สุภาษิตสอนหญิง
 
Back    07/11/2018, 16:59    81,814  

หมวดหมู่

สำนวน


ประเภท/รูปแบบเนื้อหา

สุภาษิต


เนื้อหา

ภาพจาก : http://jddjlfldance.blogspot.com/2016/05/blog-post_30.html

     วรรคดีสุภาษิตคำสอน หมายถึงวรรณคดีที่แต่งขึ้นโดยมีจุดประสงค์ เพื่อให้เป็นคติเตือนใจผู้คนในสังคม เนื้อหาส่วนใหญ่สอนเรื่องการวางตัว การอยู่ร่วมกันในสังคม วรรณคดีประเภทนี้พบได้ทั้งในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้  จากเอกสารทางวรรณกรรมคำสอนของภาคใต้ ปรากฏว่าส่วนมากหลักคำสอนมีส่วนคล่ายกับวรรณกรรมคำสอนของภาคกลาง หลักการแต่งเป็นแบบร้อยกรอง โดยผู้แต่งต่างก็นิยมเลือกเฟ้นเอาภาษิตโบราณ คติชาวบ้าน และคำสอนจากแหล่งต่าง ๆ มาประมวลไว้ด้วยกัน เช่น ถ้าเป็นคำสอนคนทั่วไปก็จะสอนให้มีวาจาสุภาพ ให้คิดก่อนพูด ไม่ดูถูกผู้ที่อ่อนแอกว่า มีความอดทน มีความขยันหมั่นเพียร มีความจงรักภักดีต่อเจ้านาย หรือสอนเรื่องการเลือกคู่หากเป็นผู้หญิงก็สอนให้มีความอ่อนโยน พูดจาอ่อนหวาน ซื่อสัตย์ต่อสามี คอยปรนนิบัติสามีให้มีความสุข ขยันหมั่นเพียรในการทำงานบ้าน ไปไหนก็ให้นึกถึงบุตรและสามี ให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อญาติของสามี หากสอนบุคคลทั่วไป เน้นสอนให้ประหยัดอดออม ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต กตัญญูรู้คุณ ไม่คบคนพาล สุภาพเรียบร้อย ขยันหมั่นเพียร รู้จักประมาณตน ละอบายมุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีไมตรีต่อผู้อื่น รู้เท่าทันคนและโลก รู้จักเอาตัวรอด มีสุขอนามัยที่ดี ซื่อสัตย์สุจริต อ่อนน้อมถ่อมตน และใจบุญสุนทาน หากสอนผู้ชายเน้นสอนให้บวชเรียนเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา สนใจศึกษาเล่าเรียน และเลือกคู่ครองที่ดี หากบวชเป็นสามเณรก็ให้เป็นสามเณรที่ดี และหากรับราชการก็ให้เป็นข้าราชการที่ดี ถ้าเป็นคำสอนสำหรับชนชั้นสูงก็จะสอนให้มีความยุติธรรม ถ้าเป็นกษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม มีความหนักแน่น ไม่ดื่มสุรา ไม่รังแกผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า รักษาวาจาสัตย์ ไม่แสดงความขึ้งเคียดให้ปรากฏ จะเห็นว่าคำสอนต่าง ๆ ในวรรณคดีคำสอนเป็นสิ่งที่สังคมสมัยนั้นคาดหวัง เพราะหากมีการประพฤติปฏิบัติได้ตามคำสอนดังกล่าว สังคมโดยรวมก็จะทำให้สังคมมีความสงบสุขและน่าอยู่ขึ้น 
     
  วรรณคดีคำสอนของภาคใต้ ส่วนมากที่มีจะมีความคล้ายคลึงกับวรรณคดีคำสอนของภาคกลาง เช่น ลักษณะเมียเจ็ดสถาน สุภาษิตสอนหญิงคำกาพย์ กฤษณาสอนน้อง สวัสดิรักษาคำกาพย์ สุภาษิตพระร่วงคำกาพย์ พาลีสอนน้อง สุภาษิตร้อยแปด และลุงสอนหลาน ซึ่งจะสังเกตว่าการให้คติธรรมคำสอนในวรรณคดีคำสอนเหล่านั้น นอกจากสอนโดยตรงแล้วยังใช้วิธีการเปรียบเทียบอย่างแยบคาย โดยมักจะเปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม เช่น แม่น้ำ ลำธาร ภูเขา พืช สัตว์ วรรณกรรมคำสอนภาคใต้ในอดีตมีทั้งที่เป็นลายลักษณ์และมุขปาฐะนั้น การศึกษาศึกษาวิจัยพบว่าวรรณกรรมประเภทลายลักษณ์นั้นแต่งเป็นวรรณกรรมคำสอนโดยตรงคือแต่งเป็นคำสอนตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของพระสงฆ์ ขุนนางหรือนักปราชญ์ราชบัณฑิต ส่วนวรรณกรรมมุขปาฐะจะเป็นประเภทนิทาน เพลงพื้นบ้าน หนังตะลุง โนรา ซึ่งแต่งหรือถ่ายทอดโดยชาวบ้านหรือประชาชนทั่ว ๆ ไป โดยมุ่งเน้นไปที่ความบันเทิงเป็นสำคัญ แค่ที่เหมือนกันคือมีคำสอนหรือคติเตือนใจมาแทรกไว้ ครั้นล่วงมาในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นต้นมาก็เกิดปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่น่าสนใจ เมื่อกลุ่มชาวบ้านสนใจแต่งวรรณกรรมคำสอนและเผยแพร่ในรูปแบบสิ่งพิมพ์กันเป็นจำนวนมาก วรรณกรรมคำสอนกลุ่มนี้มีรูปแบบที่หลากหลาย จากที่เคยเรียบเรียงในรูปแบบที่เป็นสุภาษิตหรือคำสอนที่เป็นร้อยกรองเพียงอย่างเดียว ก็จะแต่งเป็นร้อยกรองรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ นิราศ นวนิยาย และนิทานคำสอน วรรณกรรมคำสอนกลุ่มนี้นิยมแต่งด้วยกลอนสุภาพ และกลอนเพลงยาวที่ไม่เคร่งครัดกับฉันทลักษณ์มากนักแต่จะนิยมเล่นสัมผัสในแพรวพราว ตามแบบบทกลอนของสุนทรภู่ นอกจากนี้ก็นิยมใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจง่าย คือเป็นถ้อยคำสำนวนที่พบในประจำวัน ผู้อ่านไม่ต้องตีความเหมือนวรรณกรรมคำสอนอื่น ๆ ในสมัยโบราณ ผลงานส่วนใหญ่เป็นของนักเขียนระดับชาวบ้านในบริเวณแถบจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง ที่มีวิถีชีวิตอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ  ซึ่งรับรู้ความเป็นไปของท้องถิ่นเป็นอย่างดี 
  
