ภูิมปัญญาด้านที่อยู่อาศัยของชาวใต้
 
Back    07/10/2024, 11:24    62  

หมวดหมู่

อื่นๆ


ความเป็นมา/แหล่งกำเนิด

                 ภูมิปัญญาของชาวภาคใต้ในเรื่องที่อยู่อาศัยได้มีวิวัฒนาการ ด้านการตั้งถิ่นฐานนำไปสู่ที่อยู่อาศัยและบ้านเรือนในลักษณะต่าง ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิศาสตร์ ดังคติที่ว่า "ต้องปลูกบ้านให้ แค่น้ำ แค่ท่า แค่นา แค่วัด หมายความว่าบ้านที่จะสร้างต้องใกล้แหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค อันได้แก่ใกล้ลำคลอง ลำน้ำ อ่าว ทะเล เพื่อสะดวกในการสัญจรและทำมาหากิน ใกล้นาซึ่งใช้ประกอบอาชีพหลัก และใกล้วัดเพื่อสะดวกในการทำบุญและใกล้ศาสนา นอกจากนี้ชาวภาคใต้มีคติที่จะเลือกสถานที่ และบริเวณตั้งบ้านเรือน ที่สะท้อนถึงความเข้าใจสภาวะดินฟ้าอากาศ ฤดูกาล และความแปรปรวนของธรรมชาติ โดยใช้ภูมิปัญญาและคติทางสถาปัตยกรรมพื้นบ้านหลายประการ เช่น

๑. มีคติห้ามปลูกบ้านเรือน "ขวางหวัน" หรือ "ขวางทางตะวัน" (เอาด้านสกัดไปทิศเหนือและทิศใต้) เพราะขวางทางลมมรสุมอาจทำให้หลังคาปลิวและถูกพายุพัดพังได้ง่าย และยังเป็นเหตุให้แสงแดดส่องหน้าบ้านครึ่งวันส่องหลังบ้านครึ่งวัน ทำให้ร้อนอบอ้าวตลอดวัน
๒. นิยมทำประตูหน้าต่างให้แคบ เตี้ย และเปิดเข้าด้านใน หรือแบบเลื่อนช่วยแก้ปัญหาลมโยก ลมตีเมื่อเปิดและปิด
๓. ทำหลังคาทรงสูงชัน เพื่อกันลมเปิดและให้น้ำฝนไหลเร็วไม่รั่วง่าย ชายคาเตี้ยและยื่นยาว เพื่อช่วยกันแดดส่องและฝนสาดตัวบ้าน แนวเชิงหน้าจั่วมีหลังยื่นออกไปเรียกว่า "ปีกนก" หรืออาจต่อยาวจนต้องมีเสาค้ำยันเรียกว่า "ลงพาไล" เพื่อกันแดดส่องฝนสาดตัวบ้าน มีช่องให้ลมผ่านระหว่างพื้นบ้านกับพื้นระเบียง และระหว่างเหนือแนวฝากับหลังคา เพื่อให้ลมอากาศระบายถ่ายเท เรียกว่า "ล่องแมว" และ "ล่องลม" 

