เรือนไทยภาคใต้
 
Back    26/08/2021, 15:58    71,058  

หมวดหมู่

อื่นๆ


ความเป็นมา/แหล่งกำเนิด


ภาพจาก : https://outreachtoafrica.org/2018/บ้านเรือนไทยของคนภาคใต้/

        บ้านเรือนนับเป็นปัจจัยพื้นฐานในปัจจัย ๔ ที่สำคัญของมนุษย์ ดังนี้เพื่อป้องกันอันตรายจากลมฟ้าอากาศและสัตว์ร้าย ซึ่งต้องเหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ ตลอดจนจารีตประเพณีทางสังคม และรูปแบบการดำเนินชีวิต ภาคใต้ของประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศไทย กล่าวคือมีลักษณะเป็นแหลมหรือคาบสมุทรยื่นออกไปจนจรดประเทศมาเลเซีย กอรปกับล้อมรอบด้วยฝั่งทะเลโดยมีอ่าวไทยอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันออกและทะเลอันดามันอยู่ทางฝั่งทะเลตะวันตก ด้านสภาพภูมิอากาศของภาคใต้เป็นอาณาบริเวณที่มีอากาศร้อนฝนตกชุก ความชื้นสูงมี ๒ ฤดู คือฤดูร้อนและฤดูฝน ในฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนจัดเหมือนภาคอื่น เนื่องจากได้รับการถ่ายเทความร้อนจากลมทะเลที่พัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ในฤดูฝนฝนจะตกชุกมากกว่าภาคอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะได้รับลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศดังกล่าวนี้ มีอิทธิพลสำคัญต่อการกำหนดรูปแบบเรือนพักอาศัยของประชาชนในภาคใต้ เช่น การออกแบบรูปทรงหลังคาให้คาให้ลาดเอียงมาก เพื่อระบายน้ำฝนจากหลังคาการการใช้ตอม่อหรือฐานเสาแทนที่จะฝังเสาเรือนลงไปในดิน ด้านสภาพสังคมและวัฒนธรรมประเพณี ประชากรในภาคใต้มีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยมุสลิม ชาวไทยเหล่านี้มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะชาวไทยมุสลิมจะได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกับภาคใต้ ได้แก่ มาเลเซีย ซึ่งส่งผลให้เรือนพักอาศัยของชาวไทยใน ๔ จังหวัดภาคใต้ หรือที่เรียกว่า “เรือนไทยมุสลิม” มีลักษณะร่วมกับเรือนพักอาศัยทางตอนเหนือของมาเลเซีย เพราะฉะนั้นเรือนไทยมุสลิมนอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อการสร้างบ้านเรือนอย่างแท้จริง ทั้งในรูปแบบการใช้พื้นที่ การอยู่อาศัย การประกอบกิจกรรมในการดำรงชีวิตและการประดับตกแต่งตัวเรือนให้งดงาม โดยทั่วไปเรือนมุสลิมมักเป็นเรือนแฝดและสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกันและมีการเล่นระดับพื้นเรือนให้ลดหลั่นกันไป เช่น พื้นบริเวณเฉลียงด้านบันไดหน้าแล้วยกพื้นไปเป็นระเบียงจากพื้นระเบียงจะยกระดับไปเป็นพื้นตัวเรือนจากตัวเรือนจะลดระดับไปเป็นพื้นครัว จากพื้นครัวจะลดระดับเป็นพื้นที่ซักล้างซึ่งอยู่ติดกับบันไดหลัง การลดระดับพื้นจะเห็นได้ชัดว่า มีการแยกสัดส่วนจากกันในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ บางตัวเรือนเมื่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว ยังต้องกำหนดพื้นที่ให้เป็นบริเวณที่ใช้ทำพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำวันละ ๕ ครั้ง
     การปลูกสร้างบ้านเรือนของชาวใต้ที่รู้จักใช้ภูมิปัญญาสร้างบ้านเรือนให้ยืดหยุ่นและสอดรับกัับภัยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี อันเนื่องจากสภาพภูมิประเทศของภาคใต้อยู่่ติดทะเล  และคติความเชื่อของคนภาคใต้ตลอดถึงความเชื่อในด้านโชคลางต่าง ๆ ก็มีส่วนสำคัญในการปลูกสร้างบ้านเรือนของคนภาคใต้ เช่น

  • ห้ามปลูกเรือนบนจอมปลวก ห้ามปลูกบ้านคร่อมตอไม้ ห้ามสร้างบ้านบนทางสัญจร ห้ามปลูกบ้านตรงพื้นที่เฉอะแฉะ สกปรก ดินเลนสีดำ ดินมีหลากสี มีกลิ่นไม่บริสุทธิ์ ห้ามปลูกบ้านเดือน ๔ ให้ปลูกบ้านเดือน ๑๐ การทำบันไดบ้านต้องหันไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกจำนวนบันไดต้องเป็นเลขคี่ ห้ามปลูกเรือนคร่อมคู คลองหรือแอ่งน้ำ เป็นต้น รวมถึงการเลือกที่ดินที่เป็นมงคล เช่น ให้ดูสีพื้นดินที่เป็นสีอ่อน หรือดินสีแดง สีเหลือง กลิ่นหอมรสฝาด พื้นเทลาดจากทิศใต้ลงสู่ทิศเหนือจะทำให้ผู้อยู่อาศัยเจริญด้วยลาภยศบริวาร หรือพื้นที่สูงทางทิศตะวันตกแล้วค่อยลาดเอียงไปทางทิศตะวันออก ดินสะอาดหรือมีสีขาว สีเหลือง สีแดง ไม่มีรสไม่มีกลิ่น ซึ่งจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุขปราศจากโรคภัย 
  • การคัดเลือกเสาเรือน ภาคใต้ให้ความสำคัญกับเสาเรือนซึ่งเป็นโครงสร้างรากฐานสำคัญ เช่นเดียวกับภาคกลางและภาคเหนือ กล่าวคือเสาเอก ต้องไม่มีตำหนิ มีตา ไม่ตกน้ำมัน นำมาตกแต่งด้วยผ้าแดง หรือด้ายดิบสามสี (แดง เหลือง ขาว) คาดติดไว้กึ่งกลางเสาพร้อมด้วยกล้ามะพร้าวและต้นอ้อย บางท้องถิ่นใช้รวงข้าว ขวดน้ำ กล้ามะพร้าว หน่อกล้วยผูกติดกับเสา
  • ข้อห้ามและคติอื่น ๆ การปลูกเรือนแต่ก่อนมีคติถือกันว่าถ้าปลูกเรือน " ขวางตะวัน " คือหันข้างเรือนไปทางทิศตะวันออกหรือตกไม่ดี คนอยู่จะไม่มีสุข มักเป็นเหตุให้เสียตาเพราะไปขวางหน้าตะวัน ถ้าจะปลูกเรือนให้ปลูก " ตามตะวัน" คือหันข้างเรือนไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ จึงจะเป็นมงคล ยู่เย็นเป็นสุขสบายดี ถ้าเนื้อที่บ้านคับแคบ ปลูกเรือนให้หันข้างเรือนไปตามดวงตะวันไม่ได้ ก็ต้องหาทางปลูกให้เฉียงตะวัน คืออย่าหันข้างเรือนตรงกับตะวันนักก็ใช้ได้เช่นกัน  คตินี้ถือปฏิบัติกันในภาคกลางและใต้ ส่วนภาคเหนือจะวางเรือนขวางตะวันแตกต่างจากภาคอื่น ๆ
  • จำนวนบันไดของเรือนในทุกภาค ไม่นิยมทำเป็นเลขคู่ มักทำลูกขั้นบันไดเป็นเลขคี่ คือ ๑-๓-๕-๗-๙ เป็นต้
     

