ภาพจาก : https://link.psu.th/wKrWjk
การละเล่นพื้นบ้านและนาฏศิลป์ในภาคใต้นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ปัจจุบันหลายอย่างได้เสื่อมความนิยมลงไป เช่น กาหลอ ด้วยเหตุที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยได้ เพราะกาหลอมีดนตรีที่มีขนบนิยมและความเชื่อในการแสดง และการสืบทอดอย่างเคร่งครัดจึงหาคนรุ่นปัจจุบันสานต่อไม่ได้ ต่างกับหนังตะลุงและโนราแม้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนารูปแบบการแสดงให้เข้ากับสมัย แต่ก็ยังได้รับความนิยมจากชาวบ้านส่วนหนึ่ง และได้มีการฝึกฝนคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอดการแสดง ทั้งโดยตัวศิลปินเองหรือสถาบันการศึกษา นับว่าเป็นกิจกรรมที่ทุกฝ่ายควรให้การสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง ส่วนการแสดงอีกประเภทหนึ่งที่กำลังจะหายไปจากสังคมภาคใต้คือลิเกป่า
ลิเกป่าจัดเป็นการละเล่นระดับพื้นบ้านของภาคใต้ ที่มีต้นเค้าเดิมมาจากการละเล่นของชาวมลายู ที่เดินทางเข้ามาค้าขายหรือได้นําเอาลัทธิ ความเชื่อ หรือศาสนา ตลอดถึงศิลปวัฒนธรรมเข้ามาเผยแพร่ในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเรียกการแสดงชนิดนี้ว่าดีเกร์หรือดีเกร์ฮูลูในภาษามลายูพื้นเมือง ต่อมาการละเล่นดังกล่าวได้แพร่หลายเข้าไปในแถบจังหวัดตรัง กระบี่ ระนอง พังงา สตูล นครศรีธรรมราช ส่วนการเรียกชื่อของลิเกป่านั้น คนไทยได้นํามาเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป เช่น ลิเกป่า ลิเกบก ลิเกแขกแดง เป็นต้น ลิเกป่าหรือลิเกรำมะนาเป็นการเล่นพื้นเมืองที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของภาคใต้มาช้านาน แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าการละเล่นชนิดนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใด ลิเกป่าอาจเรียกได้หลายชื่อ เช่น ลิเกรำมะนา ลิเกบก หรือแขกแดง คำว่า "แขกแดง” ชาวภาคใต้หมายถึงแขกอาหรับ ถ้าใช้คำว่า "เทศ” จะหมายถึงคนอินเดีย เช่น เทศบังกาหลี (จากเบงกอล) เทศคุรา เทศขี้หนู (อินเดียใต้) ถ้าใช้คำว่า "แขก” หมายถึงแขกมลายและแขกชวา มีผู้กล่าวว่าลิเกป่าได้แบบอย่างมาจากการร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของแขกเจ้าเซ็น ที่เรียกว่า "ดิเกร์” ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย เพราะพวกเจ้าเซ็นมีเสียงไพเราะเป็นที่นิยมฟังกันทั่วไป ต่อมามีคนไทยหัดร้องเพลงดิเกร์ขึ้น ตอนแรกมีทำนองการใช้ถ้อยคำเหมือนกับเพลงสวด ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็นแบบไทย ๆ คำว่า "ดิเกร์" ก็เปลี่ยนมาเป็นลิเกหรือยี่เกอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจากเครื่องดนตรี รำมะนาที่ลิเกป่าใช้ก็น่าจะได้แบบมาจากมลายู เพราะมลายูมีกลองชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ระบานา” ซึ่งมีสำเนียงคล้ายกับรำมมะนาของไทย นักแสดงลิเกป่าคณะหนึ่ง ๆ จะมีประมาณ ๒๐-๒๕ คน รวมทั้งลูกคู่ นักแสดงหรือตัวละครสำคัญ ๆ ก็มี แขกแดง ยาหยี เสนา และเจ้าเมือง ส่วนที่เหลือเป็นตัวประกอบ ซึ่งนักแสดงจะแต่งตัวแตกต่างกันคือ แขกแดง แต่งตัวนุ่งกางเกงขายาว นุ่งผ้าโปร่ง (ผ้าถุง) ไว้ข้างนอกสูงเพียงเข่าใส่เสื้อแขนยาว สวมหมวก แต้มหนวดเคราให้รกรุงรัง แขวนสร้อยหลายเส้น ยาหยี แต่งตัวคล้ายไทยมุสลิมภาคใต้ หรือแต่งแบบคนไทยทางฝั่งทะเลตะวันตก คือใส่เสื้อแขนยาว นุ่งผ้าปาเต๊ะ เสนา แต่งตัวแบบคนรับใช้ เจ้าเมืองแต่งชุดข้าราชการไทยสมัยก่อน อาจจะเป็นเสื้อราชปะแตน นุ่งผ้าม่วง ลิเกป่าจะแสดงกันในงานรื่นเริง เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน งานประเพณีต่าง ๆ และนิยมแสดงในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน การแสดงแขกหรืออกแขก (ซึ่งเป็นธรรมเนียมนิยมก่อนการแสดงเรื่อง) จะใช้เวลายืดหยุ่นได้ขึ้นอยู่กับผู้ชม และการใช้ปฏิภาณไหวพริบของผู้แสดง เมื่อแสดงแขกหรือออกแขกจบแล้ว จึงแสดงเรื่องเดิมเรื่องที่นิยมแสดง ได้แก่ โคบุตร จันทรโครพ ลักษณวงศ์ เป็นต้น
