรีธรรมราช ปัจจุบันเนื่องจากทองและเงินมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับการทำต้องอาศัยเวลาและฝีมือชั้นสูง เครื่องถมนครไม่ค่อยพัฒนารูปแบบและลวดลาย นิยมทำแบบดั้งเดิมมีตั้งแต่ ภาชนะ เครื่องประดับชิ้นเล็ก เช่น ช้อน แหวน กำไล เข็มกลัดติดเสื้อไปจนถึงชิ้นใหญ่ เช่น พานขันโตก ถาด เมื่อเทียบกับเครื่องถมที่ผลิตจากกรุงเทพฯ ทำกระเป๋าถือผู้หญิง รูปทรงต่าง ๆ ไปออกแบบร่วมกับวัสดุอย่างอื่นบ้าง เช่น กระเป๋าย่านลิเภาบ้าง หรือตกแต่งกับวัสดุอย่างอื่นก็ได้ หวายก็ได้ มีการพัฒนา มีการประกวดแข่งขันกันก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจเกิดการพัฒนารูปแบบ แต่เครื่องถมนครคงเอกลักษณ์ของตนเองไว้อย่างดีเยี่ยม เครื่องถมประดิษฐ์ได้ตั้งแต่สิ่งของชิ้นเล็ก ๆ เช่น แหวน ล็อกเกต กําไล ไปจนถึงสิ่งของชิ้นใหญ่ ๆ เช่น ขัน พาน ถาด ในการประดิษฐ์ทําด้วยมือทั้งสิ้น นับตั้งแต่การขึ้นรูป การเขียน ลวดลาย การสลัก การถม และการจัด โดยช่างต้องมีความชํานาญและความละเอียด ตลอดถึงความอุตสาหะ วิริยะเป็นสําคัญ เครื่องถมของนครศรีธรรมราช แม้จะผลิตได้ไม่มาก แต่ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทั้งนี้เพราะเครื่องถมนครยังคงรักษาคุณภาพของตัวเอง โดยมีเนื้อเงินแท้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๙๕ ลวดลายต่าง ๆ ยังสลักด้วยมือ น้ํำยาถมก็มีดีสีดำสนิทเป็นเงาสินค้าเครื่องถมนครในปัจจุบัน ยังคงรักษาคุณภาพของงานฝีมือชั้นสูงและมีคุณค่า มีตั้งแต่ ถมชิ้นเล็ก ๆ เช่น แหวน ล็อกเกต กําไล กล่องไม้จิ้มฟัน มีดพับ กล่องยาอม ซองบุหรี่ ตลับแป้ง กรอบรูป ชุดจานรองและฝาครอบแก้ว ของเหล่านี้จําหน่ายในราคาแค่ ๑๐๐ บาท ไปจนถึงหลักแสน
        