          ลักษณะเรือนไทยภาคใต้
     
   ลักษณะเรือนไทยภาคใต้เป็นเรือนที่มีความคงทนถาวรและปลอดภัย ส่วนมากมีขนาดใหญ่กว่าเรือนเครื่องผูก เนื่องจากเรือนไทยเครื่องผูกเป็นเรือนที่มีมาก่อนเครื่องสับเรือนเครื่องผูกในภาคใต้ จึงเป็นแบบฉบับที่น่าศึกษาและโดยเฉพาะมีขนาดต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับขนาดจํานวนสมาชิก ฐานะทางเศรษฐกิจ และความจําเป็นของสัดส่วนใช้สอย เรือนเครื่องผูกที่มีขนาดเล็กมากจะมีขนาดประมาณ ๕x๖ ศอก ใช้เป็นเรือนพักเป็นครั้งคราว คนพื้นบ้านภาคใต้เรียกว่า “หนํา” เป็นเรือนยกพื้นครึ่งซีกมีผนังกั้น ๓ ด้าน ไม่จําเป็นต้องมีบันได เรือนเครื่องผูกรูปแบบนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับศาลากลางหนหรือศาลาริมทาง ซึ่งนิยมปลูกสร้างเป็นเรือนเครื่องสับ แต่ศาลากลางหนไม่นิยมกั้นฝา เรือนเครื่องผูกที่มีขนาดโตขึ้นมาอีกเล็กน้อย เนื้อที่ยกพื้นค่อนเรือน ผนังกั้น ลึกลงไปทั้ง ๔ ด้าน เว้นทางเข้าออกทางทิศเหนือหรือทางทิศตะวันออก ตรงกับส่วนโค้ง (ไม่ยกพื้น) ใช้เป็นเรือนพักผ่อน เรือนนอนของผู้สูงอายุหรือคนชราที่ต้องการความสงบ เรือนเครื่องผูกภาคใต้ยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมชั่วคราวที่ปลูกสร้างขึ้นเพื่องานพิธีกรรมหรือเพื่อการละเล่น เช่น โรงหนังตะลุง โรงโนรา โรงเลี้ยง ฯลฯ เรือนไทยภาคใต้ที่มีขนาดพอจะจัดได้ว่าเป็นเรือนระดับครอบครัวที่เรียกว่าเรือนประธาน (เรือนหลัก) ตัวเรือนจะเป็นเรือน ๒ หรือ ๓ ส่วน มีการใช้สอยหลักคือ ห้องนอน ห้องครัว และส่วนที่ใช้พักร้อน โดยห้องครัวนิยมต่อชานเรือนทางด้านทิศเหนือหรืออาจต่อชานออกไปหลังคาปีกนกทางทิศตะวันตก แต่ถ้าเป็นเรือนขนาดใหญ่เรือนครัวจะปลูกสร้างเป็นเรือนพ่วงแบบหลังคา “ขวางหวัน” มีชานเชื่อมต่อกับเรือนประธานพื้นชานและครัวนิยมลดระดับ ส่วนเรือนไทยภาคใต้ที่มีขนาดใหญ่นิยมปลูกสร้างเป็นเรือนเครื่องสับ มีเรือนพ่วง เรือนเคียง ซึ่งปลูกสร้างขยายต่อจากเรือนประธานเป็นเรือนหมู่มีชานเรือนซึ่งปลูกโล่งเป็นส่วนเชื่อม นิยมยกพื้นเรือนสูงจนสามารถใช้ประโยชน์จากบริเวณใต้ถุนบ้านได้ มีต้นเสาและบันไดขึ้นลงเพิ่มขึ้น เพื่อรับรอง จํานวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่อาศัยรวมกันแบระบบเครือญาติ ชานเรือนจะเป็นส่วนสําคัญในการติดต่อภายในเรือนหมู่ และใช้เป็นที่ นั่งเล่น เลี้ยงดูสมาชิกที่เป็นหลาน ลักษณะเรือนไทยภาคใต้ทั้ง ๒ ประเภทดังกล่าว มีลักษณะการสืบทอดพัฒนาสืบเนื่องกันมา เชื่อกันว่ามีรูปแบบอย่างเรือนชาวน้ําในภาคใต้ ซึ่งนิยมในลักษณะยกพื้นสูง มีหลังคาทรงจั่วแหลม ตัวเรือนมีลักษณะทรงปลายสอบ มีต้นเสาทําด้วยแก่นไม้เนื้อแข็ง ดินเผา หิน และคอนกรีต หน้าต่างประตูมีบานคู่เปิดเข้าข้างในด้านจั่วหรือด้าน “หุ้มกลอง” ส่วนนอกนิยมตีฝาทึบจั่วตอนในที่โปร่ง คตินิยมในการปลูกสร้างจะหันหน้าบ้าน (หน้าจั่ว) ไปทางทิศตะวันออกเรียกว่าปลูกเรือนตามยาวหวั่น หรือ “ลอยหวัน” โดยเฉพาะเรือนประธานหากมีการขยายต่อเติมก็จะต่อเติมขยายทางด้านทิศเหนือและทางด้านทิศตะวันตก (หลังบ้าน) เรือนครัวที่ปลูกสร้างขึ้นอีกหลังหนึ่งจะปลูกต่อหลังบ้านจะเป็นเรือนที่มีลักษณะ “ขวางหวัน” โดยไม่ถือเป็นข้อน่ารังเกียจแต่อย่างใด เรือนไทยภาคใต้ที่มีลักษณะการต่อเติมตกแต่งเป็นแบบเฉพาะตนคือเรือนไทยมุสลิมภาคใต้ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างอย่างชัดเจนในรูปแบบของเรือนเครื่องสับ อาทิ หลังคาปีกนกจะยื่นไปต่อกับปีกหลังคาด้านข้างเป็นลักษณะทรงปั้นหยา จั่วด้านหน้าจะมีลักษณะเป็นชั้นลดหลั่นกันลงมา ชานเรือน นิยมมุงหลังคาและต่อด้านหน้าออกมาเป็นกันสาดมีผนังสามด้านกั้นโปร่งตามคอเสา ช่อง และตัวปั้นลมด้านล่างประดับด้วยลายแกะสลักหรือสายฉลุไม้ ลวดลายเหล่านั้นมีแบบเฉพาะซึ่งได้รับอิทธิพลด้านศาสนา ซึ่งประตูด้านหน้าจะตกแต่งต่อเติมทางเข้าให้มีลักษณะเป็นรูปโค้งเหมือนหลังคาโดม จะเห็นได้จากสุเหร่าและมัสยิด ซึ่งเป็นศาสนสถานของชาวมุสลิมวัสดุที่ใช้ในการปลูกสร้างบ้านเรือนเครื่องผูกส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่หาได้ภายในท้องถิ่น เรือนเครื่องผูกจึงสะท้อนให้เห็นคุณค่าด้านความงามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละท้องถิ่น และจัดเป็นสถาปัตยกรรมพื้นบ้านที่แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นและคุณค่าทางความงามที่โดดเด่น ซึ่งขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ วัสดุพื้นบ้านภาคใต้ที่ใช้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยได้แก่ เชือก หวาย ไม้ ไม้ไผ่ ใบปาล์ม ฯลฯ ซึ่งสามารถนําไปใช้ประโยชน์ต่าง ๆ กัน ดังนี้