                   เรือนไทยภาคใต้
                   
เรือนไทยภาคใต้ที่พบเห็นทั่วไป ประกอบด้วย

๑. เรือนเครื่องผูก
    เรือนเครื่องผูก คือเรือนที่ใช้วัสดุต่าง ๆ ประกอบกันเข้ากับโครงสร้างและตัวเรือน โดยการผูกยึดด้วยเชือก เถาวัลย์ วัสดุหลักมักเป็นไม้ไผ่และไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ที่ล้วนแล้วแต่หาได้ภายในท้องถิ่น ภูมิปัญญาในการสร้างเรือนไทยเครื่องผูกของชาวใต้ ปรากฏดังนี้
      ๑.๑ การปลูกบ้านโดยมีตีนเสา (ทำด้วยก้อนหินหรือไม้หรือวัสดุอื่น ๆ) รองรับเสาเรือนแทนการขุดหลุมฝังเสา เพื่อสะดวกในการย้ายบ้านหรือเพื่อกันการผุเปื่อย อันเนื่องด้วยความขึ้นสูง และยังกันมด ปลวก หรือสัตว์เลื้อยคลาน หนีน้ำขึ้นบ้านเมื่อฝนตกหนักหรือน้ำท่วมได้อีกด้วย
      ๑.๒ การใช้ฟากปูพื้นเรือน ฟากที่ปูพื้นเรือนอาจทำด้วยไม้ไผ่ หรือไม้หมากฝ่าตามยาวของลำดัน เหลาให้กลมหรือแบนใช้ทวายผูกรัดให้แน่น การจัดวางขี่ฟากวางไว้ห่างกันเล็กน้อย เพื่อให้อากาศถ่ายเหได้สะควก และรักษาความสะอาดได้ดี
      ๑.๓ การใช้ไม้ไผ่สานฝาทำฝาบ้าน โดยนำไม้ไผ่มาผ่าซีกแล้วทุบให้แบน นำมาสานเป็นฝากั้นบ้าน ช่องว่างระหว่างไม้ไผ่แต่ละอันจะทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก นอกจากนั้นการสานฝาให้เป็นลายต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดความสวยงามอีกด้วย
       ๑.๔ วัสดุใช้มุงหลังคา เป็นวัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ใบหวายนั่ง ใบจาก ใบสาคู  ซึ่งวัสดุเหล่านี้ไม่เก็บความร้อนและทำให้บ้านเย็นสบาย
        ๑.๕ บันไดเรือนไทยเครื่องผูก มักการมีใต้ถุนเรือนสูงโล่ง ซึ่งต้องทำบันไดให้สามารถขึ้นเรือนได้สะดวก บันไดเรือนไทยเครื่องผูกสามารถยกลากขึ้นเรือนได้เพื่อป้องกันสัตว์ร้าย


ภาพจาก : https://board.postjung.com/952484#

๒. เรือนเครื่องสับ
     เรือนเครื่องสับเกิดขึ้นหลังเรือนเครื่องผูก เนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้ในการแปรรูปไม้ยังใช้ขวาน เลื่อย สำหรับตัดหรือโค่น และตัดแต่งต้นไม้จึงเรียกเรือนที่ใช้การสับ ตกแต่งด้วยขวานและมีดพร้า จึงเรียกบ้านเรือนที่สร้างประเภทนี้ว่าเรือนเครื่องสับ ลักษณะของเรือนเครื่องสับในภาคใต้ประกอบด้วย
      ๒.๑ ใต้ถุนสูงโล่ง มีคันเสารอง เป็นภูมิปัญญาในการสร้างเรือนไทยเครื่องสับของชาวภาคใต้ ที่ให้ความมั่นคงถารและปลอดภัยมากกว่าเรือนเครื่องผูก นอกจากนี้ใช้เป็นสถานที่ทำงานหัตถกรรม และที่เลี้ยงสัตว์ได้ด้วย
       ๒.๒ ช่องลม เรือนเครื่องสับใช้ฝากั้นกระดาน ลมพัดผ่านได้ยากภายในตัวเรือนจะร้อนอบอ้าว ช่วงพื้นบ้านจึงต้องเว้นช่องลมเอาไว้ เพื่อระบายอากาศ โดยจะเว้นไว้ที่ขื่อ คือการใช้ชื่อสองชั้นซึ่งเรียกว่า "คอสอง" นอกจากนั้นอาจจะใส่ช่องลม ในส่วนอื่นของบ้านเพื่อระบายอากาศได้มากขึ้น
       ๒.๓ การใช้เดือย ใช้ลิ่มแทนตะปู เนื่องจากตะปูหายาก และยังขึ้นสนิมอีกด้วย ช่างพื้นบ้านจึงหาวิธีแก้ปัญหาด้วยการบาก เจาะ หรือต่อไม้
       ๒.๔ วัสดุที่นำมาสร้างที่พักอาศัย คือสิ่งที่หาได้ง่ายในในหลังคาและฝามักใช้ใบปาล์มชนิดต่าง ๆ ที่หาง่ายในท้องถิ่น เช่น ใบชิง (กระชิง) ตาล ลาน สิเหรง จาก สาคู องค์ประกอบของบ้านชาวใต้จะเป็นไปตามประโยชน์การใช้สอยและวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันของครอบครัว มักประกอบด้วยห้องนอนของหัวหน้าครอบครัว มีห้องโถงรวม ใช้เป็นห้องนอนรวม รับรองแขกและสนทนาวิสาสะกัน มีห้องครัวและห้องเก็บข้าวเลียง (ลอมข้าว ) ซึ่งมักแยกเป็นหลังหนึ่ง ต่างหากหลังคาเรือนไทยภาคใต้จะมี ๓ ลักษณะ คือ
              ๒.๔.๑ หลังคาจั๋ว ในชุมชนประกอบอาชีพกสิกรรมและประมงจะปลูกสร้างเรือนหลังคาทรงจั่ว ไม่ตกแต่งหน้าจั่ว วัสดุมุงหลังคาส่วนใหญ่จะใช้ใบจาก