    อุดม หนูทอง (2528) กล่าวว่าวรรณกรรมภาคใต้มีเนื้อหาพ้อง กับวรรณกรรมภาคกลางมากที่สุด และพบว่าการถ่ายเทวัฒนธรรมภาคกลางกับภาคใต้ มีมาตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัตนโกสินทร์มีความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากกวีภาคใต้หลายท่าน (ส่วนมากเป็นพระสงฆ์) ได้มาศึกษาในเมืองหลวง (กรุงเทพฯ) แล้วกลับไปแต่งวรรณกรรมในภาคใต้ เช่น พระอุดมปิฎก มีการวิจัยพบว่าความคิดความเชื่อในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมคำสอนภาคใต้ มีเข้มข้นมากกว่าวรรณกรรมคำสอนภาคกลาง อย่างเช่น เรื่องอัษฏาพานรคำกาพย์ กวีชาวใต้จะเน้นปลูกฝังความคิดความเชื่อในพระพุทธศาสนาให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น สอนให้รักษาศีลห้า รู้จักทำบุญให้ทาน ละอกุศลกรรมเพื่อจะได้ไม่ตกนรกและไปสวรรค์ ซึ่งทำให้เชื่อว่าคนใต้มีความคิดความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์เป็นอย่างมาก เนื้อหาในวรรณกรรมคำสอนภาคใต้ฉบับตัวเขียน ที่มีเนื้อหาเฉพาะในสังคมภาคใต้เท่าที่พบในขณะนี้คือสุภาษิตคำกาพย์ สุภาษิตสอนหญิงคำกาพย์ คำสอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ กฤษณาสอนน้อง ภาษิตลุงสอนหลาน และธรรมะสอนใจชายหญิง อย่างไรก็ตามมีเพียงเรื่องภาษิตลุงสอนหลาน ที่แสดงลักษณะเด่นอย่างน่าสนใจ และชาวบ้านจดจำกันได้เพราะผู้แต่งใช้ภาษาถิ่นทำให้เข้าใจได้ ซึ่งต่างจากเรื่องอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาไทยโบราณ เช่น เรื่องภาษิตลุงสอนหลาน เนื้อเรื่องกล่าวถึงวิถีชีวิตชาวสงขลา ที่มีอาชีพปาดตาล ทำหม้อ และบูชาผีตายาย แต่ก็เน้นสอนให้ละอบายมุขด้วย
      
   วัฒนธรรมของภาคใต้มักจะมีสุภาษิตคำสอนลูกหลานที่เป็นผู้หญิง อย่างเช่น หลับลืมหวัน ซึ่งมีความหมายถึงหลับจนตะวันโด่งก็ยังไม่ตื่น การหลับจนตะวันโด่งแล้วยังไม่ตื่น ทางภาคใต้เขาเรียกหลับลืมหวัน ซึ่งคำว่า ”หวัน” นั้นหมายถึงดวงตะวันหรือดวงอาทิตย์นั่นเอง หรือนอนกินเมืองหรือนอนรับขี้คร้านเพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งไม่ดีไม่ควรปฏิบัติหรือในเพลงกล่อมเด็กหรือเพลงชาน้อง ทางภาคใต้ก็มีคำสอนลูกหลานผู้หญิงด้วยเรื่องการนอนตื่นสายไว้คือ

อา เอ้อ.....      ไก่เถื่อนเหอ       ขันเทือนทั้งบ้าน

                    โลกสาวขี้คร้าน      นอนให้แม่ปลุก

                  ฉวยได้ด้ามขวาน  แยงวานดังพรุก

                         นอนให้แม่ปลุก   โลกสาวขี้คร้าน เหอ

ซึ่งแปลเป็นภาษาที่คนทั่วไปพูดกันคือไก่ป่าตื่นขันแล้ว ส่วนลูกสาวยังนอนไม่ตื่น ทำให้แม่ต้องมาปลุกโดยใช้ด้ามขวานทิ่มเข้าไปในทวารเพื่อให้ตื่น


ภาพจาก : http://jddjlfldance.blogspot.com/2016/05/blog-post_30.html

           สังคมไทยโดยเฉพาะสังคมภาคใต้ในอดีต มีคตินิยมเกี่ยวกับจารีตทางเพศที่เคร่งครัด ดังจะเห็นได้จากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในสถาบันครอบครัว ผ่านทางเพลงกล่อมเด็ก สุภาษิตสอนหญิง แม้แต่การละเล่นพื้นบ้าน ต่างสอนจรรยามารยาทชาย-หญิงทั้งสิ้น เช่น หนังตะลุง แม้ว่าตัวละครของหนังตะลุงจะทำจากหนังวัวหนังควาย แต่เมื่อนายหนังสวมวิญญาณของพระเอก นางเอก บนโรงหนังตะลุงจะไม่ยอมให้พระเอกนางเอกหนังวัวหนังควายเหล่านั้น ได้เสียกันบนพื้นดิน พื้นทราย ถึงจะประสบพบรักกันกลางป่ากลางเขา ก็มักจะดลบันดาลให้พบขนำร้างอยู่เสมอ เพราะนายหนังมีความเชื่อทางจารีตนิยมว่าการได้เสียกันกลางดินกลางทราย หรือมีเพศสัมพันธ์กัน โดยหลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสัมผัสพื้นหญ้าหรือแตะดิน แตะทราย เป็นการสมสู่ของเดรัจฉาน ลูกที่มาเกิดก็จะเป็นเดรัจฉานด้วย หรือตำนานนางโนราซึ่งจะพบว่านางโนราถูกลอยแพ เพราะท้องไม่มีพ่อ คนใต้จึงมีคตินิยมจารีตทางเพศที่เคร่งครัดกว่าคนภาคอื่นมาแต่โบราณ ดังจะเห็นได้จากการที่ลูกสาวหนีตามผู้ชายซึ่งไม่ผ่านการสู่ขอตามประเพณี ญาติที่เป็นผู้ชายจะโกรธแค้นถึงกับตามฆ่าตามล้างกันเลย เพราะในยุคก่อนผู้ใดก็ตามไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย หากมีเรื่องมัวหมองเกี่ยวกับจารีตทางเพศ จะถูกปฏิเสธและประณามจากสังคม โดยการสั่งสอนไม่ให้ลูกหลานคบค้าสมาคมด้วย และจะสอนลูกสอนหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง

เนื้อหาคำสอนในสุภาษิตสอนหญิง
       สุภาษิตสอนหญิง ถือเป็นสุภาษิตไทยที่แต่งด้วยคำประพันธ์ชนิดกลอนแปดสุภาพ ซึ่งจะมีกี่บทก็ได้ตามที่ผู้แต่งการ โดยเนื้อหาของสุภาษิตสอนสตรีเป็นหลักประพฤติในการปฎิบัติตนของสตรีตามค่านิยมของสังคมไทยดั้งเดิม ซึ่งเป็นคำสอนที่ใช้ได้กับสตรีทุกชนชั้น มีทั้งข้อห้ามข้อควรปฏิบัติ ทั้งในเรื่องการวางตัว กิริยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลือกคู่ครอง การดูแลบ้านเรือน เช่น อย่าทอดทิ้งพ่อแม่ อย่าเล่นการพนัน ห้ามดื่มสุราหรือสูบฝิ่น ห้ามคบชู้สู่ชายเป็นหญิงสองใจ ส่วนที่เป็นข้อปฏิบัติก็เช่น การวางตัว กิริยามารยาท การพูดจา การแต่งกาย การเลือกคู่ครอง การปฏิบัติต่อสามี ความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อสามี การรักนวลสงวนตัว การดูแลบ้านเรือน และการใช้จ่ายเงิน เป็นต้น และต่อจากนั้นยังกล่าวถึงลักษณะไม่พึงประสงค์ของผู้หญิงแบบ ต่าง ๆ เช่น ละทิ้งพ่อแม่ ชอบแต่งตัว ติดการพนัน สูบฝิ่นกินเหล้า เป็นต้น ผู้หญิงเหล่านี้จะประสบแต่หายนะ ซึ่งคำสอนต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของสตรี  จากงานวิจัยของชลินจ์ จีนนุ่น (2556) ได้กล่าวว่าคำสอนในสุภาษิตสอนหญิงซึ่งปริวรรตโดยนายเทพ บุณยประสาท ครูใหญ่โรงเรียนพัทลุง ต่อมาร้านอุดมพานิชกิจ จังหวัดพัทลุง และโรงพิมพ์ราษฎร์เจริญนำไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ การนำหลักคำสอนดั้งเดิมมาแต่งขึ้นใหม่และตั้งชื่อใหม่วรรณกรรมคำสอนภาคใต้ “ฉบับพิมพ์เล่มเล็ก” โดยที่นำหลักคำสอนดั้งเดิมมาแต่งขึ้นใหม่และใช้ชื่อใหม่ ใช้สอนผู้หญิงเน้นสอนให้รักนวลสงวนตัว มีกิริยามารยาท เป็นแม่ศรีเรือน รู้จักเลือกคู่ครอง เป็นแม่และเมียที่ดี โดยจะเน้นน้ำให้ผู้หญิงรักนวลสงวนตัว ไม่หมกมุ่นเรื่องกามโลกีย์ เอาใจใส่การบ้านการเรือน และเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ตลอดถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้หญิง แม้ว่าวรรณกรรมคำสอนกลุ่มนี้ยังสอนให้ผู้หญิงครองตัวดี สนใจบ้านงานเรือนและรู้จักปรนนิบัติสามีเหมือนวรรณกรรมคำสอนสมัยโบราณ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของผู้หญิงตามสภาพสังคมด้วย ผู้แต่งจึงผลิตคำสอนส่วนหนึ่งเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้หญิงที่สอดรับกับบริบทสังคมและการเมืองสมัยที่แต่ง เช่น สอนให้คล่องแคล่วและปราดเปรียวในการใช้ชีวิต กล้าคิดกล้าตัดสินใจเรื่องคู่ครอง ให้มีบทบาทด้านเศรษฐกิจและสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น รีบแต่งงานใหม่เพื่อเพิ่มพลเมืองของประเทศ ซึ่งผู้แต่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากนโยบายสร้างชาติสมัยรัฐบาลจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่สนับสนุนให้เพิ่มพลเมืองไว้ป้องกันประเทศ การเพิ่มพลเมืองนี้จึงต้องอาศัยบทบาทของผู้หญิงเป็นสำคัญ ดังตัวอย่าง

 ถึงรูปชั่วตัวดำครั้นทำถูก จะเกิดลูกหลานหลายสบายใหญ่
จะได้เพิ่มพลเมืองประเทศไทย ศิวิไลวัฒนาสถาพร

          เนื้อหาของสุภาษิตร้อยแปดของภาคใต้มีเนื้อหาตามเรื่องราวเป็นการชี้แนะในประเด็นต่าง ๆ เช่น การคบคนจะต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ ไม่เป็นคนหูเบา ฟังคนพูดด้วยเหตุด้วยผล โดยเปรียบเทียบไว้ดังนี้

คบเพื่อนให้พึงรู้     เพื่อนที่ดูเสมือนมาร
ยกตนแล้วข่มท่าน พวกคนพาลหมายว่าดี
หางเต่ายาวแล้วสั้น  หางแลนนั้นว่ายาวรี
วัดกันค่ากันดี ไม่เสียทีกันเท่าใด
ช้างเถื่อนย่อมจับได้ วัวควายร้ายย่อมได้ไถ
เสือหมีอยู่ในไพร ย่อมจับได้ใส่กรงขัง

         ชี้แนะว่าอย่ารนหาอันตรายด้วยความประมาท โดยเปรียบเทียบดังนี้

อย่าคลำหางเสือผอม  ราชสีห์ย่อมขามเกรง
เจ้านายของเราเอง อย่าลวนลามอุเบกษา
เสือผอมกวางโจนเข้า  เสือโคร่งเล่าวิ่งวางมา
ตบต้องคอมฤคา จึงรู้ว่าฤทธิ์เสือมี
งูเห่าเท่าไม้ม้วน อย่าได้ควรยุดหางตี
เพลิงน้อยเท่าแมลงหวี่  เผาได้สิ้นทั้งนคร


ภาพจาก: http://jddjlfldance.blogspot.com/2016/05/blog-post_30.html

   “หญิงดี” ในสุภาษิตสอนหญิงภาคใต้
     จากผลงานวิจัยของพัชลินจ์ จีนนุ่น (2560) ได้ให้ความหมายของคำว่า “หญิงดี” หมายถึงหญิงที่มีคุณสมบัติทางกายดี คือรู้จักสำรวมอิริยาบถด้านต่าง ๆ ทั้งในขณะเดินนอนหรือนั่ง มีคุณสมบัติทางวาจาดีคือพูดจาไพเราะอ่อนหวาน พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และรู้จักพูด และมีคุณสมบัติทางใจดี เช่น มีความเพียร รู้จักใช้ปัญญา ใจบุญสุนทานและกตัญญู คุณสมบัติที่แสดงถึงการเป็น “หญิงดี” ในที่กล่าวนี้ผู้วิจัยได้สังเคราะห์ขึ้นจากเรื่องสุภาษิตสอนหญิงสำนวนต่าง ๆ ในภาคใต้โดยศึกษาจากวรรณกรรมต่าง ๆ และพบคุณสมบัติของผู้หญิงด้านต่าง ๆ ในประเด็นดังต่อไปนี้
      ๑.  คุณสมบัติทางกาย
       
          คุณสมบัติทางกาย หมายถึงการสำรวมอิริยาบถหรือการแสดงออกทางกายในด้านต่าง ๆ ทั้งการยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม การกระทำ เป็นต้น เป็นลักษณะประจำตัวของบุคคล ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 ๑.๑ การเดิน “หญิงดี” ต้องมีกายที่สำรวมในขณะที่เดิน ไม่เดินกระทืบแผ่นดิน เพราะสะท้อนถึงกิริยาที่ต่ำทรามอย่างยิ่ง เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “หญิงใดเดินทืบธรณี ครือดังบัดสี ที่เดาธรณีอัตรา”  ไม่เดินลูบอวัยวะ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อย่าลูบแก้มคาง อย่าสางผมเผ้าเจ้าเอย” ไม่เดินทัดดอกไม้ เสยผม หรือเอาแต่เดินเกี้ยวผู้ชาย เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า
เดินตามมารดา อย่าทัดมาลา เป็นหญิงตะหลาเหิน มือเสยเกศา นัยนามุ่งเมินใจแตกยิ่งเพลินพลางเที่ยวเกี้ยวชาย
 ๑.๒ การหัวเราะ “หญิงดี” ต้องไม่หัวเราะเสียงดังเหมือนผู้ชาย เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า    “อย่าหัวให้เทียมชาย” และ “เจ้าเอยอย่าหัวเสียงดัง” ไม่หัวเราะจนลืม มีข้อสังเกตว่าการสอนผู้หญิงให้สำรวมกิริยาเวลารู้สึกขบขัน อาจเทียบเคียงได้กับคุณสมบัติของมหาบุรุษ ดังในตำราอลังการศาสตร์ กล่าวถึงการหัวเราะของมหาบุรุษว่าเมื่อรู้สึกขบขันจะยิ้มที่แก้มตาและริมฝีปาก หากเป็นคนปานกลางจะอ้าปาก แต่หากเป็นคนเลวจะมีเสียง (หัวเราะ)
๑.๓ การนั่ง “หญิงดี” ต้องไม่นั่งเรียงเป็นหน้ากระดานเมื่อมีแขกมาเยือน หรือนั่งแอบชิดสามี เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “แขกไทไปมา อย่านั่งเรียงหน้า เข้าแนบแอบผัวห่อตัว” เมื่ออยู่ตามลำพังก็ไม่นั่งกอดเข่า นั่งโยกตัว นั่งเท้าแขน นั่งแอ่นตัว นั่งเอามือทูนศีรษะ นั่งห้อยเท้า นั่งหวีผม นั่งแต่งตัว และนั่งกันไรผมบริเวณประตูหรือบันไดบ้าน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