ลิเกป่าบางแห่งเรียกลิเกแขกแดง (แขกอินเดีย) บางแห่งเรียกลิเกบก มักแสดงในท้องถิ่นในหมู่บ้านชาวไทยมุสลิมฝั่งทะเลตะวันตก เช่น จังหวัดกระบี่ ตรัง พัทลุง และสตูล คําว่าลิเกป่าหรือลิเกบกนั้นอาจมาจากคําเรียกของพวกนิยมนาฏศิลปภาคกลาง โดยเห็นว่าลิเกแขกไม่ประณีตอย่างนาฏศิลป์ไทยที่ตนนิยม จึงเรียกเป็นลิเกป่า หรือลิเกบกไปและความหมายอาจเห็นว่าแขกอินเดียเดินทางขึ้นบกและที่ตรงนั้นก็เป็นป่าเขา เมื่อมีการร้องรําทําเพลงกันขึ้นก็เรียกการละเล่นชนิดนี้ว่าลิเกป่าหรือลิเกบกไปตามสถานที่ที่ตนมาพักพิง ลิเกป่าต่างกับลิเกฮูลู ตรงที่ลิเกป่านอกเหนือจะแสดงแขกหรือออกแขกบ่งบอกปฏิญาณไหวพริบแล้ว ยังแสดงเป็นเรื่องเป็นราวและส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทย เพราะบริเวณนั้นมีชาวบ้านที่เป็นไทยพุทธอยู่มาก ส่วนลิเกฮูลูใช้การตอบโต้คารมกันอย่างเดียวและใช้ภาษามลายูล้วนและไม่มีกาแสดงเป็นเรื่องเป็นราว
เครื่องดนตรี
ภาพจาก : https://link.psu.th/yhTEG3
ลิเกป่านิยมเล่นกันแถบชนบทบ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นนักแสดงสมัครเล่น ไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลักเวลามีการแสดงในงานต่าง ๆ ก็จะรวมสมัครพรรคพวกตั้งเป็นคณะเฉพาะกิจ สำหรับค่าตัว (ค่าราด) ในการแสดงก็ไม่แน่นอนแล้วแต่จะตกลงกับเจ้าภาพ ซึ่งขึ้นกับระยะเวลาที่รับไปแสดง เครื่องดนตรีของลิเกป่า ประกอบด้วยเครื่องดนตรีหลัก ๆ ๔ ชนิด คือ กลองรํามะนา ๒-๓ ใบ ฉิ่ง ๑ คู่ กรับ ๑ คู่ ฆ้อง ๑ ใบ นอกนั้นก็เป็นเครื่องดนตรีประกอบก็ทำไพเราะและสนุกสนาน เครื่องดนตรีของลิเกป่า มีดังนี้
๑. กลองรำมะนา
๒. ฉิ่ง
๓. กรับ
๔. ปี่ชวา
๕. กลองทัด
๖. โหม่ง
๗. ฆ้อง
๘. ระนาด
นักแสดงหรือตัวละคร
นักแสดงหรือตัวละครในคณะลิเกป่า ในแต่ละคณะประกอบด้วยตัวละครประมาณ ๑๐-๒๐ คน ในสมัยก่อนคณะลิเกป้านักแสดงจะเป็นผู้ชายล้วน ๆ ปัจจุบันจะมีผู้หญิงมาแสดงเป็นยาหยี แม่ยายี หรือตัวอื่น ๆ ตามชุดของเรื่องที่จะทำการแสดง ทำให้ลิเกป้าได้รับความนิยมและสนใจของผู้คนมากขึ้น เพราะมีความอ่อนช้อยสวยงามของลีลาท่ารำ และบทร้องของนักแสดงที่เป็นผู้หญิง ตัวแสดงที่มีความสำคัญของการแสดงลิเกป่าประกอบด้วย
๑. แขกแดง (เทศ) เป็นตัวละครที่แต่งกายด้วยการนุ่งขายาวสีขาว นุ่งโสร่ง ทับกางเกงด้านนอก สวมหมวกแขก ติดหนวดเครายาวรุงรัง แขวนสร้อยลูกปัดหรือสร้อยเงิน สร้อยทองหลาย ๆ เส้น เป็นตัวละครที่พูดไม่ชัด สื่อออกไปในทางทะลึงซึ่งสามารถเรียกเสียง หัวเราะจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี |
๒. ยาหยี (นางเอก) เป็นตัวละครที่แต่งกายตามแบบหญิงมุสลิมในภาคใต้ฝั่งแถบอันดามัน โดยจะนุ่งผ้าปาเต๊ะยาว สวมเสื้อแขนยาวตัดเย็บด้วยผ้าลูกไม้ซึ่งบางคณะอาจใช้ผ้าคล้องคอ |
๓.ิ เสนา (ตัวตลก) ถือเป็นตัวละครหลักที่มีเอกลักษณ์เด่นที่สามารถสร้างสีสันและความสนุกสนานให้กับผู้ชม คือสําเนียงการพูด โดยพูดด้วยสําเนียงชาวปักษ์ใต้ การพูดจาและลักษณะท่าทางการแสดงจะออกไปในทางทะลึง เสนาเป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่สวมหน้าพราน ซึ่งเป็นหน้ากากไม้สีแดง นุ่งโสร่ง และไม่สวมเสื้อ |
๔. เจ้าเมือง (นาย) เป็นตัวละครที่แต่งกายค่อนข้างดูดี คือแต่งแบบข้าราชการ สวมเสื้อราชปะแตนหรือผ้าไหมสีสันสวยงาม |
การแต่งกาย