  • ไม้ไผ่ ไม้ไผ่ในภาคใต้มีหลายชนิด ขึ้นชุกชุมอยู่ทั่วไป จัดเป็นวัสดุสําคัญในการทําโครงสร้างของเรือนโดยเฉพาะเรือนเครื่องผูก โดยเอาไม้ไผ่มาใช้ทําเสา ตง คาน จันทัน แป แปทู อกไก่ เคร่าฝา ฯลฯ รวมทั้งยังสามารถนํามาผ่า เหลา ทําเป็นฟาก พื้นบ้าน ฝาเรือน กลอน หลังคา ตับจาก ตลอดจนใช้ ทําเครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไปด้วย

  • หวาย เชือก หวาย เชือกมีมากในภาคใต้มีหลายชนิด และหลายขนาด ใช้ผูกยึด ร้อยสานส่วนต่าง ๆ ของตัวเรือน ตั้งแต่โครงสร้างจนกระทั่งส่วนประกอบปลีกย่อย หวายจัดเป็นวัสดุที่นํา มาผ่าเหลาได้สะดวก มีความคงทนต่อการใช้งานได้ดีมากส่วนเชือกอาจต้องเลือกใช้โดยพิจารณาคุณลักษณะแสดงความเหมาะสม

  • ใบพืชสกุลปาล์ม ใบพืชสกุลปาล์มได้แก่ ใบจาก ใบตาล ใบลาน ใบสิเหรง ใบกระพ้อ ใบมะพร้าว ฯลฯ ซึ่งหาได้ง่าย ส่วนใหญ่นําเอาใบมาเรียงเย็บเป็นตับ ๆ ใช้มุงหลังคา กั้นฝา หรือทําเครื่องปูลาด ลักษณะการใช้อาจแตกต่างกัน บางแห่งใช้กั้นยืนทั้งทางมีไม้ผูกทับแนวให้เรียบตัดแต่งขอบริมให้ได้แนวเรียบร้อย

  • ไม้กลม ไม้กลมซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดต่าง ๆ นํามาปลอกเปลือกออกใช้ได้ทั้งดุ้นไม่ต้องแปรรูป เหมาะสําหรับทําเป็นโครงสร้างเรือนเครื่องผูกและโครงสร้างบางส่วนของเรือนเครื่องสับ

       เรือนไทยภาคใต้ส่วนใหญ่จะวางเสาไว้บนตอหม้อตีนเสาซึ่งจะก่ออิฐฉาบปูนเมื่อต้องการจะทำการย้ายบ้าน ก็จะปลดกระเบื้องลงตีไม้ยึดโครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาทแล้วใช้คนหามย้ายไปตั้งในที่ที่ต้องการนำกระเบื้องขึ้นมุงใหม่ ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ในการก่อสร้างรูปทรงของเรือนเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงประมาณคนก้มตัวลอดผ่านได้ เสาทุกต้นไม่ฝังลงดินเพราะว่าดินมีชื้นทำให้เสาผุเร็ว โดยจะตั้งอยู่บนแผ่นปูนหรือแผ่นหินเรียบ ๆ ที่ฝังอยู่ในดินให้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินไม่ประมาณ ๑ ฟุต เพื่อกันมิให้ปลวกกัดตีนเสาและกันเสาผุจากความชื้นของดิน ตีนเสาตอนล่างห่างจากพื้นดิน ประมาณ ๑-๒ ฟุต จะมีไม้ร้อยทะลุเสาทุกต้นตามความยาวของตัวเรือนทั้ง ๓ แถว เพื่อทำหน้าที่ยึดโครงสร้างของเรือนให้แข็งแรงมากขึ้น ตัวเรือนกั้นฝาด้วยแผ่นกระดานตีเกร็ดตามแนวนอน กั้นห้องสำหรับเป็นห้องนอน ๑ ห้อง อีกห้องหนึ่งปล่อยโล่ง ด้านหน้าบ้านมีระเบียงด้านข้าง โดยที่เรือนเครื่องสับในภาคใต้จะทำช่องหน้าต่างแคบ ๆ หลังคาทำทรงจั่วถากจันทันให้แอ่นแบบเดียวกับบ้านทรงไทยภาคกลาง แต่ทรวดทรงเตี้ยกว่าเล็กน้อยติดแผ่นปั้นลมแบบหางปลาไม่นิยมทำตัวเหงา เรือนไทยภาคใต้แบ่งเป็น ๒ แหล่ง คือแถบชายทะเลด้านในซึ่งติดกับชายทะเลฝั่งตะวันออกหรือว่าอ่าวไทย และแถบชายทะเลด้านนอกที่ติดกับชายทะเลฝั่งตะวันตกหรือฝั่งทะเลอันดามัน โดยที่พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกด้านอ่าวไทยเป็นชุมชนที่เก่าแก่มากกว่าฝั่งตะวันตก บ้านเรือนแถบชายฝั่งทะเลตะวันออก มักเป็นเรือนหลังคาหน้าจั่วทรงสูงแบบบ้านทรงไทยภาคกลาง ต่ไม่นิยมทำปั้นลมและตัวเหงา
            เรือนไทยมุสลิม
             
สำหรับเรือนไทยมุสลิม นอกจากจะสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อการสร้างบ้านเรือนอย่างแท้จริง ทั้งในรูปแบบการใช้พื้นที่ การอยู่อาศัย การประกอบกิจกรรมในการดำรงชีวิต และการประดับตกแต่งตัวเรือนให้งดงาม โดยทั่วไปเรือนมุสลิมเป็นเรือนแฝดและสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกันและมีการเล่นระดับพื้นเรือนให้ลดหลั่นกันไป เช่น พื้นบริเวณเฉลียงด้านบันไดหน้าแล้วยกพื้นไปเป็นระเบียง จากพื้นระเบียงจะยกระดับไปเป็นพื้นตัวเรือนจากตัวเรือนจะลดระดับไปเป็นพื้นครัว จากพื้นครัวจะลดระดับเป็นพื้นที่ชักล้างซึ่งอยู่ติดกับบันไดหลัง การลดระดับพื้นจะเห็นได้ชัดว่ามีการแยกสัดส่วนจากกันในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ บางตัวเรือนเมื่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว ยังต้องกำหนดพื้นที่ให้เป็นบริเวณที่ใช้ทำพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำวันละ ๕ ครั้ง ส่วนการกั้นห้องเพื่อเป็นสัดส่วนเรือนไทยมุสลิมจะกั้นแต่ที่จำเป็นนอกนั้นจะปล่อยพื้นที่ให้โล่ง เพราะชาวไทยมุสลิมใช้เรือนเป็นที่ประกอบพิธีทางศสานา นอกจากนั้นยังไม่นิยมตีฝาเพดานเพราะภาคใต้มีอากาศร้อนและฝนตกชุก อากาศจึงอบอ้าวและมักจะเว้นช่องลมใต้หลังคาให้ลมโกรกอยู่ตลอดเวลา การที่ตัวเรือนยกพื้นสูงชาวไทยมุสลิมจึงสามารถใช้ใต้ถุนประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ส่งเสริมการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ใช้เป็นบริเวณประกอบอาชีพเสริม คือทำกรงนก สานเสื่อกระจูดหรืออาจใช้วางแคร่เพื่อพักผ่อน บางบ้านอาจกั้นเป็นคอกสัตว์ เป็นต้น
        
