ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ลายราชวัตรโคม)
 
Back    23/12/2022, 14:19    11,710  

หมวดหมู่

เครื่องแต่งกาย


ประเภท

ผ้า


ประวัติความเป็นมา/แหล่งกำเนิด

     

      จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในแหล่งอารยธรรมที่สำคัญของภูมิภาค เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย รัฐการค้าทางทะเลที่เจริญรุ่งเรืองในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๘ เป็นพื้นที่พหวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม งานประณีตศิลป์อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของชุมซน ซึ่งเกิดจากการสร้างสรรค์ของผู้คน มีการถ่ายทอดสืบเนื่องกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน นั่นก็คือผ้าทอพื้นถิ่น ซึ่งประกอบด้วยผ้ายก ผ้าตา ผ้าริ้ว ผ้าพื้น และผ้าขาวม้า เป็นต้น บริเวณภาคใต้ตอนบนของพระราชอาณาจักรไทยในปัจจุบัน มีอาณาเขตนับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนกระทั่งถึงจังหวัดสงขลา ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวสยามนับถือพระพุทธศาสนา ในอดีตกาลผู้คนในดินแดนแถบนี้มีวัฒนธรรมการนุ่งห่มและแต่งกายเฉกเช่นเดียวกับชาวสยามซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ในงานเขียนของคุณธรรมทาส พนิช เรื่อง "พนม ทวารวดี ศรีวิชัย" ได้กล่าวถึงหลักฐานในเอกสารจีนฉบับหนึ่งบันทึกลึงผ้าทอยกดอกด้วยเส้นเงินเส้นทองของรัฐต้้น-มา-หลิ่ง ซึ่งหมายถึงตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช มีใจความว่า "อากาศในรัฐนี้อบอุ่นสบาย ผู้ชายผู้หญิงล้วนเกล้าผมไว้เป็นปม เครื่องแต่งกายมีเสื้อผ้าขาว และนุ่งผ้าฝ้ายดำ ในพิธีแต่งงานพวกเขาใช้แพรเลี่ยน ผ้ายกดอก ผ้ามีลวดลายเส้นเงินเส้นทอง" (ธรรมทาส พานิช, ๒๕๑๕ : ๒๔๕) นอกจากนี้ในพงศาวดารจีนสมัยเหลียง (พ.ศ. ๑๐๔๕-๑๐๙๙) ยังได้กล่าวถึงการทอผ้าของเมืองหรือชุมชนโบราณแห่งหนึ่ง ชื่อ "คันโทลี" ซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย อาจจะเป็นตำบลคันทุลีในอำเภอท่ชนะ ทางตอนเหนือของอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปัจจุบัน ซึ่งบันทึกเกี่ยวกับประเทศคันโทลีไว้ว่า "ประเทศนี้ทอผ้าเป็นลวดลายและสีต่าง ๆ มีสินค้าผ้าและหมาก สินค้าเหล่านี้ของประเทศนี้ มีคุณภาพดีกว่าของประเทศใด" (ธรรมทาส พานิช, ๒๕๑๕ : ๖๙) จากเอกสารดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าดินแดนในภาคใต้ของประเทศไทยในปัจจุบัน มีพัฒนาการเทคนโลยีการทอผ้าอยู่ในระดับสูง และคงจะมีพัฒนาการสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่มีการบันทึก
เป็นลายลักษณ์อักษร แต่มีหลักฐานด้านวรรณกรรมมุขปาฐะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงกล่อมเด็กพื้นบ้านภาคใต้ที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของวัฒนธรรมด้านงานช่างฝีมือประเภทนี้ตลอดมา มีการนำเรื่องราวการทอผ้า ซึ่งภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "ทอหูก" หรือ "ทอโหก" มาแต่งเป็นบทกลอนสำหรับใช้กล่อมเด็ก เช่น บทเพลงกล่อมเด็กของจังหวัดสงขลา ชี้ให้เห็นว่าสตรีที่ทำงานเก่งต้องทำได้ทุกสิ่งรวมทั้งการทอผ้า  เหมือนกับที่อุบลศรี อรรถพันธุ์ (๒๕๒๙) เขึยนไว้ว่า...