การแต่งกายของตัวละครส่วนใหญ่จะใช้ชุดที่ใส่ในชีวิตประจำวัน คือแต่งอย่างไรก็แต่งกันอย่างนั้น คือตามมีตามเกิด มีมากแต่งมากมีน้อยแต่งน้อย แต่พระเอกจะแต่งกายงามเป็นพิเศษ คือนุ่งผ้าโจรงกระเบน ใส่เสื้อแขนยาว ใส่ทองกร สวมสายสร้อยสังวาล ทับทรวง ถ้ามีชฎาซึ่งอาจจะทำด้วยกระดาษหรือหนัง ประดับประดาด้วยพลอยหรือกระจกให้แวววาว ส่วนนางเอกก็นุ่งผ้าถุงจีบใส่เสื้อแขนสั้น กำไลเท้า มีผ้าห่มคลุมห้อยพาดหลัง อาจจะสวมใสชฎาหรือใส่กระบังหน้าหรือไม่ใส่ก็ได้ เครื่องประดับอื่น ๆ ก็มีสร้อยร้อยลูกปัด ถ้าเป็นตัวตลกหรือเสนาอำมาตย์ก็แต่งกายอย่างง่าย ๆ คือไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าถุง แต้มหน้าทาคิ้วให้ดูแล้วน่าขัน การแต่งกายหรือชุดการแสดงในตัวละครในการแสดงลิเกป่าจะประยุกต์ให้เหมาะสมกับการแสดงในท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งการแต่งกายของตัวละครที่สำคัญของเรื่อง ได้แก่ ตัวละครที่แสดงเป็นแขกแดง ยาหยี เจ้าเมือง เสนา และตัวอื่น ๆ การแต่งกายตามสะดวกที่หัวหน้าคณะได้คิดค้นขึ้นมาตามเนื้อเรื่องที่จะแสดงในงานนั้น ๆ ประกอบด้วย
๑. ชุดแขกแดง ประกอบด้วยเครื่องแต่งกายหมวกหรือผ้าโพกหัว เสื้อกั๊กชั้นนอก เสื้อสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาว ผ้าโสร่งผู้ชาย กางเกงขายาว และใส่หนวดหรือเคราและเสริมจมูกให้โตมีสีแดง และใส่เครื่องประดับสร้อยคอหลาย ๆ เส้น การแต่งกายของแขกแดงจะเลียนแบบแขกอินเดีย |
๒. ชุดยาหยี ประกอบด้วยเครื่องแต่งกายผ้านุ่งปาเต๊ะสีต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและสวมเสื้อแขนยาวผ้าหลากสีตามของแบบผู้หญิงไทยมุสลิมภาคใต้ และมีผ้าคลุมผมที่เรียกว่าผ้าฮีญาบ |
๓. ชุดเจ้าเมือง ประกอบด้วยเครื่องแต่งกายชุดพิธีการเรียบร้อยนุ่งโจงกระเบนหลากสี และสวมเสื้อสีขาวคอราชประแตน แบบเจ้านายสมัยโบราณมีหมวก และไม้เท้าเป็นองค์ประกอบ ให้ดูยิ่งน่าเกรงขามยิ่งขึ้น |
๔. ชุดเสนา การแต่งกายแบบคนรับใช้อาจจะนุ่งทางหรือนุ่งโจงโจงกระเบนแต่ไม่ใส่เสื้อ และแต่งหน้าด้วยแป้งหรือฝุ่นสี ตามที่เห็นว่าเป็นตัวตลกขบขันสร้างความบันเทิง |
๕. ชุดตัวแสดงอื่น ๆ การแต่งตายตามสมัยนิยมหรือแต่งตามบทละครที่จะบอกเล่าเรื่องที่จะแสดงในแต่ละครั้งแต่ละบทในนิยายเรื่องนั้น ๆ |
นักดนตรีและบทร้อง
นักดนตรีในการแสดงลิเกป่า มีตามจำนวนเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง และนักดนตรีก็สามารถเป็นลูกคู่ขับร้องประกอบด้วย นักดนตรีหลักได้แก่ รำมะนา ๑ คน กลองตุ๊ก ๑ คน โหม่ง ๑ คน ปีชวา ๑ คน ฉิ่ง ๑ คน และอาจเพิ่มเครื่องดนตรีอื่น ๆ เพื่อให้มีเสียงดนตรีดังกึกก้องยิ่งขึ้น เช่น กลองชุด และคีย์บอร์ด เป็นการประยุกต์เล่นเครื่อง ให้ร่วมสมัยยิ่งขึ้น เพื่อเรียกร้องความสนใจให้คนมาดูมากขึ้น ในการเบิกโรงเปิดการแสดงในแต่ละครั้ง ส่วนเบทร้องของลิเกป่าส่วนมากจะร้องเป็นบทกลอนต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคณะจะแต่งขึ้นเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อบอกเล่าเรื่องที่จะแสดงในแต่ละช่วง ซึ่งประกอบด้วยบทร้องของแขกแดง บทร้องของยายี บทร้องของเจ้าเมือง บทร้องของเสนา ฯลฯ ซึ่งจะแต่งขึ้นมาเป็นบทกลอนสด ๆ ให้นักแสดงได้ขับร้องในการเล่าเรื่องในการแสดงของบทละครตามสถานที่ต่าง ๆ และบทเพลงร้องไหว้ครูและโหมโรงก่อนเปิดการแสดงได้แก่
บทเพลงโหมโรง
หัวหน้าว่า : ซฤกษ์งามยามดีป่านนี้ชอบยามประเวลา ราชครูของน้องลอยแล้วให้ล่องกันเข้ามา
ลูกคู่รับ : ชูเห่อบังกอกยังรักดอกดอกอีโปง ยังรักดอกดอกอีโปง ยกมือขึ้นไหว้เทวดาถัดลงมาภูมิที่ลงโรง
หัวหน้าว่า : ราชครูของน้องลอยล่องกันเข้ามา หัวค่ำเรียกหาดึกเวลาส่งไป ตั้งหมากตั้งพลูร้องกาดราชครูอยู่ถ้วนหน้า ตั้งขมาทั้งพลูร้องกาดราพครูอยู่ถ้วนหน้า
นางยวนแม่เนื้อเกลี้ยงมาตามเสียงรำมะนา
ลูกคู่รับ : ราชครูของน้องลอยล่องกันเข้ามา หัวค่ำเรียกหาดึกเวลาส่งไป ตั้งหมากตั้งพลูร้องกาดราชครูอยู่ถ้วนหน้า ตั้งขมาทั้งพลูร้องกาดราพครูอยู่ถ้วนหน้า
นางยวนแม่เนื้อเกลี้ยงมาตามเสียงรำมะนา
ฯลฯ
เพลงบทไหว้ครู้