เนื่องจากประเพณีความเปฌนอยู่ของชาวไทยมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายและหญิงอย่างชัดเจน ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไว้ทั้งทางขึ้นหน้าบ้านและทางขึ้นครัว โดยทั่วไปผู้ชายจะใช้บันไดหน้า ส่วนผู้หญิงจะใช้บันไดหลังบ้าน รวมทั้งเป็นการไม่รบกวนแขกในการเดินผ่านไปมาอีกด้วย ลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยมุสลิม คือการสร้างเรือนโดยการผลิตส่วนประกอบของเรือนก่อนแล้วจึงนำส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นขึ้นประกอบกันเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกันเมื่อต้องการย้ายไปประกอบในพื้นที่อื่น ๆ ตัวเรือนก็สามารถแยกออกได้เป็นส่วน ๆ ได้เสาเรือนจะไม่ฝังลงดิน แต่จะเชื่อมยึดกับตอม่อหรือฐานเสาเพื่อป้องกันปลวก เนื่องจากมีความชื้นสูงมาก นอกจากนี้เรือนไทยมุสลิมยังแยกส่วนที่อยู่อาศัย (แม่เรือน) ออกจากครัว โดยใช้เฉลียงเชื่อมต่อกัน ทั้งนี้เพราะเชื่อว่าบริเวณแม่เรือนเป็นบริเวณที่สะอาด ส่วนบริเวณครัวนั้นสามารถทำสกปรกได้โดยง่ายและยังสามารถดับเพลิงได้สะดวกเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริเวณครัว
              
ประเพณีและความเชื่อในการสร้างเรือนของชาวไทยมุสลิม
    
ประเพณีและความเชื่อในการสร้างบ้านเรือนของชาวไทยมุสลินในอดีตจะมีพิธีกรรมหลายอย่าง ซึ่งได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และพุทธ เพราะตามบันทึกประวัติศาสตร์ก่อนหน้าที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลประชาชนในดินเแดนแถบนี้นับถือศาสนาพุทธมาก่อน ดังนั้นเมื่อศาสนาอิสลามเข้ามาแม้ประชาชนในแถบนี้จะนับถือศาสนาอิสลามแล้วก็ตาม แต่ประเพณีต่าง ๆ ของศาสนาพุทธและพราหมณ์บางอย่างก็ยังเป็นที่ยึดถือและปฏิบัติอยู่ เช่น

๑. สถานที่สร้างเรือน สถานที่การเตรียมสถานที่สร้างเรือนจะต้องเป็นพื้นดินราบเสมอกันในบริเวณที่จะสร้างเรือน ส่วนนอกบริเวณดังกล่าวทางทิศเหนือต้องเป็นที่ดอนหรือเนิน และทางทิศใต้ต้องเป็นพื้นที่ต่ำกว่าอาจจะเป็นพื้นที่นาข้าว ส่วนทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกต้องเป็นพื้นที่เสมอกันกับพื้นที่สร้างเรือนถ้าเลือกพื้นที่ในลักษณะเช่นนี้เป็นที่สร้างเรือนแล้ว เชื่อกันว่าเมื่อสร้างเรือนอยู่ชีวิตครอบครัวจะรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข การทำมาหากินจะมีโชคลาภได้ทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนและฐานะจะดีขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าหาพื้นที่ในลักษณะดังกล่าวไม่ได้ เมื่อตัดสินใจสร้างเรือนในพื้นที่ใดให้หาไม้ไผ่อ่อนที่ยังไม่แตกกิ่งใบ ตัดเอาแต่ด้านโคนมีความยาว ๑ วา โดยวัดความยาวด้วยมือของผู้ที่จะสร้างเรือนจากปลายนิ้วมือขวาถึงปลายนิ้วมือซ้าย จากนั้นนำไปปักตรงใจกลางพื้นที่ที่จะสร้างเรือนในเวลาพลบค่ำให้ลึกลงในดินประมาณครึ่งศอก โดยก่อนจะปักไม้ไผ่ดังกล่าวจะต้องอ่านคัมภีร์อัลกุรอานในบท “อัลฟาตีฮะห์” ๑ จบ แล้วอ่านคำสรรเสริญพระเกียรติพระบรมศาสดามูฮัมหมัดที่เรียกว่า “เศาะลาวาด” อีก ๓ จบ เสร็จแล้วให้อธิษฐานขอให้พระอัลเลาะห์ได้โปรดประทานให้รู้อย่างหนึ่งอย่างใดว่าพื้นที่ที่ตั้งใจสร้างเรือนจะเป็นสิริมงคลหรืออัปมงคล เมื่ออธิฐานจบถึงปักไม้ไผ่ทิ้งไว้จนรุ่งเช้าแล้วจึงนำไม้ไผ่มาวัดความยาวใหม่ หากปรากฏว่าไม้ไไผ่ยาวกว่าเดิมถือว่าพื้นที่นี้ดีหากสั้นกว่าเดิมถือว่าไม่ดีถ้าสร้างเรือนอยู่ครอบครัวจะแตกแยกการทำมาหากินไม่เจริญก้าวหน้าและมี อาถรรพ์ นอกจากนี้ควรเลี่ยงการปลูกเรือนคร่อมจอมปลวกตอไม้ใหญ่หรือคลอง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการปลูกเรือนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ดินสุสานและพื้นที่รูปลิ้นมีนาขนาบทั้งสองข้าง

๒. ทิศทางของเรือน สำหรับทิศทางของเรือนชาวมุสลิมเชื่อกันว่าไม่ควรสร้างขวางดวงตะวัน เพราะจะทำให้ผู้อาศัยหลับนอนมีอนามัยไม่ดีไม่มีความจีรังยั่งยืนทางที่ดีที่สุด คือหันหน้าบ้านไปทางทิศตะวันออกให้หลังบ้านอยู่ทางทิศตะวันตก อย่างไรก็ตามชาวมุสลิมสมัยก่อนนิยมสร้างเรือนหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือหรือทางถนนเพื่อการสัญจร ส่วนห้องนอนต้องอยู่ทางทิศตะวันตกบางบ้านนิยมสร้างเรือนข้าว โดยเชื่อว่าเรือนข้าวมีความสำคัญต่อครอบครัว เพราะเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะความมั่นคงของเจ้าบ้าน ทำให้เกิดความเชื่อถือในเรื่องทิศทางและทำเลที่ปลูกสร้างเรือนข้าวต่อมา โดยเชื่อกันว่าการปลูกเรือนข้าวไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิศใต้ของเรือนอาศัยจะทำให้มีข้าวอุดมสมบูรณ์

3. ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน การเลือกฤกษ์ยามในวันลงเสาเรือนเจ้าของบ้านยังต้องไปหาฤกษ์จากผู้รู้ เช่น โต๊ะอิหม่าน ซึ่งโดยมากวันที่ที่เป็นมงคลในการเริ่มลงเสาเรือนจะถือปฏิบัติกันหลายวิธีและวิธีหนึ่งที่นิยมปฏิบัติกันทั่วไป คือการนับธาตุทั้งสี่อัน ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งมีความหมายดังนี้คือ 
    - 
ดิน หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างช้า ๆ อาจจะพบปัญหาและอุปสรรค
    - น้ำ หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพเยือกเย็นได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    - 
ไฟ หมายถึงการทำงานอยู่ในสภาพอารมณ์ร้อนการทำงานมีปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งในเครือญาติหรือเพื่อนร่วมงาน
    - 
ลม หมายถึงการทำงานเป็นไปอย่างรวดเร็ว ราบรื่น ไม่มีปัญหา มีโชคลาภและอารมณ์เย็น
     
วันที่นิยมสร้างเรือน ได้แก่วันอาทิตย์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี ส่วนวันที่ต้องห้าม คือวันพุธ วันเสาร์ และไม่นิยมสร้างในวันศุกร์และวันพุธปลายเดือน ทั้งนี้การนับวันของชาวไทยมุสลิมจะนับเวลาขึ้นวันใหม่ ตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๑ น. ไปจนถึงเวลา ๑๘.๐๐ น. ของวันต่อไป นอกจากนี้การสร้างเรือนของชาวมุสลิมจะไม่นิยมสร้างในข้างแรมของแต่ละเดือน แต่จะนิยมสร้างข้างขึ้นสำหรับเดือนที่ถือว่ามีสิริมงคลในการเริ่มก่อสร้างเรือนมีเพียง ๖ เดือนเท่านั้น ได้แก่

๑) เดือนซอฟาร์ เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภได้ทรัพย์สมบัติ
๒) เดือนยามาดิลอาวัล เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภ มีบริวารมากเป็นที่รู้จักในวงสังคม
๓) เดือนซะบัน เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะได้รับยศศักดิ์และเกียรติเป็นที่เคารพนับถือจากสังคมทั่วไป
๔) เดือนรอมฎอน เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภและความรู้ความสามารถเพิ่มมากขึ้น
๕) เดือนซุลกีฮีเดาะห์ เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนี้จะมีโชคลาภอย่างมหาศาล ทรัพย์สมบัติที่ได้มาจะได้สืบทอดถึงลูกหลานด้วยพร้อมกันนี้ญาติพี่น้องและมิตรสหายจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอาหารการกินสมบูรณ์ตลอด

๔. การยกเสาเอก โดยปกติบ้านหลังหนึ่งจะมี ๖ เสา เวลาลงเสาจะลงหมดทั้ง ๖ เสาพร้อมกัน แต่ถือว่าเสากลางด้านทิศเหนือเป็นเสาเอก ซึ่งเรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “เตียงซือรี” ก่อนลงเสาทั้ง ๖ ต้องใช้เหรียญบาทติดไว้ที่โคนทุกเสา แต่ถ้าเจ้าของบ้านเป็นคนฐานะดีอาจติดทองคำด้วย ทั้งนี้ด้วยความเชื่อว่าเมื่อติดเหรียญหรือทองคำที่โคนเสาแล้ว จะได้นั่งบนกองเงินกองทองทำมาหากินดี มีเงินเหลือเก็บและฐานะดีขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเสาเอก เวลาลงเสาจะต้องเอาผ้าแดง ๑ ผืน ก้านมะพร้าวที่มีใบ ๓-๔ ใบ จำนวนหนึ่งต้น รวงข้าวประมาณ ๑ กำมือ ทองคำจำนวนหนึ่งโดยปกติใช้สร้อยคอทองคำหนัก ๒ สลึง ๑ เส้น ผูกไว้ที่เสาเอกเป็นเวลา ๓ วันจึงเอาออก 

๕. การสร้างเรือน เมื่อเจ้าของเรือนตกลงเลือกสถานที่สร้างได้แล้วก็ถึงขั้นตอนการสร้างเรือน โดยเจ้าของบ้านจะต้องตกลงกับช่างไม้ในเรื่องขนาดแบบเรือน ค่าใช้จ่ายและอื่น ๆ เพราะเรือนที่สร้างจะไม่มีการเขียนแบบแปลน แต่อาศัยความชำนาญของช่างแต่ละคนโดยทั่วไปจะมีแบบและขั้นตอนการสร้างดังนี้

๕.๑ ขนาดของตัวเรือนขึ้นอยู่กับจำนวนเสา โดยมากนิยมสร้างเสา ๖, ๗ และ ๑๒ เสา สำหรับตัวเรือนแต่เดิมนิยมสร้างเป็นเรือนแฝดมีชานกลางเชื่อมตัวเรือนหลัก ข้ากับครัวแต่ต่อมานิยมสร้างเป็นตัวเรือนเดี่ยว ความกว้างของเรือนนิยมสร้าง ๗, ๙ หรือ ๑๐ ศอก แต่ไม่นิยมสร้างเรือน ๘ ศอก โดยวัดจากช่วงข้อศอกถึงปลายนิ้วกลาง ยกเว้นข้อศอกสุดท้ายจากกำมือส่วนบันไดนิยมความกว้างเป็นเลขคี่ เช่น ๓, ๕, ๗ จะไม่นิยมลงเลขคู่ เพราะถือว่าเป็นบันไดผีนำความอัปมงคลมาสู่ผู้อยู่อาศัย

๕.๒ ความสูงของตัวเรือน นิยมสร้างโดยยกพื้นใต้ถุนสูงพอคนลอดได้หรือไม่เกิน ๒ เมตร เพื่อใช้ใต้ถุนเป็นที่เก็บของทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ที่นั่งเล่น และใช้เป็นที่ประกอบอาชีพเสริม เช่น สานเสื่อ ทำกรงนกเขาชวา ฯลฯ
๕.๓ พื้นเรือน มักตีพื้นลดหลั่นกันตามประเภทการใช้สอยโดยแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ได้แก่ จากบันไดสู่ชาน จากชานสู่ระเบียงใช้เป็นที่รับแขก จากระเบียงยกระดับสูงขึ้นเป็นพื้นห้องโถงใหญ่และห้องนอนลดระดับลงมาเป็นพื้นครัว ถ้าครอบครัวฐานะดีจะใช้ไม้กระดานตีให้ห่าง เพื่อระบายลมและเทน้ำทิ้ง ถ้าครอบครัวฐานะยากจนจะใช้ไม้ไผ่ตีเป็นฟากจากครัวลดระดับลงมาเป็นชานซักล้างอยู่ติดกับบันไดหลังบ้าน

๕.๔ การกั้นห้องและพื้นที่สำหรับละหมาดเรือนไทยมุสลิมจะกั้นห้องเฉพาะใช้นอนเท่านั้น นอกนั้นปล่อยเป็นพื้นที่โล่งใช้เป็นที่รับแขกและพิธีต่าง ๆ เช่น แต่งงาน งานเมาลิด ฯลฯ แต่เนื่องจากบัญญัติของศาสนาอิสลาม ชาวไทยมุสลิมจะต้องทำละหมาดทุกวัน ๆ ละ ๕ ครั้ง ทุกบ้านจึงต้องกั้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้ทำละหมาดโดยใช้เกณฑ์ดังนี้คือ

