
ภาพจาก : https://link.psu.th/kcHm2p
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวติศาสตร์ มีพื้นที่โดยประมาณ ๑๒,๘๙๑ ตารางกิโลเมตร (๘,๐๕๖,๘๗๕ ไร่) เป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๖ ของประเทศ สภาพภูมิประเทศมีความหลากหลายตั้งแต่เกาะขนาดต่าง ๆ ในทะเลอ่าวไทย ภูเขา ที่ราบสูง ที่ราบชายฝั่งทะเลกับที่ราบลุ่มแม่น้ำ มีแม่น้ำที่สำคัญคือแม่น้ำตาปีกับแม่น้ำไชยา มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ ๑๕๖ กิโลเมตร เป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้น ๆ ของประเทศ มีดอกไม้ประจำจังหวัดคือบัวผุด
บัวผุดพบครั้งแรกที่อุทยานแห่งชาติเขาสก อำเภอคีรีรัฐนิคม อำเภอบ้านตาขุน และอำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rafflesiakerri Meijer ชื่อวงศ์ Raffiesiacoae ลักษณะเป็นกาฝากที่เจริญเติบโตได้ด้วยน้ำเลี้ยงจากราก และลำต้นของไม้เถาที่ชื่อว่าย่านไก่ต้ม (Tetrasigmapapillosumplanch) มักขึ้นอยู่ตามป้าดงดิบชื้นที่มีฝนตกชุกตลอดปีโดยเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศไทย ถือเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เพราะเมื่อดอกตูมจะมีลักษณะคล้ายหม้อขนาดใหญ่ครั้นบานเต็มที่ดอกมีสีส้ม โคนดอกมีลักษณะคล้ายกลีบหนามสีเหลืองสลับน้ำตาลเรียงรายอยู่บริเวณกลางดอก มีกลิ่นเหม็น กลีบดอกหนา ๐.๕-๑ เซนติเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ ๕๐-๙๐ เชนติเมตร มีอายุเพียง ๔-๕ วันเท่านั้น จากนั้นดอกจะเที่ยวโรยและเฉาจนกลายเป็นสีดำ ดอกบัวผุดเป็นดอกไม้ที่มีรูปลักษณ์แปลกตา สร้างสีสันให้แก่ผู้พบเห็น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมความงามของดอกบัวผุดได้ที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ห่างจากน้ำตกแม่ยาย ๒ กิโลเมตร ต้องเดินเท้าผ่านป่าดงดิบขึ้น เส้นทางค่อนข้างชัน เป็นระยะทางตั้งแต่ ๑.๕-๔ กิโลเมตร ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานฯ เพื่อนำทาง ดอกบัวผุดจะออกดอกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายนของทุกปี
บัวผุดหรือบัวผุดหรือบัวตูมหรือกระโถนฤาษี พบในป่าดิบตั้งแต่แหลมมลายูลงไปและในไทยพบที่อุทยานแห่งชาติเขาสก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดอกบัวผุดเป็นพืชกาฝากที่อาศัยน้ำเลี้ยงจากรากของเถาวัลย์น้ำอย่างเครือเขาน้ำหรือส้มกุ้ง ไม่มีลำต้น ไม่มีใบ มีเพียงดอกสีแดงประแต้มเหลืองใหญ่ราว ๑๐ เซนติเมตร โผล่ขึ้นมาจากดิน บัวผุดเป็นพืชที่มีดอกขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีกลิ่นที่เหม็นมาก ลักษณะคล้ายกับหม้อขนาดใหญ่มีกลีบหนา มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๕๐-๑๐๐ เซนติเมตร ภายในดอกจะมีแผ่นแบนคล้ายจาน ส่วนด้านบนมีปุ่มคล้ายหนามแหลมจานนี้จะซ้อนเกสรตัวผู้กับรังไข่ไว้ด้านล่าง ที่โคนของดอกมีกลีบนำสีน้ำตาลอมเหลืองเรียงสลับซับซ้อนกันอยู่มาก เมื่อดอกยังสดอยู่ดอกบัวผุดจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ ๑๐ กิโลกรัม กลีบดอกมีความหนาตั้งแต่ ๐.