ชาติภูมิ
เพลงบอกเนตรมีชื่อจริงว่าเนตร ชลารัตน์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาเพลงบอก เป็นนักเล่นเพลงบอกซึ่งมีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เนตร ซลารัตน์ เกิดเมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ปีวอก ตรงกับปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่บ้านหมู่ที่ ๕ ตําบลอินคีรี อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาชื่อนายโต มารดาชื่อนางนุ่ม ชลารัตน์ ปู่ชื่อขุนวิจารณ์ ฯ ย่าชื่อนางคุ้ม เป็นชาวบ้านประตูชัยใต้ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ตาชื่อนายมี และยายชื่อนางเป็ด อยู่ที่ตําบลอินคีรี กิ่งอําเภอพรหมคีรี (ปัจจุบันอยู่ในเขตอําเภอพรหมคีรี) จังหวัดนครศรีธรรมราช เนตร ชลารัตน์ เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๑๑ คน ซึ่งเป็น ผู้ชาย ๕ คน และผู้หญิง 5 คน (ปัจจุบันนี้พี่น้องทั้ง ๑๐ คน ถึงแก่กรรมหมดแล้ว)
การศึกษาและอาชีพ
เมื่อเพลงบอกเนตร อายุ ๙ ปี ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดป่ากิว ตําบลบ้านเกาะ อ้าเภอเมือง (ปัจจุบันอยู่ในเขตอําเภอพรหมคีรี) จังหวัดนครศรีธรรมราช กับพระครูสังฆวินัย (จันทร์) หลังจากนั้นก็ออกไปอยู่บ้านเลี้ยงควายกับพ่อซึ่งมีอยู่ประมาณ ๕๐ ตัว และช่วยพ่อแม่ทํานาอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาอีกไม่นานได้ไปอาศัยอยู่กับพี่ชายซึ่งเป็นกํานันของตําบลอินคีรี จนอายุได้ ๑๔ ปี ก็ได้รู้จักกับนายสุขปราชญ์ ซึ่งเป็นนักเลงกลอนมีชื่อเสียงในสมัยนั้น ได้พยายามฝึกหัดเทศน์มหาชาติภัณฑ์มหาพนและทัณฑ์กุมารกับนายสุขปราชญ์จนคล่องแคล่ว กอปรกับสุขปราชญ์เป็นครูสอนกลอนเพลงบอกอีกด้วย ในสมัยนั้นนิยมเล่นกลอนเพลงยาวโต้ตอบกันอย่างแพร่หลาย เพลงบอกเนตรเป็นผู้หนึ่งที่นิยมเขียนกลอนเพลงยาวจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เคยเขียนเพลงยาวโต้ตอบกับผู้หญิง ซึ่งมีชื่อเสียง มากคนหนึ่งคือนางป้อม (ชาววัดศพ) จนเป็นที่เลื่องลือในฝีปากอันคมคาย ส่วนผู้มีฝีปากทางการเขียนเพลงยาวที่มีชื่อเสียงมากระยะนั้นมีหลายคน เช่น นายวิน พระภิกษวัดกิว นายสุขปราชญ์ เป็นต้น ระยะนี้เองที่เพลงบอกเนตรใช้ชีวิตไปในทางสนุกเฮฮามากยิ่งขึ้น เพราะเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์และมีวิชา หนังสือติดตัวควบคู่ไปกับวิชาการเขียนเพลงยาว ทําให้รู้สึกได้เปรียบผู้ชายคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน เมื่อบิดาเห็นว่าเพลงบอกเนตรมีความประพฤติไม่ค่อยเรียบร้อย เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี บิดานำท่านไปฝากให้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณรัตนธัชมุนี (ม่วง) วัดท่าโพธิ์ เพื่อเป็นการฝึกหัดนิสัยและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมท่านได้บวชเรียนเป็นสามเณรที่นั่นและได้หมั่นศึกษาเล่าเรียนสวดมนต์แปล ศึกษาข้อธรรมะต่าง ๆ และเนื่องจากที่นั่นมีนักเล่นเพลงบอกมาชุมนุมประลองฝีปากกันเป็นประจำ ท่านจึงได้ซึมซับและรักชอบในเพลงบอก เมื่อลาสิกขาบทออกมาก็ช่วยพ่อแม่ทำนา และเลี้ยงควายอยู่จนกระทั่งอายุได้ ๒๒ ปี (พ.