                                      

อย่านั่งเอาบ่าปะห อย่าโยะย้ายตัว
เอามือกอดเข่างงงวย  อย่านั่งเท้าแขนแอ่นองค์
อย่าทำทระนง   เอามือทูนหัวชั่วแรง
อย่านั่งยืดเท้าเขาแค่ง อย่านั่งกลางแปลง
หวีหัวแต่งตัวถอนไร ปากประตูแลหัวบันได
เจ้าอย่าได้ไป   นั่งเล่นห้อยเท้าเจ้าเอย
๑.๔ การกิน “หญิงดี” ต้องไม่เคี้ยวเสียงดัง ไม่กินมูมมาม ไม่กินอย่างรวดเร็ว ไม่กินตะกละตะกลามเหมือนวานร เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “จะกินอย่ากุบกับ รุบรับเช่นกระบี่ศรี” และไม่กินตามใจปาก เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อย่ากินตามอยากมากมี”  แต่ให้กินแต่พอประมาณ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “กินแต่พอดีดูงาม” และให้กินทีหลังผู้ใหญ่ เช่น บิดามารดา และญาติของตน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “งามสิ้นกินทีหลัง แล้วร้อยชั่งกวาดครัวไฟ
๑.๕ การแสดงออกทางสีหน้าแววตา “หญิงดี” ต้องแสดงสีหน้าและแววตาที่สงบนิ่ง ไม่เล่นหน้าเล่นตา หรือทำตากลอกกลิ้งตาไปมา เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อย่าทำตาลักลานไขว่
 ๑.๖ การนอน“หญิงดี” ต้องไม่นอนดิ้นหรือนอนเกยออกนอกที่นอนให้ผู้อื่นเห็น   เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “บังอรอย่านอนทอดตน ที่หวางกลางคน เกยเนาะเอาะมาหน้าฉาน
๑.๗ การทำกิจกรรม “หญิงดี” ต้องไม่ทำเสียงดังโหวกเหวกเมื่ออยู่กับผู้อื่น เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อย่าประจบเร่คบเพื่อน พูดโวเวเล่นเม่ฉา” ต้องไม่เปลื้องผ้าอาบน้ำ หากลืมน้ำผ้ามาเปลี่ยนก็ให้รดเพียงครึ่งตัว “อย่าอาบน้ำเปลื้องกายา...ครั้นลืมพารดแต่ท่อน” ดังนั้น เมื่ออาบน้ำจึงควรวางผ้านุ่งไว้ใกล้ตัวกันคนอื่นขโมย เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อย่าควรพาตั้งไกลกร” ครั้นจะนุ่งผ้าต้องไม่นุ่งใต้สะดือ หรือนุ่งพกไซ คือนุ่งไม่เรียบร้อย โดยห่อเป็นก้อน ๆ ไว้ที่บริเวณเอว เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า
"นุ่งผ้าใต้ดือ ชั่วถ่อยน้อยหฤๅ อุจาดอาตมา ผ้านุ่งพกไซ ยักย้ายเสียหวา ฟังคำจำว่า เจ้าอย่าเฟ้อเฟิน"
๑.๘ การแสดงท่าทีต่อเพศตรงข้าม “หญิงดี” ต้องไม่แสดงอาการระริกระรี้เมื่อพบผู้ชายเหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “ชอบใครอย่าดีดิก อย่าริกริกไม่สู้ดี” ต้องไม่แลบลิ้น ยักคิ้ว หรือเปิดผ้าให้ชายเห็น เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

                  

อย่าทำให้เสสรวล อย่าควรล่อลิ้นให้ชาย
มันกัดพลัดยากตาย อย่ามักง่ายจะเกิดเข็ญ
อย่ามักยักคิ้วหา   อย่าเปิดผ้าให้ชายเห็น
ร้ายนักมักเกิดเข็ญ  มันจะพาให้เป็นพาล 

   ๒.  คุณสมบัติทางจิตใจ 
      คุณสมบัติทางจิตใจ หมายถึงการสำรวมจิตใจให้สงบระงับไม่คิดฟุ้งซ่านหรือการแสดงออกทางจิตใจในด้านต่าง ๆ ให้เป็นลักษณะประจำตัวของบุคคล ดังรายละเอียดต่อไปนี้

๒.๑ ทำบุญและบริจาคทาน “หญิงดี” ต้องรู้จักทำบุญและบริจาคเมื่อตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...
ทำบุญที่วันพระ พระจตุโลกพบเหมือนกัน
ลงชื่อบัญชีพลัน ด้วยแผ่นทองรองกรอบใน
พาขึ้นไปสวรรค์  บังคมคัลยื่นหัสสนัย
พระอินทร์ ธ ดีใจ  ร้องสาธุการแล้วอวยพร
๒.๒ ละโลภโกรธหลงและเห็นความไม่เที่ยง “หญิงดี” พึงละโลภโกรธหลง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความทุกข์ ให้คำนึงถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งตามกฎไตรลักษณ์ในพระพุทธศาสนา เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

               

โลโภโทโสแข็งกล้า โทุกทั่วชนา
ตัณหามาปิดอกใจ    โมหิริตังนั้นไสย
ถ้าว่าผู้ใด  ลากไสยได้พ้นทุกขา
เจ้าเอยจงคิดอนิจจา ในเพียงแท่นหนา
อะนัตตาแต่ล้วนสูญเปล่า  

 

๒.๓   ใช้ปัญญาในการคบหาคน “หญิงดี” ต้องไม่คบคนพาล พวกแรกคือพวกที่ดื่มสุรา หากแต่งงานด้วยจะมีแต่เรื่องทะเลาะวิวาท ถึงขั้นทำร้ายร่างกายภรรยาและญาติพี่น้อง พวกที่สองคือพวกที่เล่นการพนันประเภทไฮโล เพราะมีแต่สร้างหนี้สินสมบัติที่มีอยู่ก็พลอยฉิบหาย แม้แต่บุตรภรรยาก็อาจถูกขายเพื่อใช้หนี้การพนัน บ้างก็กลายเป็นโจรผู้ร้ายเพราะไม่มีเงินเล่นการพนัน การคบคนประเภทนี้มีต่ำทำให้ครอบครัววุ่นวาย พวกที่สามคือพวกที่เล่นการพนันประเภทไก่ชน พวกนี้มีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ทำการงานไม่ถือศีลให้ทาน หากอยู่ร่วมกับชายประเภทนี้จะทำให้ครอบครัวพลอยย่อยยับไปด้วย พวกสุดท้ายคือพวกที่เสพยาเสพติด ประเภทฝิ่น พวกนี้เป็นพวกคบโจรผู้ร้าย ไม่สนใจรักษาศีล ให้ทาน มีนิสัยเกียจคร้าน ชอบทะเลาะวิวาท การคบคนประเภทนี้มีแต่อัปมงคล เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

                 