หัวหน้าว่า : สิบนิ้วข้าไหว้ ๆ คุณพระพุทธ, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : ไหว้คุณพระพุทธเป็นมิ่งมงกุฎให้แก่ลูกยา, ลูกคู่รับ : มาช่วยพิทักษ์ เอิ้งเอ๋ยรักษาฉะงๆๆๆๆ
หัวหน้าว่า : เอิ้งเอ้ย ขอเชิญ ขอเชิญให้พ่อมาช่วยพิทักษ์เอ่ยรักษาฉะง ๆๆๆ เอิ้งเอ่ย สิบนิ้วข้าไหว้ ๆ คุณพระธรรม, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : ไหว้คุณพระธรรมมาช่วยชักนำให้แก่ลูกยา, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : สิบนิ้วข้าไหว้ ๆ คุณพระสงฆ์, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : ไหว้คุณพระสงฆ์สิบนิ้วจำนงทรงศีลภาวนา, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : สิบนิ้วข้าไหว้ๆบิดรมารดา, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : บิดรมารดาในค่ำเวลาลูกยาไหว้ไป, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : สิบนิ้วข้าไหว้ครูหมอลิเก, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : ครูหมอลิเกรอดแล้วไม่เทเชิญพ่อเข้ามา, ลูกคู่รับ : ข้าไหว้ข้าไหว้
หัวหน้าว่า : กาดครูเสร็จสับกลับมาไหว้เทวดาช่วยปกปักรักษาพวกของข้าไปทั้งวงรำมะนามาพร้อมผมน้อมคำนับ
ลูกคู่รับ : เอ่ยมาพร้อมผมน้อมคำนับจะจับเพลงแขกขึ้นให้มันแปลกภาษา
ขั้นตอนในการแสดงลิเกป่า
ขั้นตอนในการแสดงลิเกป่า มีดังนี้
๑. การร้องบอกชุด
หลังจากที่ร้องกาดครูเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลิเกป่าจะร้องบอกชุด ๑๒ ชุด การบอกชุดเป็นเพียงการร้องเท่านั้น ไม่มีการแต่งกายออกมาประกอบชุด การร้องบอกชุดเป็นพิธีกรรมของคณะลิเกป้า เพื่อขับร้องบอกชุดในการโหมโรง เป็นธรรมเนียมของคณะลิเกป่าชุดต่าง ๆ ที่บอกส่วนใหญ่ไม่ค่อยนำมาแสดง จะแสดงอยู่เพียงชุดเดียว คือชุดแขกแดง ซึ่งเป็นชุดที่จะต้องแสดงทุกครั้ง ก่อนจะนำเสนอแสดงเรื่องอื่น ๆ ที่ทางคณะได้จัดให้มี หากเปรียบกับหนังตะลุง คงจะเป็นการออกฤษีของหนังตะลุงที่ต้องมีก่อนการแสดงเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
๒. การออกแขกหรือออกเทศ
การออกแขกหรือออกเทศ ซึ่งเป็นการเบิกโรงตามธรรมเนียมแบบแผนของการแสดงลิเกป่า การออกแขกนอกจากจะเป็นการเบิกโรงแล้วยังเป็นการเรียกคนดู โดยตัวละครสามารถสร้างความสนุกสนานและเรียกเงินจากคนดูได้ ผู้ที่ทําหน้าที่เบิกโรงคือแขกเทศ ซึ่งจะถือเทียนออกมาร้องบทกลอนเป็นภาษาแขกเปอร์เซีย และให้พรกับคนดู จากนั้นจึงมีตัวแสดงหลัก ได้แก่ ยาหยี เจ้าเมือง เสนา (ตัวตลก) ออกมาเปิดตัวต่อหน้าผู้ชม และระหว่างการออกแขกจะมีการประโคมดนตรีประกอบจังหวะ ระยะเวลาในการออกแขกสามารถยืดหยุ่นได้ ขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องและสถานการณ์ เพราะการออกแขกถือเป็นขั้นตอนสําคัญ ที่เรียกความสนใจจากคนดูได้เป็นอย่างดี เป็นการโชว์การเต้นของแขกแดงตามจังหวะเครื่องดนตรีและรำมะนา ซึ่งมีท่าการเต้นที่เป็นเอกลักษณ์ของแขกจำนวน ๑๒ ท่า แขกแดงเป็นตัวละครเอกมีบทร้องและเต้นที่สนุกสนานที่จะกล่าวถึงประวัติความเป็นมาของแขกแดง ที่มาค้าชายอยู่เมืองกระบี่ได้ภรรยาเป็นคนไทยมุสลิมชื่อยายี และเมื่ออยู่มานานก็คิดถึงบ้านที่เมืองลักกะตา (ประเทศอินเดีย) จึงได้ไปอกลาเจ้าเมืองและขอบ่าวเพื่อจะได้ไปช่วยเหลือในการเดินทางไปเยี่ยมบ้าน เจ้าเมืองอนุญาตก็กลับบ้านไปบอกยาหยีที่เป็นภรรยา และได้ชวนภรรยาไปด้วย แต่ภรรยาไม่อยากจะไปก็จะเป็นบทอ้อนวอนขอร้อง ขู่บังคับ จนกระทั้งยายีต้องไป จะเป็นบทร้องรำลากันระหว่างยายีกับครอบครัวและบุคคลอื่น ๆ บทยุแหย่ของเสนา ที่ไม่อยากให้ยาหยีไปกับแขกแดง และบทขับร้องระหว่างล่องเรือไปในทะเล ชมท้องฟ้า ชมเกาะ ปลาต่าง ๆ ในทะเล จนกว่าจะถึงเมืองลักกะตา
๓. การแสดงบทละครในท้องเรื่อง