ศ. ๒๔๕๔) ได้แต่งงานกับนางสาวกิมพั้ว หลีซิวเซ็ก ซึ่งเป็นหลานของสุขปราชญ์นั่นเอง หลังจากแต่งงานก็มีอาชีพทำนา ทำสวน แต่ก็ยังคงฝึกหัดแต่งกลอนต่าง ๆ ที่ตนสนใจอยู่เป็นประจำ ท่านเคยตั้งคณะหนังตะลุงออกแสดงอยู่ระยะหนึ่งแต่ไม่ได้รับความนิยมจึงเลิกล้มไป แต่ได้หันมาแต่งบทหนังตะลุง บทกลอนโนรา ให้ผู้อื่นแสดงหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ บท เช่น เรื่องนกกระจาบ โคคาวี หอยสังข์ และเต่าทอง เป็นต้น เพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และให้บวชเรียนเป็นสามเณร ระหว่างที่กําลังบวชเรียนอยู่นั้นได้หมั่นศึกษาเล่าเรียนสวดมนต์แปลจน ได้คล่องแคล่วพอสมควร แต่บวชอยู่ได้ไม่นานก็ลาสิกขาบทออกช่วยพ่อแม่ทํานาระยะนี้เริ่มสนใจเพลงบอกอย่างจริงจัง นอกจากนี้ยังได้แต่งบทคำตักขับในงานบวชนาค แต่งบททำขวัญนาค บททำขวัญข้าว และบททำขวัญช้างไว้ด้วย เมื่ออายุได้ ๒๔ ปี ได้ประชันกับเพลงบอกกับเพลงบอกที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นได้แก่เพลงบอกปาน (บอด) เพลงบอกรุ่ง และเพลงบอกบัว เป็นต้น เนตร ชลารัตน์ เป็นคนเคารพครูบาอาจารย์อย่างมั่นคง ได้ยกย่องสุขปราชญ์และท่านเจ้าคุณวัดท่าโพธิ์ (ม่วง) เป็นครูเพลงบอกที่สำคัญของท่าน เมื่อพูดคุยกับใครเรื่องเพลงบอกจะกล่าวยกย่องท่านทั้ง ๒ เป็นปฐมเสมอ เมื่อจะขับเพลงบอกไม่ว่าจะขับเดี่ยว หรือเป็นการประคารมจะกล่าวบูชาครูทั้ง ๒ ทุกครั้ง
การสืบทอดผลงาน
เพลงบอกเนตรเป็นชาวนาชนบทที่สนใจการอ่าน เมื่อมีเวลาว่างก็มักจะแสวงหาหนังสือมาอ่านอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะคือหนังสือเกี่ยวกับธรรมะในพุทธศาสนา ทําให้เพลงบอกเนตรเป็นคนทันสมัย เมื่อเล่นเพลงบอกก็จะสอดแทรกความรู้และธรรมะลงไป ทําให้สาระของเพลงบอกมีน้ำหนัก ชวนฟังมากกว่าของนักเล่นเพลงบอกคนอื่น ๆ ในสมัยเดียวกัน และเมื่อประชันฝีปากกันสาระความรู้และธรรมะเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เพลงนอกเนตรได้รับชัยชนะอยู่เนือง ๆ จากชัยชนะของเพลงบอกเนตรนี่เอง ทําให้มีผู้มาสมัครเป็นศิษย์กันตามสมควร เพลงบอกเนตรมีคติในการสอนศิษย์อยู่ข้อหนึ่งว่า “นักเลงเพลงบอกต้องออกจากวงเมรัย อย่าให้ใครดูแคลนว่าเป็นเพลงบอกขอเหล้า” ดังนั้นในการถ่ายทอดวิชาเพลงบอกจึงมักย้ำเตือนลูกศิษย์อยู่เสมอมิได้ขาด ศิษย์ของเพลงบอกเนตรมีหลายคนที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการศิลปินเพลงบอก อาทิ เพลงบอกแมน อักษรกุล เพลงบอกวิรัตน์ การะเพิ่ง เพลงบอกจรัส ผกากรอง เป็นต้น เพลงบอกเหล่านี้ยังรักษาเอกลักษณ์การเล่นแบบดั้งเดิมอยู่เป็นส่วนใหญ่