สี่พวกจักแยกย้าย   หนึ่งบ้าใบ้เมาสุรา
มักเกิดวิวาทา  ชวนร้างอย่าทุบตีเมีย
พ่อตาและแม่ยาย  มันด่าให้ว่าส่าเสีย
รบกันแต่ผัวเมีย     มันจะพาไปอบาย
พวกหนึ่งบ้าด้วยเบี้ย    มักพาเมียให้วุ่นวาย
ติดหนี้เพื่อนมากมาย    ลูกเมียได้เป็นทาสเขา
ทรัพย์สินสิ่งใดใด     ย่อยยับไปยังเรือนเปล่า
หมดแล้วลักล้วงเอา     เขาจับได้เมียพลอยจน
พวกหนึ่งนั้นเล่าหนา     เป็นคนบ้าเล่าไก่ชน
ค่ำเช้าเข้าบ่อนบ่น      ไม่พักคิดทำการงาน
ลูกเมียพลอยย่อยยับ     มันมินับศีลและทาน
เป็นคนมิจฉาจาร      ใครคบมันไปนรกกัน
พวกหนึ่งบ้ายาฝิ่น      เผาไฟกินสูบแต่ควัน
ลูกเมียพลอยสิ้นกัน      ครั้นหมดทรัพย์กลับเป็นโจร
น้ำจิตคิดมิจฉา   มันคบหาแต่พวกโลน
คบคิดกันเป็นโจร     ลักได้สูบหัวเม่ฉา
ยาฝิ่นครั้นสูบนัก    ขี้คร้านนักมักโรยรา
นอนในไม่ลืมตา     ตื่นขึ้นมารบเมียกิน
อย่าคบมันเข้ามา    จะโรยราทานและศีล
เพื่อนคิดแต่จะกิน     ทานและศีลมิได้ทำ
สี่พวกที่กล่าวมา     บาปแน่นหนาใจดึกดำ
เพื่อนถือเอาแต่กรรม   อย่าคบมันอัปรมุงคุล

 ๒.๔ คบหาคนดี “หญิงดี” พึงสมาคมกับคนดี โดยเฉพาะบัณฑิตหรือนักปราชญ์ย่อมให้คุณแก่ชีวิต ดีกว่าคบคนพาล เพราะการคบคนพาลมีแต่จะได้รับภัยต่าง ๆ นานา เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า

 

           

"คบคนดีเป็นศรีตัว คบคนชั่วอัปปะหรา คบปราชญ์ได้วิชา คบพาลาได้อบาย"

    ๓. คุณสมบัติด้านการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์
       จากการวิจัยของของชลินจ์ จีนนุ่น (2556) พบว่าสุภาษิตสอนหญิงสำนวนต่าง ๆ ต่างก็กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้หญิงด้านการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ที่สัมพันธ์กับหลักทิศหก ในพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ดังนี้

๓.๑ ผู้หญิงในฐานะภรรยา ตามหลักทิศหก หรือในสิงคาลกสูตร เล่มที่ ๑๑ กล่าวว่าภรรยาที่ดีต้องจัดการงานดี สงเคราะห์คนรอบข้างดี ไม่นอกใจ รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ และขยันไม่เกียจคร้าน ดังนี้
๓.๑.๑ จัดการงานดีภรรยาที่ดีต้องสนใจงานบ้านงานเรือน รู้จักจัดการงานเป็นอย่างดี เช่น เอาใจใส่ต่อการปรุงอาหารรสชาติต่าง ๆ โดยไม่หวังพึ่งข้าทาสบริวารมากนัก เมื่อทำภารกิจเสร็จแล้วก็ให้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนและสำรวจความเรียบร้อยก่อนปิดประตูครัวต่อไป เเหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

             

การงานฝ่ายครัว  ตกแต่งแกงคั่ว
หุงต้มลวกจี  กับข้าวปลาปลู
จงรู้ถ้วนถี่  วิชชาสิ่งนี้
เป็นที่เสน่ห์ชาย    ตกแต่งอาหาร
อย่าได้เกียจคร้าน    สถาพรสัตรี
ผู้เฒ่ากล่าวกลอน    สั่งสอนไว้นี้
หยัดท่าทาสี     มิดีน้องอา
ครกเบือและสากเบือ     อย่าตั้งเพรื่อตกขี้กลา
บวยหวักควรรักษา     ไว้ให้ดีตามวิสัย
อย่าได้อุเบกษา     หาน้ำท่าดับฟืนไฟ
เสร็จแล้วเจ้าออกไป     ชักประตูหับกำชับครัว

            การจัดการงานดีรวมไปถึงการดูแลทุกข์สุขของสามีด้วย ตั้งแต่ยามกินจนกระทั่งยามนอน กล่าวคือเมื่อสามีจะรับประทานอาหารต้องเตรียมสำรับไว้ให้ในขณะที่สามีรับประทาน ก็ช่วยอำนวยความสะดวก ส่วนตนเองกินทีหลังเมื่อสามีออกจากบ้านก็ให้เตรียมของกินของใช้ไว้ให้ เมื่อสามีกลับมาต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำไว้ให้เสร็จสรรพ เมื่อสามีจะนอนผู้ที่เป็นภรรยาควรเตรียมตั้งแต่ทำความสะอาด จัดที่นอนหมอนมุ้งให้เรียบร้อย คอยนวดฟั้น และพูดหวานหู แล้วจึงค่อยนอนทีหลัง แต่ให้นอนต่ำกว่าสามีเพื่อแสดงความเคารพ ต่อมาก็ต้องตื่นก่อนสามีเพื่อเตรียมอาหารและนำสำหรับล้างหน้าให้สามีต่อไปจะกินและจะนอน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

๓.๑.๒ สงเคราะห์คนรอบข้างดีภรรยาที่ดีต้องรู้จักดูแลคนรอบข้าง ให้ได้รับความสุขความสบายด้วย เช่น บิดามารดาของตนเอง ข้าทาสบริวาร เพื่อนบ้าน แขกของสามี เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

             

แม้นมีน้อยหลวง  อย่าขึ้งหึงหวง
เคืองเคียดเตรียดตรา     เพราะเจ้าเป็นใหญ่
เอาใจภัสดา       แม้นน้อยถอยมา
อย่าถือท่วงที      หนึ่งท่านผู้มาเรือน
ถามหาผัวตัวไม่มี      อัชฌาไว้ให้ดี
เลี้ยงหมากพลูและข้าวปลา  

                นอกจากนี้หากบิดามารดาหรือญาติพี่น้องของสามีมาเยี่ยมเยียนก็ให้ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า “อีกทั้งพ่อผัวแม่ผัว ดูแลให้ทั่ว อย่าได้ลำเอียงเคืองใจ” และไม่นินทาว่าร้าย เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า....

อนึ่งเล่าเผ่าพงศ์พ่อแม่ผัว  จงเกรงกลังจงหนักเถิดน้องเอ๋ย
อย่านินทาว่าร้ายภิปรายเปรย        ที่ไหนเลยเขาจะนับว่าหญิงดี 

๓.๑.๓ ไม่ประพฤตินอกใจ ภรรยาที่ดีต้องไม่นอกใจสามี เหมือนบทกลอนที่ว่า...