ความสําคัญของเครื่องถมนคร
   เครื่องถมนครนอกจากจะใช้กันทั่วไปในหมู่ชาวเมืองแล้ว ยังเป็นของที่ระลึก เป็นของทูลเกล้าฯ ถวายกษัตริย์ ซึ่งมีมาแต่โบราณ เช่น ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชทรงรับสั่งให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช จัดหาช่างที่มีฝีมือเยี่ยมที่สุดเข้าไปทํา เครื่องถม ณ กรุงศรีอยุธยา เพื่อทําเครื่องถมเป็นของใช้ไปบรรณาการแด่พระเจ้าหลุยส์ ที่ ๑๔ กษัตริย์ฝรั่งเศส และทําไม้กางเขนส่งไปถวายพระสันตะปาปาที่กรุงโรมประเทศ อิตาลี สมัยกรุงเทพมหานคร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้นําเสลี่ยงหรือพระราชยานถมและพระแท่นถมสําหรับออกขนนางขึ้นน้อมเกล้าฯถวาย ในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้า พระยานคร (น้อยกลาง) ได้นําเรือพระที่นั่งกราบถมกับเก้าอี้ถมใช้เป็นที่นั่งภัทรบิฐ ขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวาย และทรงส่งเครื่องถมเมืองนครจํานวนหนึ่งร่วมไปกับเครื่องบรรณาการถวายแด่พระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษ และโปรดเกล้าฯ ให้ช่างถมเมืองนครศรีธรรมราช ประดิษฐ์เครื่องถมไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ แห่งประเทศฝรั่งเศส ครั้นสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) ทําพระแท่นพูดตานถมถวาย สําหรับตั้งในท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  เครื่องถมในสมัยโบราณมักสลักลวดลายไทยที่เป็นเรื่องราวทางวรรณคดีและประวัติศาสตร์ เช่น เรื่องรามเกียรติ์ สัตว์หิมพานต์ สัตว์ป่านานาชนิด เช่น นก กระรอก กวาง ช้าง ลายดอกไม้ ใบไม้ เช่น ลายเครือเถา ลายใบเทศ ลายดอกพุฒตาล มีรูปเทพเจ้าซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพราหมณ์ด้วยความเชื่อทางศาสนา เช่น ครุฑ นาค ลวดลายดังกล่าวเกิดจากการสร้างสรรค์จินตนาการของช่าง และในปัจจุบันลวดลายที่นำมาประยุกต์ใช้ในงานเครื่องถม เป็นลวดลายที่ผสผสานกันระหว่างลายโบราณและลายสมัยใหม่ ลวดลายที่นำมาผูกลายหรือแกะสลัก ช่างจะเรียนรู้มาจากครูช่างหรือบางคนก็ได้ศึกษาเพิ่มเติมจากลวดลายที่อยู่ในโบสถ์วิหารในวัด แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับเครื่องถม
         