๕.๔.๑ ต้องมีฝากหรือผ้าม่านกั้นไม่ให้คนเดินผ่าน
๕.๔.๒ ต้องอยู่บนเรือน
๕.๔.๓ ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
๕.๔.๔ การสร้างตัวเรือนหลัก เมื่อทำพิธียกเสาเอกแล้ว จะยกเสาที่เหลือขึ้น จากนั้นจึงติดตั้งโครงสร้างเรือน โดยประกอบโครงหลังคาบนดินก่อน แยกประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนตีนแปแล้วขึ้นมุงหลังคาก่อนวางตงแล้วตีพื้น จากนั้นจึงตีราวฝา ติดตั้งวงกบประตู หน้าต่างตีนฝา แล้วต่อระเบียงหน้าบ้านต่อครัวไปทางด้านหลัง เมื่อเสร็จตัวเรือนแล้วจึงติดตั้งบันไดหน้าบ้านและหลังบ้าน เมื่อสร้างเรือนเสร็จแล้วนิยมขุดบ่อน้ำไว้ใช้อุปโภคบริโภค โดยนิยมขุดบ่อไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน และสร้างที่อาบน้ำไว้บริเวณใกล้บ่อน้ำ เพราะแต่เดิมไม่นิยมสร้างส้วมหรือห้องน้ำไว้ในตัวเรือน
๕.๔.๕ การประดับตกแต่งตัวเรือน เรือนไทยมุสลิมดั้งเดิมจะไม่ทาสี แต่จะใช้น้ำมันไม้ทาไม้ทาเพื่อป้องกันปลวก ส่วนการประดับตกแต่งตัวเรือนขึ้นอยู่กับฐานะของเจ้าของบ้าน หากมีฐานะดีจะประดับตัวเรือนด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลายประดับยอดจั่ว ช่องลมและเชิงชาย

     การสร้างบ้านเรือนของชาวไทยมุสลินที่มีความโดดเด่นกว่าที่อื่น ๆ คือที่ปัตตานี อันเนื่องจากปัตตานีเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นบ้านจึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายคือนอกจากจะเป็นเรือนไม้ยกพื้นใต้ถุนสูง ซึ่งเป็นลักษณะร่วมทางสถาปัตยกรรมพื้นฐานของภูมิภาคศูนย์สูตรแล้ว ยังมีลักษณะรูปทรงหลังคาที่โดดเด่นเป็นพิเศษ โดยทั่วไปหลังคาเรือนไทยมุสลิมจะมี ๓ ลักษณะ คือ

 ๑. หลังคาปั้นหยาหรือหลังคาลีมะ คำว่า “ลีมะ” แปลว่า “ห้า” หมายถึงหลังคาที่นับสันหลังคาได้ ๕ ล้น เป็นรูปทรงหลังคาที่ได้รับอิทธิพลจากถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมของชาวตะวันตก หลังคาทรงปั้นหยานี้นับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้และพบได้ทั่วไปในจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี 
๒. หลังคาจั่วมนิลา ชาวมุสลิมเรียกว่า “บลานอ” ซึ่งหมายถึง าวฮอลันดา หลังคาแบบนี้เชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมของชาวฮอลันดา เป็นหลังคาที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับหลังคาปั้นหยา แต่เป็นหลังคาที่มีจั่วติดอยู่เพื่อระบายอากาศและดูสวยงาม หลังคาบลานอนี้จะมีรูปแบบที่สวยงามกว่าแบบอื่นเหมาะที่จะมีจั่วอย่างน้อย ๓ จั่ว โดยมีหลังจั่วแฝดและมีจั่วขนาดเล็กสร้างคลุมเฉลียงหน้าบ้านติดกับบันไดทางขึ้น เพื่อใช้รับรองแขกอย่างไม่เป็นทางการ นอกยากนั้นช่างไม่ยังแสดงฝีมือเชิงช่างในการประดิษฐ์ลวดลายด้วยการแกะสลักไม้ ปูนปั้น เป็นลวดลายประดับลวดลายประดับยอดจั่ว และมีการเขียนลายบนหน้าจั่วหรือตีไม้ให้มีลวดลายเป็นแสงตะวัน
๓. หลังคาจั่ว ชาวมุสลิมเรียกว่า “แมและ” เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลาง แต่จะมีข้อแตกต่างไปจากภาคกลาง ตรงที่มีปั้นลมปีกนกที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรมจากมาเลเซียไม่เหมือนปั้นลมไทย ซึ่งปลายปั้นลมทั้งสองข้างจะมีเหงาปั้นลมประดับอยู่

        ประเภทของเรือนไทยภาคใต้     
     ลักษณะที่โดดเด่นของเรือนไทยทางภาคใต้คือหลังคาที่มีทรงสูง มีความลาดเอียง ลงเพื่อให้น้ำฝน ไหลผ่านได้ อย่างสะดวก ชายคาต่อยาวออกไปคลุมถึงบันได เนื่อง จากฝนตกชุกมาก เสาเรือนไม่นิยมฝังลงไปในพื้นดิน แต่จะใช้ตอม่อหรือฐานเสาที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ศิลาแลง หรือที่ทำจากการก่ออิฐฉาบปูนรองรับ เป็นลักษณะเด่นของเรืองทางภาคใต้ เรือนไทยเรียกได้ว่าเป็นเรือนไทยที่มี “ตีนเสา” เพื่อป้องกันปัญหาการผุกร่อนของเสาเมื่อได้รับความชื้นจากพื้นมาก ๆ วิธีการสร้างนั้นจะประกอบส่วนต่าง ๆ ของเรือนบนพื้นดินก่อนแล้วจึงยกส่วน โครงสร้างต่าง ๆ ขึ้นประกอบเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง การวางตัวเรือนจะหันเข้าหา เส้นทางสัญจรทั้งทางน้ำและทางบก ซึ่งสามารถรับลมบกและลมทะเลได้ การวางตัวเรือนแบบนี้ทำให้คนทางภาคใต้หันหัวนอนไปทางทิศใต้เป็นหลัก รอบ ๆ  บริเวณบ้านไม่มีรั้วกั้นแต่จะปลูกไม้ผล เช่น มะพร้าว มะม่วง ขนุน หรือกล้วย เอาไว้เป็นร่มเงาและแสดงอาณาเขตของบริเวณบ้านแทน นอกจากเรือนพักอาศัย แล้วยังมีอาคารประกอบบ้านเรือน ได้แก่ศาลาซึ่งมีรูปทรงหลังคาเปลี่ยนลักษณะไปตามความนิยมของรูปแบบของเรือนพักอาศัย และการสร้างก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้สอย เช่น ใช้สำหรับพบปะสังสรรค์หรือเป็นศาลาริมทาง ประชากรในภาคใต้ประกอบด้วยชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมเป็นหลัก ทำให้มีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมประเพณีที่หลากหลาย จะเห็นได้ชัดจากการใช้ภาษามลายู และภาษาไทย เป็นต้น   ชาวใต้ประกอบอาชีพทำประมงวิถีชีวิตผูกพันกับท้องทะเล เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่โอบล้อมด้วยทะเลทั้ง ๒ ฝั่ง บางพื้นที่ประกอบอาชีพกสิกรรม  เช่นยางพารา เงาะ ทุเรียน ลางสาด แล ลองกอง เรือนไทยภาคใต้สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
      ๑. เรือนเครื่องผูก