           ๒.๔.๒ หลังคาปั้นหยา มีความแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาเป็นพิเศษ หลังคาตรงหัวท้ายเป็นรูปลาดเอียงแบบตัดเหลี่ยม หลังคามุงกระเบื้องแผ่นสี่เหลี่ยม เรือนแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ในแถบจังหวัดสงขลา
             ๒.๔.๓ หลังคามนิลาหรือหลังคาบรานอร์หรือแบบรานอร์ เป็นการผสมผสานหลังคาจั่วกับหลังคาปั้นหยา คือส่วนหน้าจั่ว ค่อนข้างเตี้ยเป็นจั่วส่วนบน ส่วนล่างของจั่วเป็นหลังคาลาดเอียงลงมารับกับหลังคาด้านยาว ซึ่งลาดเอียงตลอดเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงเรือนแบบนี้ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดปัดตานี


ภาพจาก : https://live.staticflickr.com/4677/40466875922_7bc1ab7295_b.jpg

                  เรือนไทยมุสลิม
             เรือนไทยมุสลิมจะมีลักษณะเรือนไทยมุสลิม ซึ่งสะท้อนอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อการสร้างบ้านเรือนทั้งในรูปแบบการใช้พื้นที่ การอยู่อาศัย การประกอบกิจกรรมในการดำรงชีวิตและการประดับตกแต่งตัวเรือนให้งดงาม โดยทั่วไปเรือนมุสลิมเป็นเรือนแฝด และสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกันและมีการเล่นระดับพื้นเรือนให้ลดหลั่นกันไป การลดระดับฟื้นจะเห็นได้ชัดว่ามีการแยกลัดส่วนจากกันในการประกอบกิจกกรรมต่าง ๆ บางเรือนเมื่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว ยังต้องกำหนดพื้นที่ให้เป็นบริเวณที่ใช้ทำพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำวันละ ๕ ครั้ง เนื่องจากประเพณีความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายและหญิงอย่างชัดเจน ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไว้ทั้งทางขึ้นหน้าบ้านและทางขึ้นครัว โดยทั่วไปผู้ชายใช้บันไดหน้า ส่วนผู้หญิงใช้บันไดหลังบ้าน และยังไม่รบกวนแขกในการเดินผ่านไปมาอีกด้วย โดยส่วนใหญ่ชาวไทยมุสลืมไม่ตกแต่งบ้านด้วยลวดลายที่เป็นรูปคนหรือสัตว์ เพราะขัดต่อหลักศาสนาแต่นิยมตกแต่งจั่ว ช่องลม ราวบันได ประตู หน้าต่าง หัวเสาเป็นลวดลายทรงเรขาคณิต ลายเครือเถา และอักษรประดิษฐ์
                 เรือนจีนชิโนโปรตุกีส 
                บ้านเรือนจีนแบบชิโนโปรตุกีส (Sino-Fortuguese) คือรูปแบบของสถาปัดยกรรมที่ผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก ในแหลมมลายูในสมัยจักรารารารารวรดินิยมตะวันตก มีลักษณะผมสมผสานระหว่างสถาปัดยกรรมยุโรปและศิลปะจีน คือสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม/อาคารแบบโคโลเนียล (Colonial Stye) ถ้าเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย (shcp-hcuse cr seni-reidento) ด้านหน้าอาคารชั้นล่างมีช่องโค้ง (arh) ต่อเนื่องกันเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นช่องทางเดินท้า ภาษาไทยเรียกทับศัพท์ว่า "อาเขต" (orcode) หรือภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า "หง่อคาซี่" ซึ่งมีความหมายว่าทางเดินกว้างฟุตนอกจากนี้อาคารแบบโคโลเนียล ได้นำลวดลายศิลปะตะวันตกแบบกรีก โรมัน หรือเรียกว่า "สมัยคลาสสิก" เช่น หน้าต่างวงโค้งเกือกม้าสิ่งที่ผสมผสานศิลปะจีน คือลวดลายการตกแต่ง ภาพประติมากรรมจำหรือนูนสูง ทำด้วยปูนปั้นระบายสีของช่างฝีมือจีนประดับอยู่บนโครงสร้างอาคารแบบโปรตุเกส บานประตูหน้าต่าง ตลอดจนการตกแต่งภายในที่มีลักษณะเป็นศิลปะแบบจีนสถาปัตยกรรมชิโน-โปรตุกีส แบ่งเป็น ๒ ประนภท คือเตี้ยมฉู่หรือตึกแถวเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค่ากึ่งที่อยู่อาศัย ชั้นล่างแบ่งพื้นที่อาศัยด้านหน้าเป็นร้านค้าหรือสำนักงาน พื้นผนังตกแต่งด้วยลายปูนปั้นกั้นทั้งแบบจีนและตะวันตกผสมกันอย่างลงตัว อีกประเภท คืออั่งม้อหลาว เป็นภาษาจีนฮกเกี๋ยน หมายถึงคฤหาสน์แบบฝรั่งที่นายหัวเหมืองแร่สร้างเป็นที่อยู่อาศัย