การส่งต่อมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเครื่องถมนคร
         การถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการทำเครื่องถมนครนั้น แต่เดิมจะเป็นการถ่ายทอดวิชาการทำน้ำยาถมและเทคนิคการถ่ายทอด ให้เฉพาะคนในครอบครัวหรือลูกศิษย์คนสนิทเท่านั้น โดยเฉพาะสูตรยาถมที่จะมีลักษณะเฉพาะพิเศษของใครของมันและเป็นที่หวงแหนอย่างมาก ในแต่ละสายช่างจะสั่งสอนทายาทแบบมือต่อมือหรือตัวต่อตัว ในทุกระบวนการทำเครื่องถม เริ่มตั้งแต่การสอนเขียนลายไทยไปจนถึงการเพลาลายหรือแรเงาลาย อันเป็นกระบวนการสุดท้ายของการทำเครื่องถมให้งดงามวิจิตรอ่อนช้อย ต่อมาได้มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อส่งต่อให้กับทายาทของตน จนถึง พ.ศ.๒๔๕๕๖ ท่านเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ หรือพระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราชได้มองเห็นถึงความสำคัญของศิลปหัตถกรรมแขนงนี้ จึงได้จัดตั้ง "โรงเรียนช่างถม" ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเปิดทำการสอน เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๖ ณ วัดท่าโพธิ์ อำเภอเมืองนครศรีธรรรมราช ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช" และเปิดทำการสอนมาจนถึงปัจจุบัน การผลิตเครื่องถมในจังหวัดนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่ ช่างทำเครื่องถมจะทำกันที่บ้านของตัวตัวเองทั้งที่ทำส่งจำหน่ายให้แก่พ่อค้าคนกลางและจำหน่ายด้วยตัวเอง ซึ่งจะมีช่างถมอยู่แทบทุกอำเภอแต่แหล่งผลิตที่เห็นชัด ได้แก่ ชุมชนหลังวัดพระธาตุ ชุมชนหน้าวัดพระธาตุ ชุมชนท่าช้างในอดีตช่างทำเครื่องถมจะทำการถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่บุตรหลาน เครือญาติ หรือลูกศิษย์ที่สนิทเท่านั้น เพราะความหวงแหนในวิชาความรู้โดยเฉพาะการผสมยาถม ซึ่งแต่ละช่างจะมีสูตรเฉพาะของสายตระกูลตัวเอง จนถึงช่วงหนึ่งช่างทำเครื่องถมได้ลดน้อยลงเป็นอย่างมากกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ท่านเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ (พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช (ม่วง รตฺนธชฺโช) ได้มองเห็นถึงความสำคัญของศิลปหัตถกรรมแขนงนี้ หากไม่รักษาไว้คงจะหายไปจากเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแน่ ท่านจึงเป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนช่างถมขึ้นมา และเปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๕ ซึ่งทำการสอนขึ้นในวัด ครูที่เข้ามาทำการสอนวิชาเครื่องถมคนแรกคือครูกิ้น แต่ด้วยความชราภาพท่านสอนอยู่ไม่นานก็ลาออก ท่านเจ้าคุณม่วง ได้เชิญครูเมืองมาสอนเป็นครูคนต่อไป และตั้งให้เป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนช่างถม คือนายเมือง สินธุรงค์ และโรงเรียนช่างถมเป็นโรงเรียนอาชีวะแห่งแรกในจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัจจุบันมีชื่อว่า "วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรรมราช" ตั้งอยู่ที่ชอยหอไตร ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และยังเปิดทำการเรียนการสอนวิชาสาขางานศิลปหัตถกรรมโลหะรูปพรรณและเครื่องประดับ (เครื่องถม) สอนการทำเครื่องถมด้วยวิธีโบราณ ผสมผสานกับอุปกรณ์ ทางมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช ก็ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการทำเครื่องถมและการต่อยอด โดยเปิดการเรียนการสอนใน สาขาวิชาออกแบบเครื่องถมและเครื่องประดับคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม นอกจากการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาแล้ว ยังมีศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องถมนคร โดยอาจารย์นิคม นกอักษร แกนนำในการก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนนครหัตถกรรม เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนในชุมชน ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักท่องเที่ยวได้เข้ามาเรียนรู้การทำเครื่องถมนคร อาจารย์นิคม นกอักษร เดิมได้ศึกษาการทำเครื่องถมจากวิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช และได้ศึกษาต่อ ณ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเพาะช่าง หลังสำเร็จการศึกษาอาจารย์นิคม ได้รับการร้องขอจากคูรเมือง สินธรงค์ ให้กลับมาช่วยสอนวิชาช่างถมที่วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช ท่านจึงมาสอบบรรจุเป็นครูผู้สอน ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๕๔๔ อาจารย์นิคม ได้ลาออกจากราชการมาทำธุรกิจเปิดร้านเครื่องถมโดยใช้ชื่อร้าน "นครหัตถกรรม" และจัดตั้งเป็นกลุ่มเปิดบ้านให้เป็นศูนย์เรียนรู้เครื่องถมชั่วคราว จนถึงปี พ.ศ.๒๕๖๖ ได้ตั้ง "กลุ่มนครหัตกรรม ศูนย์การเรียนรู้หัตถศิลป์ไทยและเครื่องถมเมืองนคร" โดยการสนับสนุนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนนครศรีธรรมราช และสำนักงานวัฒนธรรรมจังหวัดนครศรีธรรรมราช 