ลูกสาวเหอ ลูกชาวบ้านนอก
นั่งอยู่โรงนอก คือดอกดาวริง
ทอโหกทอฝ้าย ทำได้ทุกสิ่ง
คือดอกดาวริง ทุกสิ่งน้องทำได้

            ส่วนบทเพลงกล่อมเด็กของหมู่ที่ ๒ บ้านหัวเลน ตำบลพุมเรียง อำเภอไขยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แสดงให้เห็นความขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอยในด้านการทอผ้าของสตรีพุมเรียง ซึ่งต้องฝึกฝนเรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก เหมือนกับที่อุบลศรี อรรถพันธุ์ (๒๕๒๙) เขึยนไว้ว่า... คือ...

ทอทุกเหอ ทอฟิมยี่สิบห้า
ก้มแลเนื้อผ้า ลอดหลังนิ้วก้อย
หาไม่แม่เหอ ตัวหนูยังน้อย
ลอดหลังนิ้วก้อย ตัวฉันยังน้อยอยู่เหอ

                ส่วนบทเพลงกล่อมเด็กที่กล่าวถึงผ้าทอพื้นถิ่น ประเภทผ้ายก คือบทเพลงกล่อมเด็กของจังหวัดนครศรีธรรมราช ดังที่ วิมล ดำศรี (๒๕๒๖) เขัียนไว้...

เมืองคอนเหอ มีผ้าลายทองเป็นพับพับ
จัดเป็นสำรับ ประดับทองห่างห่าง
จะนุ่งก็ไม่สม จะห่มก็ไม่ควรเจ้าเอวบาง
ประดับทองห่างห่าง สำหรับขุนนางนุ่ง