เกียรติยศจากสังคม
ด้วยผลงานอันประณีตและสาระอันคมคาย ศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช (วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชในขณะนั้น) ได้เชื้อเชิญให้เพลงบอกเนตรมาเป็นวิทยากรด้านการละเล่นเพลงบอก ให้กับที่ประชุมทางวิชาการอยู่เสมอ ๆ นับตั้งแต่ปีพ.ศ ๒๕๑๖ เป็นต้นมา ครั้งที่จัดว่าสําคัญยิ่งในชีวิตคือการสาธิตและรับเพลงบอกให้นักวิชาการจํานวนถึง ๒๕๐ คนชม ในการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งแรกซึ่งศูนย์วัฒนธรรมภาคใต้ มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช (วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราชในขณะนั้น) จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๑ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เพลงบอกเนตรก็ได้รับเชิญไปในเพลงบอกในที่ต่าง ๆ เสมอ ทั้งในกรุงเทพฯ และในจังหวัดมใกล้เคียง จนกระทั่งสุขภาพไม่อํานวย
วาระสุดท้าย
เพลงบอกเนตรได้แสดงฝีปากครั้งสุดท้ายในงานเฉลิมฉลองการเปิดสวนสร้างสรรค์นาครบวรรัตน์ ถนนราชดําเนิน ตําบลคล้ง อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ หลังจากนั้นไม่นานนักก็ล้มป่วยด้วยโรคชรา ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองสํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ก็ได้ประกาศยกย่องเป็นศิลปินพื้นบ้านดีเด่น สาขาเพลงบอก ประจําปี ๒๕๒๘ แต่ยังมิทันที่จะเข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพลงบอกเนตรก็ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราในอาการสงบ ณ บ้านพักริมคลองบ้านเกาะ ตําบลบ้านเกาะ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๙ ศพเพลงบอกเนตรได้รับการ ฌาปนกิจ ณ วัดป่ากิวอันเป็นวัดใกล้บ้าน เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๙ โดยมีนายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชในเวลานั้นเป็นประธานประชุมเพลิง
ผลงานส่วนใหญ่ของเพลงบอกเนตรคือกลอนเพลงบอกและการเล่นเพลงบอก แต่ก็มีอยู่กระจัดกระจาย ส่วนบทกลอนอื่น ๆ ก็พอมีอยู่บ้าง เช่น กลอนหนัง กลอนมโนห์รา เป็นต้น ดังเช่น คํากลอนบางตอนมาเสนอต่อไปนี้ เพลงบอกเนตรมีผลงานการเล่นเพลงบอกมากมาย ซึ่งมีผู้จดจำและบันทึกไว้ได้มากกว่าเพลงบอกคนใด ๆ ในอดีต จะขอยกตัวอย่างผลงานการเล่นเพลงบอกที่โดดเด่น ๆ ดังนี้..
โต้เพลงบอกกับเพลงบอกบัว ...
เมื่อยามเช้าเรานึกเอาเป็นครู หมายว่าจะบูชาได้
พอหวันใช้มาสักครู่ แกชาติไม่รู้ไหร
เอ่ยธรรมโมโอ่ธรรมะ นโมตัสสะไม่เข้าใจ
คำปราศรัยเกินตัว สัญชาติอ้ายบัวนา
ข้อที่สองอ้างว่าเป็นเสือ มีฤทธิ์แรงเหลือกายร้ายรบ
เราใคร่ครวญเห็นจบ ไอ้เสือนี่มันขบหมา
โต้เพลงบอกกับเพลงบอกรุ่ง ...