การแสดงบทละครในท้องเรื่องการเข้าสู่เล่าเรื่อง แต่ละคณะจะใช้ระยะเวลาการแสดงประมาณ ๔๐ นาที ซึ่งการแสดงลิเกป่าแบบดั้งเดิมนิยมเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชน และสอดแทรกคําสอนทางศาสนาไว้ แต่การแสดงลิเกป่าในปัจจุบันนิยมนําเรื่องราวต่าง ๆ ที่ยุคในสมัยนิยมมาใช้ในการเล่าเรื่องมากขึ้น เช่น นําเรื่องราวจากนิยายหรือการ์ตูนมาดัดแปลง เพื่อใช้ในการแสดงลิเกป่าที่สร้างความแปลกใหม่ให้น่าสนใจ ถึงแม้เรื่องราวที่นํามาใช้ในแสดงจะมีการเปลี่ยนแปลงหมุนเวียนไปบ้าง แต่ลักษณะเด่นทางด้านบุคลิก สําเนียงภาษาที่ใช้ในการดําเนินเรื่องของตัวแสดงยังคงยึดรูปแบบเดิม ตัวแขกแดงยังคงใช้ภาษาเปอร์เซีย เสนาใช้ภาษาถิ่นไทยปักษ์ใต้ เจ้าเมืองใช้ภาษากลาง ส่วนยาหยีใช้ภาษาท้องถิ่น บุคลิกท่าทางและสําเนียงในการพูดของตัวแสดงแต่ละตัวช่วยสร้างสีสัน และสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดีลิเทป่าในแต่ละคืนจะแสดงเรื่องอะไรนั้น จะต้องดูลักษณะงานที่ผู้ว่าจ้างได้ให้ไปแสดงจะมีงานมงคลหรืองานอวมงคล เช่น งานศพ ก็จะเลือกชุดแสดงในนิยายสมัยโบราณ เช่น พระอภัยมณี จันทโครพ ฯลฯ และงานมงคลรื่นเริงต่าง ๆ จะแสดงตามจินตนิยายที่ได้แต่งขึ้นในบางครั้ง แต่จะเริ่มแสดงชุดแขกแดงก่อนหรือการออกแขก เป็นชุดเปิดการแสดงหรือชุดไว้ครู ทุกครั้งที่ทำการแสดงก่อนจะทำเดินเรื่องจินตนิยายอื่น ๆ
๔. การส่งครู
เมื่อแสดงจบเรื่องแล้วในแต่ละครั้งหรือแต่ละคืน มีการนำร้องบทส่งครูคืนกลับสู่สถานที่เดิมของแต่ละหมู่เล่า ที่ได้เชิญมาเพื่อตอนเบิกโรงและไหว้ครู และนักแสดงทุกคนจะต้องรำ ๑๒ ท่าประกอบเพื่อเป็นการจบสิ้นการแสดงของคณะลิเกป้าในคืนนั้น ๆ
การแสดงลิเกป่าจัดแสดงได้ในเกือบทุกงาน ก่อนเริ่มการแสดงจะต้องโหมโรงก่อนประมาณ ๑๕-๒๐ นาที การโหมโรงจะใช้กลองรำมะนาตีประโคมเพื่อให้จังหวะ กับมีบทเพลงคล้าย ๆ กับลำตัดร้องไปด้วย โดยผลัดกันร้องทีละคนเวียนเป็นรูปวงกลม ขณะที่ร้องเพลงจะต้องขยับท่าให้เข้ากับคำร้องและจังหวะของกลอง บางทีอาจจะมีลูกคู่ออกมารำสมทบด้วย ผลัดเปลี่ยนกันไปทีละคู่ ๆ การร้องเพลงและประโคมดนตรีเช่นนี้เรียกว่า "เกริ่นวง" ตัวอย่างเพลงเกริ่นของลิเกป่ามีดังนี้
"น้ำขึ้นเต็มคลอง | เรือล่องไปติดซัง |
แม่ไม่ใส่เสื้อ | ถ่อเรือไปแลหนัง |
"น้ำเอยเจ้าไหลรี่ | ไอ้ปลากระดี่ลอยวน |
ลอยมาข้างนี้ | มารับเอาพี่ไปด้วยคน" |
"โอ้เจ้าช่อมะม่วง | โอ้เจ้าพวงมะไฟ |
ถ้าน้องลวงพี่ | พี่จะหนีไปแห่งใด" |
หลังจากร้องเพลงเกริ่นแล้วก็เป็นการออกแขก แขกที่ออกมาจะแต่งกายและแสดงท่าทางตลอดจนสำเนียงพูดเลียนแขกอินเดียทุกอย่าง อาจจะมีเพียงตัวเดียวหรือ ๒ ตัวก็ได้ โดยผลัดกันออกมาคือแขกขาวกับแขกแดง ออกมาเต้นหน้าเวทีพร้อมกับแสดงท่าทางและร้องประกอบโดยมีลูกคู่รับไปด้วย หลังจากแขกเข้าโรงแล้วจะมีผู้ออกมาบอกกับผู้ดูว่าจะแสดงเรื่องอะไร และหลังจากนั้นก็เป็นการแสดงเรื่องราว เรื่องที่ลิเกป่านิยมเล่นกันมากได้แก่วรรณคดีเก่า ๆ เช่น อิเหนา โคบุตร สุวรรณหงส์ ลักษณวงศ์ เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองตามยุคสมัยที่นิยมกันก็มี ภาษาที่พวกลิเกป่าใช้ไม่ว่าจะเป็นบทร้องหรือบทเจรจา ลิเกป่าจะใช้ภาษาของชาวพื้นเมืองที่ตนถนัดกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นตัวเอกทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชายจะใช้ภาษาที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่าภาษาข้าหลวง คือเป็นภาษากลาง แต่สำเนียงพูดแปร่ง ๆ ผิด ๆ ถูก ๆ หรือที่เรียกกันว่า "พูดทองแดง"
ลักษณะเนื้อเรื่องที่ใช้แสดง