                อาคารศาสนสถาน
                มัสยิด 
             
อาคารมัสยิดเป็นสถานที่ซึ่งชาวมุสลิมโช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่นนมัสการพระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งกิจกรรมอื่น ๆ เป็นสถานที่ประเสริฐสุด ลักษณะการก่อสร้างเป็นแบบเสากลม รูปลักษณะแบบเสาโกธิกของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมน ส่วนที่สำคัญที่สุด คือหลังคาเป็นยอดโดมขนาดใหญ่และมีโดมบริวาร ๔ ทิศ มีหอคอคออยู่สองข้าง บริเวณด้านหน้ามัสยิดอาจจะมีสระน้ำสีเหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในมัสยิดผิดมีลักษณะเป็นห้องโถงขนาดใหญ่
                วัด
           
อาคารวัดในภาคใต้ ในอดีตอาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรืองขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๘ มีอิทธิพลในงานศิลปกรรมทมี่เรียกว่าศิลปะแบบศรีวิชัย ซึ่งมีแบบแผนความงามเกี่ยวข้องกับศิลปะชวาภาคกลางของอินโดนีเซียและต่อเนื่องกับศิลปะอินเดียในสมัยคุปตะ และแบบสมัยปาลวะ เช่น พระบรมธาตุไชยา ซึ่งสร้างบนฐานสี่เหลี่ยมสูงเรียกว่าเรือนธาตุ บนเรือนธาตุเป็นสถูปรูประฆังมียอดเป็นฉัตรช้อนขึ้นไป มุมทั้งสี่ของเรือนธาตุมีสถูปจำลองประดับอยู่ เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เลียนแบบสถูปศิลปะคุปตะและปาลวะ ลักษณะหนึ่งของศิลปะศรีวิชัยที่พบในวัดหลายแห่งของภาคใต้ คือคตินิยมสร้างเจดีย์บริวารล้อมรอบเจดีย์องค์ใหญ่ ซึ่งเป็นคติความเชื่อแบบพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เมื่อพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์เข้ามาแทนที่ฝ่ายมหายาน อิทธิพลงานศิลปกรรมลังกาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างงานสถาปัตยกรรมของศรีวิชัย เป็นแบบสถูปทรงครึ่งวงกลมหรือทรงโอคว่ำ ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมเตี้ย ๆ เช่น สถูปเติมที่อยู่ในสถูปประธานของวัดมหาธาตุ 
                ศาลเจ้า
          อาคารศาลเจ้าจะมีหลังคาทรงเก๋งจีน มีจั่วยอด จั่วมีทั้งแบบโค้งมน จั่วเหลี่ยม มีทั้งหลังคาเดี่ยวและสองหลังคา สันหลังคาก่ออิฐถือปูน ฉาบผิวตกแต่งด้วยกระเบื้องปรุเคลือบและลายปูนปั้น นิยมเจาะช่องหน้าต่างเฉพาะด้านหน้า ด้านข้างเจาะช่องลมขนาดเล็ก ศาลเจ้าจะเปิดโล่งด้านหน้า โครงสร้างของอาคารจะใช้ระบบผนังรับน้ำหนัก วัสดุใช้อิฐ หินปูน บางส่วนอาจใช้ซุงกลมหรือเหลี่ยมเป็นส่วนประกอบใช้หินแกรนิตร่วมด้วย เช่น สกัดเป็นกรอบประตูปูพื้น และบันได


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
ภูิมปัญญาด้านที่อยู่อาศัยของชาวใต้
ที่อยู่
จังหวัด
ภาคใต้


บรรณานุกรม

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. คณะศิลปศาสตร์. ภาควิชาสารัตถศึกษา. (2554). วันสายรากภาคใต้
             โครงการ Learning Resourcess' 54 กลุ่มวิชาโทมัคคุเทศก์ : ภูมิปัญญาภาคใต้ ด้านที่อยู่อาศัย. ภาควิชาสารัตถศึกษา
             คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024