เรือนเครื่องผูกหลังคาจั่ว : หลังคาทั้งชายคากว้างกว่าเรือนไทยในภาคอื่นๆ เพราะภาคใต้ฝนชุก ลมพายุแรง โครงสร้างหลังคาต้องแข็งแรง

ภาพจาก : https://board.postjung.com/952484#

      เรือนเครื่องผูกคือเรือนที่ใช้ไม้จริงเป็นเสารองน้ำหนัก ส่วนโครงสร้างใช้ไม้ไผ่กับจากเป็นส่วนใหญ่ และเครื่องเรือนอื่น ๆ ใช้วัสดุที่หาได้ง่ายตามธรรมชาติ เช่น จาก หญ้าคา แฝก ไม้ไผ่ เป็นต้น ประกอบด้วยการผูกมัดเข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้วิธี ตอก-ผูก-ยึด-ตรึง จะพบเห็นเรือนเครื่องผูกตามชนบทในท้องถิ่นห่างไกล หรือตามพื้นที่เกษตรกรรม โดยทั่วไปไม่ใหญ่โตมากนัก ปลูกสร้างตามอัตภาพ เท่าที่ความจำเป็นจะพึงมี และเท่าที่ฐานะผู้อยู่อาศัยจะสามารถแสวงหาได้ เมื่อฐานะดีขึ้นจึงขยับขยายปลูกเรือนเครื่องสับ เรือนเครื่องผูกหรือเรือนมัดขื่อมัดแป ถือเป็นเรือนแบบดั้งเดิม โครงสร้างจะมีหลังคา เสา ตง พื้นใช้ไม้ไผ่หรือไม้เนื้อแข็ง สามารถก่อสร้างกันได้เองโดยไม่ต้องอาศัยช่างผู้ชำนาญงาน ปลูกสร้างกันอย่างง่าย ๆ ด้วยภูมิปัญญาไทย ที่ดัดแปลงหยิบจับวัสดุหาง่ายจากธรรมชาติมาสร้างเรือนพักคุ้มกันแดดฝน อุปกรณ์ในการสร้างประกอบด้วย

๑. ต้านลม
๒. จันทัน
๓. เสาตอม่อ
๔. ตง
๕. พื้นฟาก
๖. ลูกตั้งกรอบประตู
๗. ขนาบหัวแตะ
๘. บันได
๙. พรึง
๑๐. ฝาขัดแตะ
๑๑. ตับจากหรือแฝก
๑๒. ครอบอกไก่

     เรือนเครื่องผูกมักเป็นกระท่อมแบบง่าย ๆ ใช้ไม่ไผ่เป็นโครงสร้างแล้วผูกด้วยหวาย หลังคามุงจากหรือแฝก ไม่นิยมกั้นฝาห้องแต่จะใช้ม่านกั้นห้องนอนแทนให้เป็นสัดส่วน ไม่มีรั้ว ปลูกติด ๆ กันเป็นหมู่บ้านเพื่อจะได้ช่วยเหลือกัน
 

     ๒. เรือนเครื่องสับ
       


ภาพจาก : http://planbaanthaidd.blogspot.com/2014/08/blog-post_25.html


        เรือนเครื่องสับหรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเรือนฝากระดาน ไม้ที่เอามาสร้างจะต้องเลื่อย ถาก สับ ไส  เรือนเครื่องสับนี้เป็นเรือนไทยที่สร้างด้วยฝีมือ เรือนประเภทนี้ไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วิธีก่อสร้างนั้นโครงสร้างส่วนใหญ่รวมทั้งฝาใช้วิธีเข้าปากไม้ เพื่อให้ไม้ตั้งแต่ ๒ ชิ้นขึ้นไปยึดติดกัน การเข้าปากไม้มีทั้งที่ใช้เดือยใส่ในรูเดือย และวิธีให้ปากไม้วางสับกัน หากต้องใช้ตะปูบ้างจะใช้ตะปูจีนหรือสังขวานรหรือสลักยึดพรึงกับเสา การประกอบเครื่องเรือนทั้งหมดที่เป็นไม้จริงจะนิยมใช้ไม้สัก เพราะมีความคงทนอายุการใช้งานยาวนาน ส่วนเสาเรือนนิยมใช้ไม้เต็ง ไม้รัง และไม้แดง เรือนเครื่องสับเป็นบ้านสำหรับคนฐานะดีขึ้นกว่าแบบเรือนเครื่องผูก การสร้างซับซ้อนกว่า ปลูกด้วยไม้เคี่ยม ไม้หลุมพอ หรือไม้อื่น ๆ ยกใต้ถุนสูงพอคนลอดได้ ตัวเรือนมีความยาวเป็นสองช่วงของความกว้าง มีพื้นระเบียงลดต่ำกว่าตัวเรือนใหญ่และมีนอกชานลดต่ำกว่าพื้นระเบียงอีกที หลังคาจั่วตั้งโค้งแอ่นติดไม้แผ่นปั้นลมแบบหางปลา มุงกระเบื้องและมีกันสาดยื่นออกไปกว้างคลุมสามด้าน เพราะภาคใต้อยู่ในสถานที่ฝนชุก ดังกล่าวแล้ว ระเบียงก็มีชายคาคลุมไว้เช่นกันแล้วแยกเรือนครัวออกไปต่างหาก เรือนพวกนี้มักจะสร้างเพิ่มเป็นเรือนหมู่ประมาณ ๓-๔ เรือน สำหรับลูกหลานเมื่อแต่งงานแยกออกไปอยู่อีกเรือนหนึ่ง เรือนเครื่องสับจะอุปกรณ์ในการสร้างประกอบด้วย

๑. อกไก่
๒. พรหมหน้าจั่ว
๓. ลูกฟักหน้าจั่ว
๔. ปั้นลม
๕. เหงาปั้นลม
๖. แปลาน
๗. หลังคาปีกนก
๘. ไขราหน้าจั่ว
๙. ไขราระเบียง
๑๐. ไขราเชิงชาย
๑๑. ไขราปีกนก
๑๒. หลังคาตัวเรือน
๑๓. หลังคาระเบียง
๑๔. เดี่ยวใบดั้ง
๑๕. เดี่ยวเสาดั้ง
๑๖. ขื่อ
๑๗. เสาตัวเรือน
๑๘. เสาระเบียง
๑๙. รูรอด
๒๐. คอสอง
๒๑. หัวเทียน
๒๒. ใบดั้ง
๒๓. ไหล่ดั้ง
๒๔. ปากง้ามเสา
๒๕. รูเต้า
๒๖. เต้า
๒๗. ปากง้ามด้าม
๒๘. รูหัวเทียน
๒๙. รางขื่อหัวแป
๓๐. หย่อง
๓๑. พรึง
๓๒. รอด
๓๓. อกเลา
 ๓๔. ล่องตีนช้าง
๓๕. พื้นชาน
๓๖. ตงชาน
๓๗. รอดชาน
๓๘. ล่องแมวเรือน
๓๙. บานหน้าต่าง
๔๐. ล่องแมวชาน
๔๑. อัฒจันทร์