รุ่ง : "รุ่งมันไก่ทงเนตรมันไก่ทาง รุ่งเป็นไก่ด่างเนตรมันเหลืองก่ำ
แต่ว่าหยัดลำอยู่มั่ง เพราะรุ่งมันหนังเหนียว
ทุกวันรุ่งอยู่แต่เรือนร้าน ที่อยู่ในบ้านที่เดียว
สำหรับเที่ยวใต้ถุนบ้าน อยู่ร้านเป็นพ่อไก่
ถ้าแม้นได้ลูกภายหลัง นั่นแหละตัวชั่งวิเศษ
จะเอามาตีกับเนตร เสียให้มันตักษัย"
เนตร : "ออหนักหนาน้ารุ่งชั่งประดิษฐ์ แก่แล้วไม่เจียมคิดสมไก่
ถ้าให้ศรีวิไลแท้แท้ ต้องสมแม่ตัวรังทัง
นั่นแหล่ะคงสมอารมณ์รุ่ง นี่แหล่ะความมุ่งหมาย
ไม่รู้สึกตัวว่าความร้าย จะมีเมื่อภายหลัง
ถึงเนตรยังอ่อนการศึกษา ในจินตนาในอุรัง
ทุกสิ่งยังกำหนดธรรม เอาไว้ประจำใจ
แต่ว่าแก่เหมือนน้ารุ่ง นี่ยังมุ่งทางบาป
เอากิเลสหยาบมา ว่าไปตามอัชฌาสัย
ออว่าแก้พร้าวเฒ่าลอกอ ทางโลกก็ไม่พอใจ
ฟังคำปราศรัยน้ารุ่ง ล้วนแต่รุงรัง”
โต้เพลงบอกกับเพลงบอกปานบอด.....
เนตร : ถ้าเปรียบเรานี้เหมือนโคอาด แทงดินปราดปราดอยู่ตรงหน้า
ปานพี่เหมือนหัวนา แทงแทงไม่สาไหร”
ปานบอด : พี่เป็นดินกะดินตี ดินนี้เป็นที่จำกัด
พี่เป็นแผ่นดินตั้งวัด พระสงฆ์ได้อาศัย”
เนตร : เราเป็นวัวกะวัดวัด”
ปานบอด : อ้ายวัวชาติสัตว์พงไพร ไอ้สัตว์เป็นเขาใช้เขาไถนา
ชาวบ้านได้หากิน”
เนตร : ปานนี้ดินกะดินเลว เป็นแผ่นดินเขาตั้งแปรว
มันหมินเสียเหลือหมิน”
เนตร : วันนั้นปานว่าเนตรเป็นเปรตนรก
ยามตายไปตกวินิบาตทุกข์
เดียวนี้เรามีความสุข พ้นแล้วแต่ทุกขา
สิ้นผลกรรมนำไปเกิด ได้พ้นกำเนิดแต่นิรยา
ทั้งหูทั้งตากะมีจบ กะสร้างได้ไปครบครัน
แต่ปารชตุชีวีเปรต ในบาลีอ้างเหตุไว้อย่างยอด
ว่าคะยังหูหนวกตากะบอด ไอ้พรรค์นั้นชาติหมัน
ยังอ้างเป็นพรหมอุดมศักดิ์ ว่ามีภูมิพักตร์และผิวพรรณ
ให้ผ่องกายันเหมือนเนตร แกว่าเปรตนรกา
ชาวเมืองเขาฟังกันทั้งหลาย ทั้งหญิงทั้งชายจงสังเกต
ไปแลรูปปานมาแลรูปเนตร รูปไหนมันเปรตหวา”
ภาพจาก : หนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่ม ๘
วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช. ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช. (2531). อนุรักษ์มรดกไทยในนครศรีธรรมราช 2531.
นครศรีธรรมราช : ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช.
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้. 2542. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.
อุดม หนูทอง. 2552. เพลงบอก. สืบค้นวันที่ 4 ม.ค. 62, จาก http://www.laksanathai.com/book3/p236.aspx.