ในการดําเนินเรื่องเพื่อแสดงลิเกป่านั้น นิยมใช้บทขับร้องที่มีลักษณะเฉพาะและมีเอกลักษณ์ตายตัว เป็นเรื่องราวที่ยึดแบบแผนเดียวกันสืบต่อ ๆ กันมา โดยเนื้อร้องกล่าวถึงแขกเทศ เดินทางจากเมืองเทศ (กัลกัตตา) เพื่อเข้ามาค้าขายยังหัวเมืองต่าง ๆ บริเวณชายทะเลฝั่งอันดามันโดยเรือไฟ (เรือสําเภา) และได้แต่งงานกับนางยาหยี ซึ่งเป็นหญิงชาวไทยและเมื่อแขกเทศได้พํานักในเมืองไทยได้ระยะหนึ่ง จึงคิดที่จะกลับไปเยี่ยมบ้าน จึงได้บอกแก่เจ้าเมืองว่าเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้าน แล้วจะนําสินค้ากลับมาขายด้วย โดยในการเดินทางครั้งนี้ได้พานางยาหยี (ภรรยา) และเสนา ๑ คน เดินทางไปด้วย ซึ่งนางยาหยีไม่ได้อยากไปแต่แขกเทศได้อ้อนวอนจนนางยาหยียอมเดินทางไปด้วย โดยการลาพ่อแม่แล้วเดินทางลงเรือสําเภา เพื่อเดินทางกลับไปยังเมืองกัลกัตตา ตลอดระยะการเดินทางแขกเทศกลัวว่านางยาหยีจะรู้สึกเบื่อ จึงได้ชวนนางยาหยีชมปลา ชมความงามของท้องทะเล ชมธรรมชาติ ที่ได้พบเห็นระหว่างทางจนเดินทางถึงเมืองกัลกัตตา ตัวละครที่เป็นแขกเทศและเสนา (ตัวตลก) จัดเป็นตัวแสดงหลักที่เป็นผู้ดําเนินเรื่องและสร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้ชม โดยพูดในแนวทะลึงและพูดไม่ชัดซึ่งช่วยสร้างความ สนุกขบขันให้แก่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี การแสดงลิเกป่าไม่ได้เป็นเพียงศิลปะการแสดงที่มุ่งสร้างความสนุกสนานและเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยังเป็นสื่อสะท้อนวัฒนธรรมประเพณี วิถีการดําเนินชีวิตประจําวัน ตลอดจนรูปแบบการปกครอง โดยสะท้อนผ่านตัวละครหลัก นอกจากนี้ยังมีการใช้ศาสตร์ของลิเกป่ามาใช้บําบัดรักษาโรคหรือรักษาคุณไสย
รูปแบบการแสดง
การแสดงลิเกป่ามีรูปแบบการแสดงที่เรียบง่าย ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนใต้ โดยเฉพาะคนในระดับท้องถิ่นที่แสดงออกมาให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ จิตวิญญาณ คุณวิเศษ ระบบความเชื่อที่สอดแทรก มีระบบการสืบทอดโดยผ่านการซึมซับเข้าสู่สายเลือดต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น ความเชื่อที่มีต่อการสืบทอดนั้น ถือเป็นพันธสัญญาในการสืบทอดที่ลูกหลานในวงค์ตระกูลหรือลูกศิษย์ หรือผู้มีจิตวิญญาณต่อศิลปะการแสดงลิเกป่า แล้วเกิดการซึมซับรับเอาศาสตร์ด้านการแสดงลิเกป่ามาปฏิบัติ ซึ่งผู้ที่เป็นผู้สืบทอดนั้นนอกจากจะต้องมีเชื้อสายหรือเป็นลูกหลานของตระกูลแล้วนั้น ยังต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละเป็นอย่างมาก เพราะโดยระบบความเชื่อของลิเกป่าแล้ว โดยเฉพาะลิเกป่าที่เป็นผู้รู้ด้านพิธีกรรมนั้น หากเกิดการล้มป่วยถึงขั้นใกล้จะเสียชีวิต ก็ต้องหาผู้ที่มาสืบทอดให้ได้ ซึ่งก็ถือเป็นระบบความเชื่อที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา ส่วนรูปแบบการเรียนรู้ของแต่ละคนนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือลําดับขั้นตอนการประกอบพิธีกรรม การดําเนินเรื่องจะมีลักษณะและรูปแบบยึดตามแบบแผนเดิมที่ปฏิบัติสืบทอดต่อ ๆ กันมา ปัจจุบันลิเกป่าเสื่อมความนิยมลงไปมาก เพราะการแสดงและสิ่งบันเทิงอื่น ๆ เข้ามามีอิทธิพลมากกว่า ผู้คนจึงรู้จักลิเกป่าน้อยลง ผู้ที่เล่นลิเกป่าได้จึงมักจะเป็นผู้สูงอายุ พร้อมที่จะล้มหายตายจากไปกับกาลเวลา ดังนั้นในระยะอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการอนุรักษ์การเล่นชนิดนี้ไว้ ก็คงจะหาดูลิเกป่าไม่ได้อีกเลย ลิเกป่านิยมเล่นกันแถบชนบทบ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก แต่ถ้าใครรับไปแสดงในงานต่าง ๆ ก็จะรวมสมัครพรรคพวกไปเล่นได้ อัตราค่าแสดงก็ไม่แน่นอนแล้วแต่ข้อตกลงกับเจ้าภาพ ซึ่งต้องคํานึงระยะเวลาที่แสดง ระยะทางและค่าพาหนะในการเดินทาง เป็นต้น
เวทีแสดง
ในสมัยการแสดงลิเกป่าจะกันแสดงบนพื้นดิน เช่นเดียวกับโนราสมัยก่อน มีม่านกั้น ๒-๓ ชั้น แล้วแต่ความเหมาะสม ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นทำให้คนดูไม่ทั่วถึงก็ปลูกโรง โดยยกพื้นให้สูงขึ้นเวทีที่ใช้ในการแสดง มีลักษณะปลูกเป็นเพิงกั้นด้านหลังและด้านข้างด้วยทางมะพร้าว เวทียกสูงระดับสายตาของผู้ชมที่นั่งคู่กับพื้นเล็กน้อย ลักษณะคล้ายกับโรงมโนห์ราคือปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดกว้างและยาวเท่า ๆ กัน มีหลังคา ยกพื้นหรือไม่ยกพื้นก็ได้ ใช้เสื่อปู หน้าโรงโปร่งทั้งสามด้าน ตรงกลางมีฉากหรือม่านกั้น ส่วนหลังโรงใช้เป็นที่แต่งตัวและเก็บเครื่องใช้ไม้สอย ตะเกียงที่ใช้ใช้เป็นตะเกียงเจ้าพายุ หรือไม่ก็ใช้ไต้จุดช่วย