             

อย่าให้คลาดคาผัวว่า สิ่งหนึ่งอย่าพึงมา
เอาจิตออกนอกใจชาย     

              ซึ่งกล่าวถึงโทษของหญิงที่นอกใจสามีไว้อย่างรุนแรงว่าจะตกนรก ต้องปีนต้นงิ้วห้อยหัวลงมา ถูกนกตะกรุมและกาปากเหล็กจิกตี ถูกสุนัขกัด ครั้นสิ้นกรรมแล้วก็ต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนบ้าใบ้ โง่เขลา รูปชั่ว และมีแต่คนเกลียดชัง จึงไม่ควรเป็นหญิงหลายใจ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

ขึ้นงิ้วเลือดไหลสก เอานรกเป็นเหยื่อหมา
นกตะกรุมกาปากเหล็ก เจาะวันละเจ็ดคาบตรา
เกิดขึ้นเป็นเหยื่อหมา    ขึ้นต้นงิ้วเอาหัวลง
หลายชาติทนเสดสา    ในนรกานั้นโดยจง
สิ้นกรรมได้คืนคง    เกิดชมพูเป็นเดียรัจฉาน
กลับชาติเป็นมนุษย์    เป็นคนโม่ใบ้สาธารณ์

๓.๑.๔ ขยันไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวงผู้แต่งกล่าวว่าความขยันไม่เกียจคร้านการงานและมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ย่อมถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งด้วยเมื่อจักหูงข้าว เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

         

ตั้งหม้อแล้วเจ้า     จงเร่งผายผัน
เอาผักมาเด็ด      ใส่ไฟด้วยพลัน
บุญหนักนักธรรม์     จึงจะเป็นผล
เร่งคิดเร่งอ่าน     เจ้าอย่าขี้คร้าน
กองการกุศล       การฝ้ายการโหก
ให้เร่งขวายขวน  ทำศีลใส่ตน
คนนั้นต่อจะดี  

             การสอนผู้หญิงในฐานะภรรยาข้างต้นสอดคล้องกับหลักธรรมอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนาอีกเป็นจำนวนมาก ดังในคัมภีร์อังคุตตรนิกาย กล่าวถึงหญิงที่จะมีชัยไปถึงโลกหน้าหรือไปสู่สุขติในภพหน้าว่าต้องเชี่ยวชาญในงานบ้านงานเรือน รู้จักดูแลทุกข์สุขของคนในบ้าน ตลอดจนคนใช้ ทำทุกอย่างเพื่อความพอใจของสามี รู้จักทำกิจการต่าง ๆ ในบ้าน ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า และมีปัญญาในพระสุตตันตปิฎก อังคุตฺตรนิกาย ปัญจกนิบาต เล่มที่ ๒๒ กล่าวถึงการปฏิบัติตนของผู้หญิงต่อสามีที่ไม่แตกต่างกันนัก ดังคำสอนต่อไปนี้

 "สตรีผู้เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ดูหมิ่นสามี  ผู้มีความเพียรขวนขวายเป็นนิตย์ เลี้ยงตนเองทุกเมื่อ ผู้ให้สิ่งที่ต้องการได้ทุกอย่าง ไม่ทำให้สามีขุ่นเคืองด้วยการแสดงความหึงหวง ยกย่องทุกคนที่สามีเคารพเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน สงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี  ปฏิบัติถูกใจสามี รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ สตรีผู้ประพฤติตามใจสามีอย่างนี้ จะเข้าถึงความเป็นเทวดาเหล่ามหาปกายิกา"

              อีกตัวอย่างหนึ่งเป็นตอนที่อนาถปิณฑิกเศรษฐีบิดาของนางจูฬสุภัททาให้โอวาทนางก่อนที่จะไปเป็นลูกสะใภ้ของอุคคะเศรษฐี ๑๐ ประการ คำสอนนี้สอนสอดคล้องกับในสุภาษิตสอนหญิงภาคใต้ ประกอบด้วย

๑. อย่านำความลับ ความไม่ดีในครอบครัวของตนไปเปิดเผยให้ผู้อื่นฟัง
๒. อย่านำคำนินทาว่าร้ายของคนภายนอกมาเล่าให้คนในครอบครัวฟัง
๓. เมื่อมีคนมายืมของแล้วนำมาคืน หากมายืมอีกก็ควรให้เพื่อแสดงความเอื้อเฟื้อ
๔. คนที่มายืมของแล้วไม่คืน ไม่ควรให้ยืมอีก
๕. คนที่เป็นญาติมิตรแม้เขามายืมของจะคืนหรือไม่ เมื่อมายืมอีกก็ควรให้
๖. อย่านั่งในที่ของพ่อแม่สามี เมื่อสามีเดินผ่านต้องลุกให้
๗. เข้านอนภายหลังเมื่อพ่อแม่ของสามี และสามีเข้านอนแล้ว
๘. กินภายหลังจากพ่อแม่ของสามี และสามีกินแล้ว
๙. ให้ความเคารพยำาเกรงพ่อแม่ของสามีและสามีดุจการบูชาไฟ
๑๐. ให้เอาใจใส่นับถือพ่อแม่ของสามีและสามีดุจเทวดา

     ๔.  คุณสมบัติของผู้หญิงในฐานะผู้ปกครองหรือนายจ้าง        
     นายจ้างที่ดีต้องเอาใจใส่ข้าทาสบริวารตั้งแต่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม การทำงาน ไม่ตีด่าต่อหน้าแขก ให้พูดด้วยถ้อยคำอ่อนหวานเพื่อให้คนเหล่านี้อยู่กับตนนาน ๆ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

เลี้ยงควายกินน้ำหญ้า     เลี้ยงคนข้ากินถ้วนถี่
เอาใจไว้ให้ดี     ที่จะกินและนุ่งห่ม
ถ้าไม่มีปัญญา    ทาสและข้าคิดแต่จะส่ง
คิดหาผ้านุ่งห่ม    ให้พอสมคนแลดู
แขกไทไปมา    อย่าได้ตีด่า
ข้าไทลูกหลาน    แม้นว่าผิดพลั้ง
ยับยั้งฟังการ    ค่อยว่าค่อยขาน
ถ้อยคำหวานอ่อน  

     ๕.   คุณสมบัติของผู้หญิงในฐานะบุตร
            ผู้หญิงในฐานะที่เป็นบุตรจะต้องรู้จักปฏิบัติต่อบิดามารดาด้วยดีคือทำตามคำสอน ไม่ขัดใจ หรือข่มเหง เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า..

อย่าควรข่มเหงแม่  จริงจริงแหล่เป็นเวรา
จำเอาคำเราว่า     เกิดมุงคุณเป็นบุญตัว
ขัดถ้อยคำมารดา    สิ่งนี้หนาเป็นสิ่งชั่ว
อย่าเอามาใส่ตัว    เป็นกิจของหญิงแพศยา

            หญิงที่กระทำกตัญญูต่อบิดามารดาว่าเมื่อตายไปจะขึ้นสู่สวรรค์อันเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข ได้ฟังแต่เสียงมโหรีขับกล่อม และได้เห็นเหล่าเทวดานางฟ้าที่พากันเต้นรำกันอย่างมีความสุข เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

บ้างขยับขับเสภา  ตัวและหน้ายักย้ายตาม
หนุ่มหนุ่มนางงามงาม     ล้วนหมู่นางทิพย์เมืองสวรรค์
เล่นรำทำถ้วนถี่  ต่างมิอาจจะนาระพัน
ย่อมมีถี่ทุกอัน วิมานแก้วแวววาวตา

           ส่วนหญิงที่กระทำอกตัญญูต่อบิดามารดา เช่น ชอบข่มเหงและด่าทอว่าเมื่อตายไปจะตกนรกเป็นเวลาช้านาน ต้องกลายเป็นเปรตที่ไร้หูตา มือและเท้า กินเลือดหนองของตนเป็นอาหาร ถูกนำไปเผาในกระทะเหล็ก ตายวันละ ๗ ครั้ง ยมบาลใช้คีมคีบลิ้นออกมา เมื่อเกิดบนโลกมนุษย์ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