       ๓. เรือนก่ออิฐฉาบปูน

ภาพจาก : https://thai-wood-house.blogspot.com/2016/08/blog-post_80.html

       เรือนก่ออิฐฉาบปูนมีลักษณะและองค์ประกอบที่ต่างออกไปจากเรือนเครื่องผูกและเรือนเครื่องสับคือมีการใช้อิฐและปูนในการปลูกสร้าง


ภาพจาก : https://kyl.psu.th/PTMjqqD6_
    


วัตถุดิบและส่วนประกอบ

       ส่วนประกอบหลัก ๆ ของเรือนไทยภาคใต้  มีดังนี้
      ๑. 
 เสา
           เสาเรือนไทยภาคใต้ส่วนใหญ่จะวางเสาไว้บนตอม่อตีนเสาซึ่งจะก่ออิฐฉาบปูน เมื่อต้องการจะทำการย้ายบ้านก็จะปลดกระเบื้องลงตีไม้ยึดโครงสร้างเสาเป็นรูปกากบาท แล้วใช้คนหามย้ายไปตั้งในที่ที่ต้องการ นำกระเบื้องขึ้นมุงใหม่ ก็สามารถเข้าอยู่ได้ทันที เรือนไทยในภาคใต้ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ในการก่อสร้าง รูปทรงของเรือนเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงประมาณคนก้มตัวลอดผ่านได้ เสาทุกต้นไม่ฝังลงดิน แต่จะตั้งอยู่บนแผ่นปูนหรือแผ่นหินเรียบ ๆ ที่ฝังอยู่ในดินให้โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินไม่เกิน ๑ ฟุต เพื่อกันมิให้ปลวกกัดตีนเสาและกันเสาผุจากความชื้นของดิน ตีนเสาตอนล่างห่างจากพื้นดินประมาณ ๑-๒ ฟุตจะมีไม้ร้อยทะลุเสาทุกต้นตามความยาวของเรือนทั้ง ๓ แถว เพื่อทำหน้าที่ยึดให้โครงสร้างของเรือนแข็งแรงมากขึ้น ะมีลมแรงจัด หลังคาทำทรงจั่วถากจันทันให้แอ่นแบบเดียวกับเรือนไทยภาคกลางแต่ทรวดทรงเตี้ยกว่าเล็กน้อย ติดแผ่นปั้นลมแบบหางปลา ไม่นิยมทำตัวเหงา
       ๒
 .  หลังคา
            
หลังคาเรือนภาคใต้หลัก ๆ มีอยู่ ๓ ลักษณะ คือหลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา หลังคามนิลาหรือหลังคาบรานอร์    
             -  หลังคาจั่ว 
เรือนไทยภาคใต้ที่นิยมทำหลังคาจั่วแต่จะไม่ชันมากยอดปั้นลมไม่แหลมเหมือนยอดปั้นลมเรือนไทยภาคกลาง หางปั้นลมไม่นิยมทำเป็นตังเหงาแต่ทำเป็นหางปลา หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากโรงงานกระเบื้องบ้านท่านางหอม ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 
            -  เรือนหลังคาปั้นหยา มีความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาเป็นพิเศษ หลังคาตรงหัวท้ายเป็นรูปลาดเอียงแบบตัดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยมตรงรอยตัดเหลี่ยมหลังคาครอบด้วยกันน้ำฝนรั่ว หลังคาแบบนี้มีโครงหลังคาแข็งแรงมากสามารถทนรับฝนและต้านแรงลมหรือพายุไต้ฝุ่นได้ดีมาก ส่วนใหญ่อยู่ทางแถบจังหวัดสงขลา
            -  เรือนหลังคามนิลา หรือหลังคาบรานอร์เป็นการผสมผสานหลังคาจั่วผสมกับหลังคาปั้นหยา คือส่วนหน้าจั่วค่อนข้างเตี้ยจะเป็นจั่วส่วนบน ส่วนล่างของจั่วจะเป็นหลังคาลาดเอียงลงมารับกับหลังคาด้านยาวอซึ่งลาดเอียงตลอดเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง เรือนแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปัตตานี 
       หลังคาเรือนภาคใต้ที่พบมากจะเป็นบ้านที่มีหลังคาแบบมิลาหรือบรานอร์ แต่จะเพิ่มเติมลายไม้กลมฉลุไม้ที่ส่วนยอด ซึ่งพบมากในชุมชนชาวไทยมุสลิม หลังคาทั้ง ๔ แบบมีอยู่ทั่วไป แต่สัดส่วนของหลังคาจะมีทรงสูงต่ำอย่างไรขึ้นอยู่กับช่างก่อสร้างและวัสดุมุงหลังคาในท้องถิ่นนั้น เช่น ถ้าใช้กระเบื้องดินเผาหรือกระเบื้องขนมเปียกปูน หรือมุงแฝกจาก ความลาดชันของหลังคาจะไม่เท่ากัน
        ๓. 
 ฝาเรือน
           
ฝาเรือนนิยมใช้ไม้ตีเกล็ดตามแนวนอนหรือฝาสายบัวในแนวตั้ง ประตูหน้าต่างใช้แกนหมุนวงกบเข้าเดือย แกะสลักเป็นรูปดาวหรือดอกไม้ บานประตูหน้าต่างเซาะร่อง แกะเป็นลวดลาย บานหน้าต่างทำเป็นลูกฟัก กรอบบนและกรอบล่างฉลุโปร่งเพื่อระบายอากาศ
        ๔.
  พื้นเรือน
             พื้นเรือนนิยมปูด้วยไม้กระดานต่างระดับกัน พื้นเรือนนอนจะสูงกว่าระเบียงและชาน บันไดเรือนคล้ายบันไดเรือนในภาคอื่น ๆ มีตุ่มหรืออ่างใส่น้ำล้างเท้าไว้
        ๕.
  ช่องระบายอากาศ
           ช่องระบายอากาศ ที่ต้องทำไว้เพราะภูมิอากาศที่มีฝนตกชุก จึงไม่นิยมเจาะช่องหน้าต่างของเรือน แต่จะใช้ช่องระบายอากาศส่วนบนสุดใต้หลังคาตีไม้ห่าง ๆ หรือฉลุไม้ให้เป็นลวดลายต่าง ๆ แทน
 
      ๖. เสายอดจั่ว
          
เสายอดจั่ว  ภาษาพื้นเมืองชาวไทยมุสลิมเรียกว่าบูวะหิมูตง ตรงปลายมุมแหลมของยอดจั่ว จะทำเป็นเสาขนาดเล็กทำด้วยไม้กลึง ด้านข้างของเสาตกแต่งลวดลายฉลุไม้


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
เรือนไทยภาคใต้
ที่อยู่
จังหวัด
ภาคใต้


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

เรือนไทยภาคใต้. (2552). สืบค้น 26 ส.ค.  64, จาก https://www.baanjomyut.com/library/thaihouse/04.html
เรือนไทย ๔ ภาค. (2562). สืบค้น 26 ส.ค.  64, จาก https://board.postjung.com/952484#
วิถีความเป็นอยู่ภาคใต้. (2554). สืบค้น 26 ส.ค.  64, จาก https://kyl.psu.th/tAptqent2


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024