ภาพจาก : https://link.psu.th/aa9aax


วัตถุดิบและส่วนประกอบ

          "ถม" เป็นกรรมวิธีในการผสมของโลหะ ๓ อย่างเข้าด้วยกัน คือเงิน ตะกั่ว และทองแดง นำมาหลอมรวมกันในเบ้าหลอมและเทลงราง (โลหะลักษณะเป็นแท่ง ๆ) และนำไปใช้ลงบนชิ้นงานที่ตอกเป็นลวดลายไว้แล้ว การที่จะให้ยาถมเกาะแน่นอยู่ที่การเหยียบพื้น (คือการสลักตอกร่องลงบนแผ่นเงินที่เป็นพื้นของลายที่ตอก) ถ้าเหยียบพื้น ให้มีรอยชรุขระมากเท่าใดยาถมก็จะเกาะได้มากเท่านั้น เครื่องถมนครเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีความวิจิตรงดงามลักษณะเฉพาะที่แสดงถึงอัตลักษณ์ของเครื่องถมนครโดดเด่นแตกต่างจากที่อื่นสังเกตได้จาก เครื่องถมนครทำด้วยเนื้อเงิน ๙๕ เปอร์เซ็นต์ยังยึดรูปแบบสืบทอดวิธีการผลิตจากช่างรุ่นเก่าตกทอดมายังวุ่นปัจจุบัน นิยมเคาะขึ้นรูปด้วยมือ รูปทรงได้สัดส่วน ลวดลายเกิดจากการสลักด้วยมือโดยใช้สิ่วเล็ก ๆ อ่อนช้อย สวยงาม สังเกตได้จากรอยสลักไปถึงด้านหลังของเนื้อเงินหรือรูปพรรณ ทำให้เห็นถึงฝีมือและน้ำหนักของการตอกของช่าง ร่องลายลงด้วยยาถม (โลหะผสม) สีดำเป็นมันมันวาวไม่มีตามด ไม่กะเทาะหลุดง่าย ตกแต่งลวดลายด้วยการเพลา ลายหรือการแรเงาลายด้วยสิ่วเล็ก ๆ ทำให้เกิดมิติลวดลายแพรวพราวระยิบระยับ ถมทองใช้ทองคำแท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทาเคลือบผิวหลายครั้ง (ต่างจากวิธีการชุบทองที่ทำให้หลุดลอกได้ง่ายกว่า) ทำให้คงทนถาวรใช้งานได้นาน เนื้อยาถมของเมืองนครนั้นเป็นสูตรเฉพาะถิ่น เนื้อยาถมจะเป็นสีดำสนิทมีความมันวาว เมื่อลงในชิ้นงานแล้วติดแน่นไม่กะเทาะหลุดง่าย วิธีการทำยาถม เป็นโลหะผสมระหว่าง เงิน ทองแดง ตะกั่ว กำมะถัน เป็นตัวที่ทำให้เกิดสีดำจากนั้นนำไปหลอมรวมกันด้วยความร้อนจนะละละลายเป็นของเหลวสีดำ แล้วเทน้ำยาถมลงสู่แม่พิมพ์ปล่อยทิ้งจนเย็นก็จะได้แท่ง (ลักษณะขึ้นอยู่กับแบบพิมพ์ของช่างแต่ละคน) สีดำมันวาวเรียกว่า "แท่งยาถม" สูตรในการผสมไม่เป็นสูตรที่ตายตัว แล้วแต่ความชำนาญและประสบการณ์ของช่างแต่ละคน
             วัตถุดิบและเครื่องมือในการทำเครื่องถม      
             วัตถุดิบในการทำเครื่องถมที่สำคัญคือ เงินบริสุทธิ์ ทองคำบริสุทธิ์ และยาถม ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการผลิต ประกอบด้วย

๑) ค้อน แต่เดิมใช้ค้อนเหล็กกล้า ปัจจุบันก็ยังคงใช้อยู่ ซึ่งค้อนจะมีลักษณะที่หลากหลายเพื่อการขึ้นรูปชิ้นงาน และการสลักลาย เช่น ค้อนเหลี่ยมสองหน้า ค้อนหัวกลม  ค้อนคอสั้น และค้อนเขาควาย ค้อนขึ้นรูปขัน ค้อนสลักลาย เป็นต้น
๒) สิ่ว แต่เดิมใช้เหล็กสปริง ซึ่งเป็นเหล็กกล้า ในปัจจุบันใช้ตะปูคอนกรีต ใช้หินเจียปากสิ่วตามขนาดของลายและชิ้นงาน นับเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของช่างทำเครื่องถม
๓) กดควาย เดิมเรียก "กด" ไว้ใช้เป็นฐานรับการตกแต่งชิ้นงาน
๔) ทั่งตีเหล็ก
๕) รางเหล็ก
๖) คีม
๗) ตะไบ
๘) เบ้าหลอม
๙) ชุดปั๊มลม หรือตะเกียงฟู หรือคาตะ
๑๐) กระดาษทราย
๑๑) ชันเพชร