รูปงามน้ำใจกล้า      อวดตัวว่าดีขยัน
เรี่ยวแรงมันแข็งขัน     มิย่อท้อแก่มารดา
หญิงนั้นครั้นตายไป    ตกนรกนานหนักหนา
เป็นเปรตทนเวทนา     หูและตาบ่ได้ดี
หลายชาติอยู่ในโทษ     พระเจ้าโปรดยากพ้นที่
มือตีนก็ไม่มี      เป็นเปรตกินเลือดหนองตน
ไฟเผาในทะเหล็ก      ตายได้วันละเจ็ดหน
ยมบาลท่านทารุณ  เอาคีมคีบลิ้นออกมา
ใช้กรรมอยู่ในนรก     ถ้วนกำหนดครบชาติตรา
สิ้นกรรมได้ขึ้นมา    เกิดชมพูเป็นเดียรัจฉาน

          ในคัมภีร์ขุทฺทกนิกายชาตก เล่มที่ ๒๘ กล่าวว่าผู้ที่ทำหน้าที่ของบุตรที่ดีจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่หากอกตัญญูต่อบิดามารดาจะตกนรก ดังในพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่า “ผู้ที่มารดาบิดาเลี้ยงมาโดยยากอย่างนี้ ไม่บำรุงมารดาบิดา ประพฤติผิดในมารดาบิดา ย่อมเข้าถึงนรก"

      ๖.   คุณสมบัติของผู้หญิงในฐานะพุทธศาสนิกชน
        การเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีคือการแสดงความเคารพและสุภาพเรียบร้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ เพราะพระสงฆ์ถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

เคารพนบนอบไหว้     อัชฌาไว้พระเทศนา
อย่าให้หมองโรยรา    ผู้มีศีลนินทาหัว
พระสงฆ์นั่งอย่ายืน   พูดจักเป็นโทษแก่ตัว
ยำเยงควรเกรงกลัว    ท่านผู้ทรงพระศีลา
พระฝากศาสนาไว้    สงฆ์ทั้งหลายอยู่รักษา
พระเจ้าท้าวลับตา    ไปนิพพานยังแต่สงฆ์
เปรียบดุจดังดวงไต้    พระตามไว้เป็นดวงกลม
แจ้งจบพบโดยจง  พึงเคารพมีอัชฌา

     การรู้จักปฏิบัติต่อพระสงฆ์ด้วยกิริยาท่าทีที่ดีงามถือว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการไปสวรรค์หรือบรรลุธรรมขั้นสูง ดังที่นางอสิตาภุที่นิมนต์อัครสาวกมาถวายอาหาร แล้วฟังธรรมเทศนาด้วยความเลื่อมใสอยู่เป็นนิจ จนได้บรรลุโสดาบันปัตติผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในฆราวาสวิสัย ต่อมาได้บวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์

     ๗.   คุณสมบัติของผู้หญิงในฐานะสมาชิกหนึ่งของสังคม
             สิ่งที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญในฐานะที่เป็นสมาชิกหนึ่งของสังคม คือการรู้จักครองใจเพื่อนบ้านเพราะการผูกมิตรกับเพื่อนบ้านช่วยให้เกิดประโยชน์
หลายประการ เช่น สามารถขอความช่วยเหลือยามเจ็บไข้ได้ป่วยหรือมีธุระต่าง ๆ ผู้แต่งจึงสอนผู้หญิงให้รู้จักแบ่งปันของกินของใช้ให้เพื่อนบ้าน หรือวางตัวเป็นกลางเมื่อบุตรของตนทะเลาะกับบุตรของเพื่อนบ้านเพื่อนบ้านครั้นดีไว้เมื่อเจ็บไข้ได้พึ่งกัน เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า...

ฉุกหุกทุกข์ที่นั่น     วักวานกันได้ง่ายดาย
ไปไหนได้ของมา    ใดใดหนาอย่าชิดไว้
อย่ากินคนเดียวดาย  แจกปันให้เพื่อนตามมี
รู้กินก็เป็นเนื้อ    รู้ใฝเฝือเป็นไมตรี
กินได้นานหลายปี     มิรู้อดหมดเลยหนา
โลภนักลาภมักหาย    มักจะได้ความโกรธา
ต่ำนักมักแข็งกล้า     พอมัธยมเอาแต่งาม
ลูกเต้ารบตีกัน    อย่าหุนหันคุกคำราม
ลูกเราลูกเขาก็ตาม   ลำดับความสอนให้ดี

         มีข้อสังเกตว่าการสอนการปฏิบัติตนของผู้หญิงดังที่กล่าวมานี้สอดคล้องกับหลักของมาตุคามในพระพุทธศาสนาด้วย ดังในพระสุตตันตปิฎก องฺคุตฺตรนิกาย อฏฺฐกนิปาต เล่มที่ ๒๓ กล่าวว่าหญิงที่ปฏิบัติตามหลักธรรม ๘ ประการ เมื่อตายไปจะไปเกิดเป็นเทวดาเหล่ามหาปกายิกา มีดังต่อไปนี้มารดาบิดาผู้ปรารถนาประโยชน์ หวังเกื้อกูล อนุเคราะห์ด้วยความเอ็นดู ยกเธอให้สามีใดเธอต้องตื่นก่อนนอนทีหลังสามีนั้น คอยรับใช้ปฏิบัติให้เป็นที่พอใจเขา พูดคำไพเราะต่อเขา

  • ชนเหล่าใดเป็นที่เคารพของสามี คือ มารดา บิดา หรือสมณพราหมณ์ เธอสักการะเคารพนับถือ บูชาชนเหล่านั้น และต้อนรับท่านเหล่านั้นผู้มาถึงแล้วด้วยน้ำและเสนาสนะ
  • การงานเหล่าใดเป็นการงานในบ้านสามี เธอจะขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาอันเป็นอุบายในการงานเหล่านั้น สามารถทำสามารถจัดได้
  • รู้จักการงานที่คนในบ้านสามี คือทาสคนใช้หรือกรรมกรว่าทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ รู้อาการของคนเหล่านั้นที่เป็นไข้ว่าดีขึ้นหรือทรุดลง และแบ่งปันของกินของใช้ตามส่วนที่ควร
  • เธอรักษาคุ้มครองในสิ่งที่สามีหามาได้ เป็นทรัพย์ ข้าว เงิน หรือทองก็ตาม ไม่เป็นนักเลงการพนัน ไม่เป็นขโมย ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ
  • เธอเป็นอุบาสิกา ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ
  • เธอเป็นผู้มีศีล คือ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เสพของมึนเมา คือ สุรา และเมรัยอันเป็นเหตุแห่งความประมาท
  • เธอเป็นผู้มีราคะ คือ มีใจปราศจากความตระหนี่ อันเป็นมลทิน มีจาคะอันสละแล้ว มีฝ่ามือชุ่มยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการแจกทานอยู่ครองเรือน

      “หญิงดี” ในสุภาษิตสอนหญิงภาคใต้สรุปจากผลงานวิจัยของ พัชลินจ์ จีนนุ่น (๒๕๖๐) สรุปได้ดังนี้คือจะต้องมีคุณสมบัติด้านกาย วาจา และใจที่ดี ทั้งต้องรู้จักปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยคุณสมบัติที่ผู้แต่งแสดงรายละเอียดมากเป็นพิเศษ คือคุณสมบัติด้านการทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทั้งต่อสามี ญาติพี่น้องของสามี แขกของสามี ข้าทาสบริวาร และญาติพี่น้องของตนเอง ส่วนการสอนด้านอื่น ๆ มีปริมาณมากบ้างน้อยบ้างตามความสนใจของผู้แต่ง แต่จะสัมพันธ์กับความคิดความเชื่อในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องนรกสวรรค์ การได้เกิดในยุคพระศรีอาริยเมตไตรย และการกลับชาติมาเกิดจากผลของกรรมที่ได้ทำไว้การกำหนดคุณสมบัติต่าง ๆ ที่เป็นไปอย่างเข้มงวด นอกจากเพื่อสั่งสอนผู้หญิงให้รู้วิธีสร้างความสุขความเจริญให้แก่ตนแล้ว ก็น่าจะมีจุดมุ่งหมายอื่นแฝงอยู่ ดังต่อไปนี้