๕-๑ เซนติเมตร ใช้เวลาในการเติบโตนานกว่า ๙ เดือน และดอกบัวผุดจะบานอยู่ได้แค่ ๔-๕ วัน ต่อจากนั้นจะค่อย ๆ ดำและเน่าเปื่อยไป สำหรับบัวผุดที่พบในประเทศไทยได้รับการตั้งชื่อเป็นสปีชีส์ของโลกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ โดย Dr. W. Meijer จากมหาวิทยาลัยเคนตักกี สหรัฐอเมริกา และตั้งชื่อพฤกษศาสตร์สากลเพื่อเป็นเกียรติแก่นายแพทย์ชาวไอริส Dr. A. F. G. Kerr ผู้สำรวจพันธุ์ไม้ชนิดนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งจากผลการสำรวจและวิจัยของฝ่ายพฤกษศาสตร์ กองบำรุง กรมป่าไม้ พบว่าบัวผุดพันธุ์ใหม่ที่พบในประเทศไทย เป็นพืชกาฝากที่เกาะกินเฉพาะน้ำเลี้ยงจากรากของไม้เถาของว่านป่าที่มีชื่อว่าย่านไก่ต้ม (Tetrastigma papillosum Planch) เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ทำให้หลาย ๆ คน เข้าใจผิดว่าเป็นดอกของย่านไก่ต้ม แต่ความจริงแล้วเถาย่านไก่ต้มเป็นพันธุ์ไม้ในวงศ์องุ่น (Vitidaceae) ที่มีเถาขนาดใหญ่ พบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ที่มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี พื้นดินเป็นดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายตามหุบเขาหรือบริเวณริมลำธาร ซึ่งดอกย่านไก่ต้มนี้จะมีสีเขียวอมเหลืองขนาดโตประมาณ ๒ เท่าของหัวไม้ขีดไฟ และจากการศึกษาพบว่าพันธุ์ไม้ตระกูลบัวผุด (Raffiesia) มีประมาณ ๑๓-๑๔ พันธุ์ ดอกบัวผุดจัดเป็นพืชสมุนไพรที่หายากและมีคุณค่าสูงมาก เป็นยาแผนโบราณที่ค้นพบในสมัยโบราณ ช่วยแก้โรคได้หลายชนิด เช่น โรคท้องร่วง โรคเหน็บชา โรคเบาหวาน อาการไอ อาการหอบ อาการปวดเอว อาการปวดหลัง สตรีมีครรภ์รับประทานจะช่วยทำให้คลอดง่าย และนิยมนำมาปรุงเป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอด ให้มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ร่างกายกระปรี้กระเปร่า เลือดลมดี ร่างการผุดผาด มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง และดอกบัวผุดยังเป็นยาบำรุงสำหรับบุรุษเพศ และในปัจจุบันดอกบัวผุดนับได้ว่าหาชมได้ยาก เพราะป่าไม้ที่ถูกทำลายทำให้สภาพนิเวศน์ของป่าเปลี่ยนไป ซึ่งในประเทศไทยจะพบดอกบัวผุดได้ตามอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองนาคา จังหวัดระยอง เป็นต้น ดังนั้นในการชมความสวยงามของดอกบัวผุด ที่จะมีให้เห็นกันปีละครั้งจะต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับของอุทยานฯ อย่างเคร่งครัด และต้องคอยระมัดระวังในการเดินชมดอกบัวผุด เพราะหากเผลอเหยียบปุ่มตาของบัวผุดที่ติดอยู่กับเครือเถาวัลย์ย่านไก่ต้ม จะทำให้ดอกบัวผุดดอกนั้นตายและสูญพันธุ์ ไม่มีโอกาสที่จะเจริญเติบโตขึ้นมาได้อีก
บัวผุดพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย ชอบขึ้นตามป่าดิบชื้นหรือเขาหินปูนที่มีความสูง ๒๐๐-๑๖๐๐ เมตร ดอกตูมกินได้และมีความเชื่อว่ามีสรรพคุณด้านสมุนไพรหลายอย่าง บำรุงกำลัง ความน่าสนใจและดึงดูดชวนหลงไหลของบัวผุด ทำให้มันเป็นที่คุ้นตาคนทั่วไปและไปปรากฎอยู่ในหลาย ๆ ที่ โดย Rafflesia arnoldii ได้รับเกียรติเป็นหนึ่งในสามดอกไม้ประจำชาติของอินโดนีเซีย ส่วนเจ้าบัวผุด R. kerrii ของเราก็ได้กลายเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในมาเลเซียดอกของบัวผุดปรากฎตัวหราอยู่บน ธนบัตร แสตมป์ ไม่เว้นแม้แต่บนถุงบรรจุอาหาร ดอกบัวผุดที่พบในประเทศไทยได้รับการตั้งชื่อเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ โดย วิลเลิม เมเยอร์ (Willem Meijer) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ จากมหาวิทยาลัยเคนทักกี ดอกบัวที่ผุดขึ้นมาจากดินโดยอาศัยรากขององุ่นป่าก่อเกิดปุ่มปมเล็กขนาดเท่าเหรียญปรากฎขึ้นมา และตุ่มนั้นค่อย ๆ โตขึ้นเหมือนเนื้อร้าย จนมีขนาดสุดท้ายเท่าหัวกะหล่ำผุดขึ้นเป็นก้อนโตเหนือพื้นดิน รวมตั้งแต่ดอกจิ๋วจนถึงเท่ากะหล่ำต้องใช้เวลาถึง ๙ เดือนในการเจริญเติบโต หลังจากฟักตัวอยู่ ๙ เดือน