โอกาสที่ใช้ในการแสดง
จากที่กล่าวมาแล้วน่าจะสรุปได้ว่าที่เรียกการละเล่นลิเกป่านั้นคงจะเนื่องมาจากเล่นไม่ยึดถือแบบฉบับ ขาดความสมบูรณ์ในทุก ๆ ด้าน และเล่นกันเป็นงานบันเทิงสมัครเล่นเพื่อความสนุกสนานตามประสาชาวบ้านป่า ไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพแน่นอนนั่นเอง ในปัจจุบันการเล่นลิเกป่าจะหาดูยากมากแล้ว ทั้งนี้เพราะมีเหตุหลายประการที่ทำให้การละเล่นชนิดนี้เสื่อมสูญไป เช่น เนื่องจากการเล่นลิเกของภาคกลาง ซึ่งเผยแพร่เข้ามาดูน่าชมกว่า เล่าเรื่องที่น่าสนใจกว่า การขับร้องและท่ารำก็แปลกและพิสดารกว่า และสาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือลิเกป่าเป็นลิเกสมัครเล่น ไม่ได้ยึดเป็นอาชีพจริงจังดังกล่าว พร้อมกันนั้นอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกได้เผยแพร่เข้ามามากลิเกป่าจึงเสื่อมหายไปในที่สุดจนเกือบจะหาชมไม่ได้อีกเลย
มีผู้กล่าวว่าลิเกป่าได้แบบอย่างมาจากการร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าของแขกเจ้าเซ็นที่เรียกว่า "ดิเกร์” ซึ่งเป็นภาษาเปอร์เซีย เพราะพวกเจ้าเซ็นมีเสียงไพเราะ เป็นที่นิยมฟังกันทั่วไป ต่อมา มีคนไทยหัดร้องเพลงดิเกร์ขึ้น ตอนแรกมีทำนองการใช้ถ้อยคำเหมือนกับเพลงสวด ต่อมาก็กลายเป็นแบบไทยและคำว่าดิเกร์ก็เปลี่ยนมาเป็นลิเกหรือยี่เก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากเครื่องดนตรี รำมะนาที่ลิเกป่าใช้น่าจะได้แบบมาจากมลายู เพราะมลายูมีกลองชนิดหนึ่งเรียกว่า "ระบานา” ซึ่งมีสำเนียงคล้ายกับรำมมะนาของไทย ดังกล่าวแล้ว ลิเกป่าคณะหนึ่งๆ จะมีประมาณ ๒๐-๒๕ คน รวมทั้งลูกคู่ด้วย ตัวละครสำคัญๆ ก็มี แขกแดง ยาหยี เสนาและเจ้าเมือง ส่วนที่เหลือเป็นตัวประกอบการแสดงลิเกป่า ถือเป็นการแสดงที่มุ่งเน้นสร้างความบันเทิง แต่แฝงไปด้วยคติคําสอนทางศาสนาอิสลาม ผู้คนในชุมชนส่วนใหญ่ในอดีต มักนําลิเกป่าเข้ามาเล่นในงานต่าง ๆ เพื่อเป็นสื่อบันเทิงสร้างสีสันและบรรยากาศให้กับผู้ที่มาร่วมงาน นอกเหนือจากความสนุกสนานและคติคําสอนทางศาสนาที่แฝงไว้แล้วนั้น คุณค่าและระบบความเชื่อการเคารพนับถือครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในวิถีปฏิบัติของผู้ที่เป็นศิลปิน ลิเกป่าก็เช่นเดียวกันที่ต้องมีการเคารพนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาครูบาอาจารย์ และนําคุณประโยชน์ที่แฝงอยู่ในศาสตร์ ความเชื่อ มาเป็นเครื่องมือสําคัญในการช่วยเหลือคนในสังคม ซึ่งความเชื่อที่เกี่ยวข้องนั้นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทั้งด้านประกอบพิธีกรรม และการแสดงลิเกป่า จะมีข้อปฏิบัติที่ต้องกระทํา โดยยึดตามแบบแผนเดิมในการการประกอบพิธีไหว้ครูเพื่อระลึกและบูชาครู โดยกระทํา ๓ ปีกครั้ง ถือฤกษ์ยาม ข้างขึ้นเดือน ๔ ซึ่งประกอบพิธีกรรมในตอนกลางคืน ครูบาอาจารย์ลิเกป่าในภาษาของผู้ที่แสดงลิเกป่า จะเรียกว่าสุหมัด ซึ่งในการประกอบพิธีไหว้ครูแต่ละครั้ง ผู้ประกอบพิธีต้องกล่าวถึงครูบาอาจารย์ทั้ง ๑๒ คน ซึ่งถือว่าเป็นครูดั้งเดิม ที่จะต้องเคารพบูชา ก่อนทําการแสดงก็ต้องกล่าวถึงก่อนทุกครั้ง สําหรับการไหว้ครูนั้นจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ประกอบด้วย
๑. ไก่ ซึ่งธรรมเนียมเดิมจะใช้ไก่จํานวน ๖๐ ตัว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อต่าง ๆ เริ่ม ที่คลี่คลายลง ทำให้มีการลดจํานวนไก่เพื่อใช้ในการเซ่นไหว้ก็ลดลงไปด้วย |
๒. ข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวเหลือง |
๓. ข้าวตอก |
๔. ขนม |
๕. เทียน |
๖. หมากพลู (ในกรณีที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาโรคหรือผู้ที่ถูกคุณไสย ซึ่งจํานวนของหมากพลูที่ใช้จะขึ้นกับอาการของผู้ป่วย เช่น ๙ คำ หากอาการไม่มากจะใช้หมากพลูเพียง ๓ คํา) |
ข้อปฏิบัติและระบบความเชื่อ
ข้อปฏิบัติและระบบความเชื่อที่เกี่ยวกับการสืบทอดของลิเกป่านั้น มักมีการสืบเชื้อสายกันภายในสายเลือด มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งผู้ที่จะรับการสืบทอดนั้นต้องมีความ เสียสละเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือผู้ที่เป็นลิเกป่าโดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถด้านการประกอบพิธีกรรม มีคาถาอาคมต่าง ๆ หากผู้นั้นเกิดการเจ็บป่วยแล้วใกล้จะเสียชีวิต จําเป็นต้องหาคนในตระกูลโดยเฉพาะผู้ชายมาเป็นผู้ที่จะสืบทอดวิชาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่ารับครู จึงจะทําให้ผู้นั้นจากไปอย่างสงบ หากไม่สามารถหาผู้ที่จะมาสืบทอดได้ ก็เปรียบเสมือนว่าผู้นั้นจะต้องทนอยู่ในร่างกายที่เจ็บป่วยต่อไปหรืออาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด โดยเชื่อกันว่าถูกกระทําจากสิ่งที่มีอํานาจเหนือธรรมชาติ และไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์มาอธิบายได้ ผู้ที่ถูกกระทํานั้นมักเกิดความผิดปกติ มีการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่สืบเชื้อสายลิเกป่า เช่น อาการชักเป็นอยู่ประจํา รักษาไม่หาย แต่เมื่อคนที่สืบเชื้อสายเดียวกัน มาเป็นผู้สืบทอดอาการต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะหายไปเอง ผู้สืบทอคจึงถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเสียสละ เพราะข้อปฏิบัติและความเชื่อนี้จะถูกถ่ายทอดและปฏิบัติต่อ ๆ กันไปจากรุ่นสู่รุ่นหากไม่ปฏิบัติตามหรือละเลยไม่สนใจ ก็จะเกิดเหตุการณ์ดังที่กล่าวขึ้น นอกจากจะรับการสืบทอดจากเชื้อ สายเดียวกันแล้ว สามารถรับการสืบทอดหรือรับครูจากคนอื่น ๆ ได้อีก ซึ่งอาจเป็นไปในลักษณะครูถ่ายทอดสู่ศิษย์ คณะลิเกป่าจะทำพิธีไหว้ครูซึ่งเป็นครูดั้งเดิมทุกปีในวันพฤหัสบดีของเดือน ๖ ซึ่งถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นมงคลแก่ชีวิตและทำให้เจริญก้าวหน้าในอาชีพ ถ้าไม่กระทำอาจได้รับโทษภัยต่าง ๆ
การแสดงในพิธีกรรม
พิธีกรรมก่อนการแสดงลิเกป่า ก่อนที่จะมีการแสดงลิเกป่าทางคณะนักแสดง นักดนตรี จะมีพิธีกรรมเพื่อขอขมาลาโทษต่อเจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ที่ทำการแสดง พิธีไหว้ครูหมอลิเกป่าทั้งหมด ซึ่งจะมีการสวดบทคาถาถา ขอขมาที่ได้สืบทอดกันมาแต่โบราณ มีลำดับขั้นตอนดังนี้
๑. พิธีเบิกโรง เป็นการกระทำพิธีบวงสรวงเบิกโรงลิเก กาดเจ้าที่และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาครูอาจารย์ของลิเกป่าให้อวยชัยในการแสดงของคณะให้ไปราบรื่นตลอด หัวหน้าคณะทำพิธีเบิกโรง สวดบทคาถาถาของคณะ มี เครื่องบูชา ได้แก่ หมาก ๕ คำ พลู ๕ คำ เทียน ๑ เล่ม ธูป ๕ ดอก และเงิน ๑๒ บาท และเริ่มเล่นเครื่องดนตรีทุกชนิดเป็นการโหมโรงของคณะ |
๒. พิธีไหว้ครู เป็นพิธีการไหว้ครู เชิญครู หรือเพลงวง ก็เรียกเป็นการร้องเพลงวงหมุนเวียนภายในวงและลูกคู่ เพื่อเอ่ยชื่อครูลิเกป้าให้มาประจำโรง เพลงวงนี้จะใช้ทำนองหมุนเวียนเปลี่ยนจนหมดคนในคณะจนจบเพลงแล้ว |
ลักษณะเด่นหรือเอกลักษณ์ของลิเกป่า คือท่วงทำนองการขับร้องซึ่งมีลีลาหลากหลาย แต่ในลีลานั้นก็มีความง่ายเป็นพื้นฐาน ซึ่งข้อนี้นับเป็นลักษณะเด่นของศิลปะของชาวบ้านโดยเฉพาะ และจากการเปลี่ยนท่วงทำนองลีลาไปตามเหตุการณ์ของเรื่องและบทบาทของตัวละครเองที่ทำให้ลิเกป่ามีเสน่ห์ชวนน่าฟัง
สมเกียรติ คำแหง. (2554). การแสดงลิเกป่า. สืบค้น 13 พ.ค. 68, จาก https://link.psu.th/zmSpjj