ประการแรก : 
         เป็นการฝึกฝนผู้หญิงชาวใต้ให้ “สมบูรณ์แบบ” ทั้งด้านกาย วาจาและใจตามแบบฉบับของผู้หญิงในพระพุทธศาสนา เช่นมีคุณสมบัติเหมือนนางวิสาขา นางจูฬสุภัททาหรืออื่น ๆ ที่สามารถบรรลุธรรมขั้นสูงตั้งแต่เป็นฆราวาสหรือสำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์เนื่องจากยึดหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต โดยเมื่อพิจารณาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาแล้วก็พบว่าไม่ได้ปฏิเสธการฝึกฝนตนของมนุษย์ (ทั้งหญิงและชาย) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ดังพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) กล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ ซึ่งสัมพันธ์กับความเป็นพระศาสดา และการทำหน้าที่ขอพระพุทธเจ้า มีพุทธพจน์มากมายที่เน้นฝึกฝนตนของมนุษย์ เพื่อพัฒนาตนจนถึงที่สุด การฝึกฝนด้านต่าง ๆ เริ่มจากระดับศีล สมาธิ และปัญญาซึ่งต้องประสานกันทุกฝ่าย เพื่อให้มีวิถีชีวิตที่ถูกต้องดีงาม การฝึกศีลจะมองลักษณะที่เด่นด้านอินทรีย์หรือกายวาจา หากเด่นภายในจิตใจจัดเป็นระดับสมาธิ เช่น ความกตัญญู ความเคารพ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเพียร และความพยายามหากเด่นที่ความคิดเรียกว่าระดับปัญญา เป็นการฝึกหรือพัฒนาการเข้าถึงความจริง และคิดการต่าง ๆ ในทางเกื้อกูล ผู้ที่ก้าวผ่านด้านต่าง ๆ ไปได้จะพบกับความสุขในปัจจุบัน การฝึกฝนและจัดระเบียบให้แก่ผู้หญิงช่วยปิดกั้นโอกาสในการทำชั่ว และเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น คำสอนผู้หญิงด้านต่าง ๆ นี้จึงน่าจะเป็นการสื่อท่าทีหรือสื่อความหมายถึงการสร้างภาพผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบว่าควรจะมีการวางตัวอย่างไรจึงจะเป็นไปตามแบบฉบับผู้หญิงในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรีชา ช้างขวัญยืน กล่าวว่าท่าทีของผู้หญิงที่มีต่อศาสนาไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่เป็นสิ่งที่ต้องพากเพียรปฏิบัติจึงจะเข้าถึง สิ่งที่ควรทำก็คือการเข้าถึงอุดมคติมิใช่อ้างว่าอุดมคติไม่มีจริงในความเป็นจริงมนุษย์ล้วนตั้งเป้าหมายและดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมาย ศาสนามีท่าทีเชื่อมั่นในอุดมคติในทุกระดับอย่างไม่เปลี่ยนแปลงคนดีไม่ว่ายุคสมัยใดย่อมมีความดีเหมือน ๆ กันจะแตกต่างกันว่าเป็นความดีในเรื่องอะไร และมีวิธีที่จะไปถึงความดีนั้นอย่างไร ดีในส่วนปุถุชนหรือนักบวช ท่าที่ที่ยึดถือความดี ความถูกต้อง และเป็นธรรมเป็นท่าทีที่สำคัญของศาสนา ซึ่งแสดงอย่างชัดเจนด้วยการสั่งสอนและการปฏิบัติ
ประการที่ ๒ :
       เป็นการสร้างพลังอำนาจแฝงของผู้หญิงเพื่อสื่อให้เห็นว่าหากผู้หญิงประพฤติปฏิบัติตัวดี โดยเฉพาะ ด้านการรู้จักปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ตั้งแต่การปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัวจนถึงคนในสังคมก็จะเป็นพลังอำนาจแฝงอันจะยังประโยชน์ให้แก่สังคมแลประเทศชาติได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการดูแลประเทศชาติ
ประการที่ ๓ :
          เป็นการอาศัยความเชื่อทางศาสนาจัดระเบียบผู้หญิงภาคใต้สมัยโบราณใน
เชิงลึก เนื่องจากในอดีตภาคใต้เป็นเมืองท่าสำคัญที่มีผู้คนหลากหลายเดินทางเข้ามาค้าขาย มารับราชการและแสวงบุญ หากไม่ควบคุมพฤติกรรมของผู้หญิง ย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายได้โดยเฉพาะหากเกิดกับผู้ชายที่มีอาชีพรับราชการ ดังที่เอกวิทย์ ณ ถลาง กล่าวถึงการเข้มงวดผู้หญิงในสังคมภาคใต้ที่มีมากกว่าภาคอื่น ๆ ว่าเนื่องจากสังคมภาคใต้กำหนดให้ผู้ชายมีบทบาทในการคบค้ากับผู้คนต่างวัฒนธรรม เป็นไปได้ว่า เมื่อฝ่ายชายเปิดเผยในการคบค้าก็ต้องถ่วงดุลเพื่อรักษาความเป็นตัวของตัวเองทางวัฒนธรรมไว้ ฝ่ายหญิงจึงต้องมีบทบาทค่อนไปทางอนุรักษ์นิยมและเก็บตัวอย่างไรก็ดี การกำหนดคุณสมบัติของ “หญิงดี”ย่อมมีทั้งการดำรงอยู่และเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ทางสังคม และยุคสมัยที่เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติของ “ผู้หญิงดี” ว่าจะให้อยู่ในทิศทางใด


                            ภาพจาก : https://www.pstip.com/ผู้หญิงกับสำนวนโบราณ.html                              


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
สุภาษิตสอนหญิง
ที่อยู่
จังหวัด
ภาคใต้


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย. (2556). ความตกต่ำของ “คตินิยมจารีตทางเพศ” ในสังคมไทย และสังคมภาคใต้ สืบค้นวันที่ 8 พ.ย. 61,
                จาก 
https://mgronline.com/south/detail/9560000027329
พัชลินจ์ จีนนุ่น. (2560). คุณสมบัติของ “หญิงดี” ใน สุภาษิตสอนหญิงภาคใต้ที่สัมพันธ์กับความคิด วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา
                (สาขามนุษยศาสตร์และ
สังคมศาสตร์)  ปีที่ 9 ฉบับที่ 17 มกราคม-มิถุนายน 2560.   
พัชลินจ์ จีนนุ่น. (2556). วรรณกรรมคำสอนภาคใต้ “ฉบับพิมพ์เล่มเล็ก”: การสืบทอดและสร้างสรรค์ด้านเนื้อหาคำสอน. สืบค้นวันที่ 8 พ.ย. 61,
                จาก
 https://tci-thaijo.org/index.php/sujthai/article/view/8002
สุภาษิตสอนหญิง : คำกาพย์. (2542) สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่ม 17. พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์.
อุดม หนูทอง. (2528). รายงานการวิจัยวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ประเภทคำสอน. สงขลา :   สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒสงขลา.

 


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024