กลีบดอกทั้งห้าก็คลี่ออกเปิดให้เห็นกำบังดอกสีแดงขนาดลูกฟุตบอล ภายในมีจานดอกเต็มไปด้วยหนามขนาดใหญ่ พร้อมกันกลิ่นเน่าก็ขจรกระจายไปดึงดูดแมลงวันมากมายให้หลงมาผสมเกสร จึงกลายเป็นที่มาของชื่อฝรั่งคือดอกไม้ศพ และในเวลาแค่ไม่เกินสัปดาห์หลังจากดอยไม้เผยอกลีบ บัวผุดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ และเน่าผุพังกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินดำใต้ป่าดิบครึ้ม รอวันให้เถาองุ่นป่าดูดซึมไปและนำไปหล่อเลี้ยงดอกอื่นต่อไปอีกครั้งหนึ่ง บัวผุดเป็นพืชล้มลุกเบียนรากไม่มีคลอโรฟิลล์ ดอกและลำต้นออกมาจากหัวใต้ดิน มีเนื้อเยื่อแข็งหนาของรากพืชอาศัยรูปถ้วยรองรับตาดอก ดอกมีเพศเดียว ฐานดอกกว้าง ๘-๙ ซม. ใบประดับ ๑๕ อัน เรียงกัน ๕ วง วงละ ๓ อัน มีสีแดงเข้มอมน้ำตาล ยาวได้ถึง ๑๘ ซม. กว้างประมาณ ๑๔ ซม. มีริ้วเป็นเส้นตามยาว ตาดอกเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๖-๒๕ ซม. ดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลางยาว ๕๐-๗๐ ซม. มีกลิ่นเหม็นช่วยในการล่อแมลง กลีบรวมโคนเชื่อมติดกันรูปถ้วย เส้นผ่านศูนย์กลาง ๘-๑๔ ซม. มี ๕-๖ กลีบ เรียงซ้อนเหลื่อมรูปรีกว้าง กว้างถึง ๒๔ ซม. ด้านในเป็นแอ่ง แผ่นกลีบมีตุ่มหูดสีแดงอ่อนกระจายด้านบน กะบังลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓๐ ซม. แผ่นกะบังกว้างประมาณ ๖ ซม. มีวงตุ่มหูดประมาณ ๕ วง ช่องเปิดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒๐ ซม. ด้านล่างมีจุดสีขาวบนก้านชูสีแดงเรียง ๗-๙ วง กว้างประมาณ ๗ มม. มีเกล็ดบางสีน้ำตาล ยาว ๐.๕-๑ ซม. ปลายบวมหรือเป็นแอ่งจานฐานดอกเส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๗-๑๘ ซม. ขอบมีรอยเชื่อมกว้าง ๒.๕-๓.๕ ซม. เส้าเกสรเส้นผ่านศูนย์กลาง ๖.๕-๗ ซม. มีปุ่ม ๒๗-๔๔ อัน สีน้ำตาลอมเหลืองยาวประมาณ ๓.๕ ซม. จานฐานดอกและเส้าเกสรมีไข่ในดอกเพศผู้โคนมีขนแข็งยาว ๓-๔ มม. อับเรณูติดอยู่ในโพรงใต้ระหว่างวงขอบจานฐานดอกบนและล่างช่องกว้างประมาณ ๑ ซม. มีแนวสันลึกมีขนครุยยาวประมาณ ๑.๕ ซม. อับเรณูมี ๒๖-๓๑ อัน สีขาวรูปไข่ยาว ๙ มม. ดอกเพศเมียคล้ายดอกเพศผู้ ไม่มีอับเรณูและโพรงติดอับเรณู รังไข่ติดที่ฐานเส้าเกสร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณหนึ่งในสามของตาดอกผลสดมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
ดอกบัวผุดในอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะเปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนพฤศจิกายน–เดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งนักท่องเที่ยวจะต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ ๒-๕ กิโลเมตร ถึงจะพบดอกบัวผุดเบ่งบาน โดยเส้นทางการเดินจะค่อนข้างชันและมีความเป็นธรรมชาติค่อนข้างสูงมาก นักท่องเที่ยวจึงไม่ควรเร่งรีบในการเดิน ควรจะเดินไปเรื่อย ๆ เดินบ้าง พักบ้าง และในการชมความงดงามของดอกบัวผุด ควรเก็บแค่ภาพกับความประทับใจกลับบ้านไปเท่านั้น หากมีการฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของอุทยานแห่งชาติเขาสกจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในทันที

ภาพจาก : https://link.psu.th/kcHm2p
บัวผุด บัวสวรรค์ บัวตูม ดอกไม้ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดอกไม้อัศจรรย์ หาชมได้ยาก. (2560). สืบค้นจาก https://link.psu.th/kcHm2p
วรพจน์ บุญความดี. (2567). ดอกบัวผุด ดอกไม้ยักษ์กลางป่า และนิเวศวิทยาอันลึกลับของมัน. (2567). สืบค้นจาก https://link.psu.th/fTvtCv