               กระบวนการหรือขั้นตอนการทำเครื่องถม             
               กระบวนการหรือขั้นตอนการทำเครื่องถมที่สำคัญ ๆ มีอยู่ ๖  ขั้นตอน คือ

๑. การขึ้นรูปชิ้นงาน คือการนำเงินบริสุทธิ์ (๙๕ %) ไปหลอมรวมกับทองแดง (๕ %) เทลงในรางเทปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมารีดหรือแผ่รีด โดยใช้ความร้อน ตีให้ได้รูปทรง ความหนา ความกว้างความกว้าง ความยาว ตามขนาดสัดส่วนที่ต้องการ
๒. การแกะสลักลวดลาย เมื่อขึ้นรูปตามที่ต้องการแล้ว จากนั้นจะเป็นขั้นตอนการขึ้นลายโดยการเขียนลายลงบนแผ่นเงินที่ตีแผ่ไว้ และสลักลวดลายให้เป็นร่องลึกโดยใช้ค้อนและสิ่วโดยต้องลงน้ำหนักมือในการสลักเส้นลายให้มีความสม่ำเสมอ เมื่อลงยาถมจะทำให้เส้นลายมีความต่อเนื่อง เส้นลายมีความนิ่งเป็นเส้นเดียวกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เครื่องถมนคร
๓. การปรับแต่งรูปพรรณ หลังจากแกะสลักแล้ว ปรับตกแต่งชิ้นงานให้เรียบร้อย
๔. การลงถม คือการตกแต่งลวดลายภาชนะ หรือรูปพรรณที่มีการสลักลวดลายแล้วไปลงยาถม โดยใช้ความร้อนละลายยาถมลงบนร่องลายที่สลักจนเต็ม ตรวจดูว่าส่วนใดยังไม่เต็มหรือมีรูพรุนซึ่งเรียกกันว่า "ตามด" ก็ให้ลงยาถมใหม่จนทั่ว
๕. การขัดผิวและขัดเงา เมื่อลงถมแล้วน้ำยาถมอาจไปติดส่วนที่ไม่ต้องการ ทำให้ลายไม่เด่นชัดให้นำรูปพรรณนั้นไปขัดด้วยตะไบ แล้วจึงขัดด้วยกระดาษทรายอีกครั้ง การขัดจะต้องระวังไม่ขัดจนลึกเกินไปเพราะจะทำให้ลายไม่คม เมื่อขัดผิวจนเห็นเส้นลายหรือลวดลายผุดขึ้นมาก็จะเห็นส่วนที่เป็นลวดลายจะเป็นสีเงิน ส่วนร่องลายจะเป็นสีดำ เรียกรูปพรรณชิ้นนี้ว่า "ถมเงิน" ถ้าหากทำถมทองหรือถมตะทองเมื่อถึงขั้นตอนนี้ก็นำถมเงินที่ได้ไปทาทอง หรือที่เรียกกันว่า "เปียกทอง" โดยใช้ทองคำบริสุทธิ์ และก่อนจะทาทองต้องนำรูปพรรณไปทำความสะอาดด้วยลูกประคำดีควาย เพื่อขจัดไขมันและฝุ่นต่างๆ บนผิวเงินให้หมด เมื่อทาทองเสร็จแล้วนำรูปพรรณนั้นไปเผาให้ความร้อน เพื่อให้ปรอทระเหยเหลืออยู่แค่เนื้อทองคำที่เคลือบติดแน่นกับเนื้อเงินหรือจับอยู่ตามาลวดลายที่แกะไว้ การทำถมทองหรือถมตะทอง ต้องใช้เนื้อทองคำบริสุทธิ์ทาเคลือบผิวเงินจะต้องมีความประณีตมาก จะมีต้นทุนการทำที่สูงกว่าถมเงิน แต่มีความทนทานดีกว่า
๖. การแรเงาหรือการเพลาลาย ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนที่อยู่ในขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่ลวดลายที่ปรากฏบนผิวนั้นยังเป็นเพียงลวดลายหยาบ ๆ จะต้องตกแต่งเพิ่มเติมส่วนละเอียดลงไป ทำให้รูปพรรณนั้นมีความเงางามมากยิ่งขึ้น เมื่อต้องกับแสงจะมีความวูบวาบสวยงามอ่อนช้อย อันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องถมนคร

          การทับหรือถมรอยเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งในวิชาช่างของไทยที่ใช้เพื่อสร้างความสวยสะดุดตาให้กับภาชนะเงินหรือทอง การถม คือโดยมีหัวใจสำคัญคือน้ำยาถมที่ผสมสมผสานกันระหว่างเงิน ทองแดง ตะกั่ว และกำมะถัน เมื่อหลอมละลายรวมกันเป็นแท่งถมสีดำ นำมาละเลงบนลวดลายแกะสลักไม่ว่าจะเป็นภาชนะหรือเครื่องประดับ เราเรียกสิ่งของนั้นว่า "เครื่องถม" เครื่องถมนครมีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานครได้ส่งเครื่องถมไปถวายเป็นเครื่องบรรณาการให้กับพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ อาทิ พระแท่นพุดตาล ตั้งอยู่หน้าท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพนักกันยาเรือพระที่นั่งทำด้วยแผ่นเงินขนาดใหญ่ ถมทองที่เยี่ยมที่สุดและใหญ่ที่สุดในนครศรีธรรมราช ปัจจุบันเก็บไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช ช่างถมเมืองนครศรีธรรมราชเป็นช่างถมที่มีฝีมือประณีตมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ กรรมวิธีในการผลิตเครื่องถมมีความละเอียดอ่อนและมีความพยายามลักษณะพิเศษของช่าง นอกจากจะมีพรสวรสวรค์แล้วยังต้องเป็นคนใจเย็น ใจสู้ และมีความมานะอุตสาหะ จึงจะสามารถจับเครื่องมือแต่ละชิ้นขึ้นมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายบนเครื่องถมได้ ช่างทำเครื่องถมที่ดีในยุคโบราณท่านได้กล่าวไว้ว่าควรมีความเป็นสหช่าง คือเป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านงานช่างไม่น้อยกว่า ๓ สาขา คืองานขึ้นรูปช่างแขนงนี้มาจากช่างเงิน ช่างทอง ที่จะทำรูปทรงภาชนะหรือเครื่องประดับต่าง ๆ ให้ได้สัดส่วนงานแกะสลัก คือผู้บรรจง สลักเสลา ลวดลายให้อ่อนช้อยงดงามตามแบบนิยม และงานถม ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญในการผสมและลงยาถมบนพื้นที่ซึ่งแกะสลักลวดลายไว้แล้ว ความวิจิตรบรรจงที่ยากจะหาศิลปกรรมใดเสมอเหมือนทำให้เครื่องถมเป็นหัตถศิลป์ชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่ง ที่ควรคู่กับการดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไปนานเท่านาน


ผู้ประกอบการ

           การผลิตเครื่องถมในจังหวัดนครศรีธรรมราชส่วนใหญ่ช่างทำเครื่องถมจะทำกันที่บ้านของตัวเอง ทั้งที่ทำส่งจำหน่ายให้แก่พ่อค้าคนกลางและจำหน่ายด้วยตัวเอง ซึ่งจะมีช่างถมอยู่แทบทุกอำเภอแต่แหล่งผลิตที่เห็นชัด ได้แก่ชุมชนหลังวัดพระธาตุ ชุมชนหน้าวัดพระธาตุ ชุมชนท่าช้าง เป็นต้น


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
เครื่องถมเมืองนคร
ที่อยู่
จังหวัด
นครศรีธรรมราช


บรรณานุกรม

เกษม จันทร์ดำ. (2551). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช : องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช.
เครื่องถมเมืองนคร : ความงามผ่านลวดลายข้ามกาลเวลา. (2559). สืบค้น 20 กุมภาพันธ์ 2563 จาก 
https://link.psu.th/pzF4Rv
เครื่องถม ศิลปหัตถกรรมประจําเมืองนครศรีธรรมราช. (2529). การแข่งขันกีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช
            18-24 มิถุนายน 2529. นครศรีธรรมราช : ม.ป.พ.


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025