           ในช่วงยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ระหว่างพุทธศักราช ๒๓๒๕-๒๔๕๓ มีเอกสารของทางราชการหลายฉบับ มีเนื้อหาสาระเกี่ยวพันกับการสั่งทอผ้าเพื่อนำมาใช้กิจการของราชสำนัก และรายการส่งมอบสิ่งทอของหัวเมืองในภาคใต้ตอนบนให้แก่ราชสำนักนับตั้งแต่เมืองชุมพร ไชยา นครศรีธรรมราช เรื่อยลงไปจนถึงเมืองสงขลา เช่น หนังสือพระยาศรีเสาราชภักดีฯ มีถึงพระยาสงขลา พระยาไซยา และพระยาชุมพร ลงวันที่ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๒๒ ปีวอก โทศก (๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๐๓) บอกกล่าวเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำรัสว่าต้องพระราชประสงค์ผ้ายกตาราชวัต เป็นต้น ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงกล่าวถึงผ้าทอพื้นถิ่นของเมืองไขยา (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดสุราษฎธานี) ในพระนิพนธ์ ชีวิวัฒน์ ซึ่งทรงแต่งทำนองเป็นรายงานการเสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗
               "...คนไทยทำนา ทำสวน ทำปลา ตัดมาดเรือ ตัดไม้ทำกระดาน หาซื้อขายสินค้าของ ทอผ้า เลี้ยงหมูพวกจีนทำสวนทำปลา ตั้งค้าขายรับสินค้าส่งออกภาษี พวกแขกหากินเหมือนไทยยกไว้เสียแต่เลี้ยงหมูสินค้าใหญ่ที่ออกจากเมืองไชยา มาดเรือ กระดาน ไม้เคี่ยม ไต้ หวาย กระแชง ข้าว เขาหนังโคกระบือ สุกร ผ้าพื้น
ในท้องตลาดก็ขายของต่าง ๆ ที่ว่ามาแล้ว ที่เป็นผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าพื้น ผ้าตา ผ้าริ้ว และผ้าขาวม้า สิ่งของเครื่องใช้สอยต่าง ๆ มีบ้าง ร้านชำเป็นของแต่เมืองอื่น ๆ และเมืองต่งประเทศ จำนวนราคาสิ่งของสินค้าออกจากเมืองไชยามาดหมูกุและใหญ่น้อย ปีหนึ่งรวม ๓00 หรือ ๔๐๐ ตั้งแต่ ๗ ศอกถึง ๔ วา ๒ ศอก ราคาตั้งแต่
กึ่งตำลึงไปถึง ๕ ต่ำลึง ด้ายไหมกระแขงเตยปีหนึ่งซื้อออกประมาณ ๒๐๐ หรือ ๓๐๐๐ ตั้งแต่ ๕ วา ราคาประมาณปีละ ๓๐๐ หาบ ราคาหาบละ ๑๑ บาท กระดานไม้เคี่ยม ๒000 หรือ ๓๐๐๐ ตั้งแต่ ๕ วา ราคาแผ่นละ ๕ สลึง ผ้ายก ผ้าไหม ผ้าพื้น ผ้าอาบ ผ้าขาวม้า ประมาณปีละ ๒๐๐ บาท ข้าวราคาเกวียนล่ะ ๕ ตำลึง เขาหนังหาบละ ๓ ตำลึง ราคาสิ่งของที่ขายในตลาด ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้ายกทอง ผ้ายกไหม ผ้าม่วงไม่มี เป็นของทำจำเพาะผู้สั่งผู้ต้องการ และของทำที่บ้านผู้ว่าราชการและผู้ใหญ่ ผ้าด้ายแกมไหมราคาผืนละ ๓ บาท ๒ สลึง ผ้าพื้นราคาอย่างดีผืนละ ๖ สลึง หรือ ๗ สลึง ผ้าพื้นอย่างเลวกุลีละ ๑๘ บาท ๒๐ บาท ๒๔ บาท ผ้าขาวม้าอย่างกว้างกุลีละ ๒๐ บาท ผ้าขาวม้าอย่างแคบกุลีละ ๑0 บาท..." (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดข, ๒๕๗๔ : ๑๔๗-๑๔๘)
        ในพระนิพนธ์ "สาส์นสมเด็จ" หนังสือรวบรวมลายพระหัตถ์ตอบโต้ ซักถาม แสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับความรู้และวิขาการด้านต่าง ๆ ระหว่างนักปราชญ์สำคัญสองพระองค์ของแผ่นดินสยาม คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ลงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๘๓ ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงแสดงแนวพระดำริ เกี่ยวกับความหมายของผ้ายกไว้ว่า "ผ้าไหมอันทอยกลวดลายให้สูงกว่าพื้นผ้า ถ้าลายทอด้วยไหมทองก็เรียกว่ายกทอง ถ้าลายทอด้วยไหมสามัญก็เรียกว่ายกไหม"  ซึ่งแนวพระดำริดังกล่าวนับเป็นการให้ความหมายที่สะท้อนให้ชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงความเข้าใจในรูปลักษณ์ของผ้ายกในหมู่ชนชาวสยามได้เป็นอย่างดี ด้วยหลักสำคัญของการสร้างลวดลายผ้าประเภทนี้ คือการทอเสริมเส้นด้ายพุ่งพิเศษ ทั้งแบบเสริมยาวต่อเนื่องตลอดหน้าผ้า และแบบเสริมเป็นช่วง ๆ โดยใช้วิธีเก็บตะกอลอยเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยจัดกลุ่มเส้นด้ายยืน ให้เปิดอ้าหรือยกและข่มเป็นจังหวะ เพื่อทอสอดเสริมเส้นด้ายพุ่งพิเศษตามลวดลายที่ต้องการ ก่อเกิดเป็นผืนผ้าที่มีลวดลายยกนูนสูงกว่าพื้นผ้า ส่วนวิธีการทอแบบอื่นที่นำมาใช้ผสมผสานกัน เช่น ทอเสริมเส้นยืนพิเศษ มัดย้อมเส้นพุ่งและเส้นยืนก่อนการทอ และทอแบบเส้นพุ่งไม่ต่อเนื่อง เพียงแต่นำมาตบแต่งลวดลายในส่วนประกอบปลีกย่อยเท่านั้น
            ผ้ายกนับเป็นสิ่งทอชนิดหนึ่งซึ่งราชสำนักสยามและผู้คนในสังคมสยามได้ตระหนักถึงคุณค่า ความงาม และคุณสมบัติเฉพาะตัว พร้อมกับคิดใคร่ครวญแล้วว่าเป็นสิ่งทอชนิดพิเศษที่สามารถตอบสนองแนวความคิดและปรัชญาในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งในแง่ของความต้องการส่งเสริมสถานภาพอันสูงส่งของสถาบันกษัตริย์ และการสร้างภาพลักษณ์ของสวรรค์ขนพื้นพิภพ ให้เป็นไปตามคติความเชื่อที่ว่าพระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนสมมุติเทพ หรือองค์อวตารของมหาเทพเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อปกครองแผ่นดินบำบัดทุกข์บำรุงสุขอาณาประชาราษฎร์ การสั่งทอหรือเกณฑ์ทอผ้ายกจากหัวเมืองในบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ตอนบน รวมทั้งเมืองไซยา เพื่อนำมาใช้ในกิจการของราชสำนักสยาม และการซื้อหาผ้ายกมาไว้ในครอบครองในหมู่ชนชั้นสูงในสังคมไทยเมื่อครั้งอดีตนั้น ล้วนแต่เพื่อตอบสนองรูปแบบวัฒนธรรมการแต่งกายแบบสังคมเมืองหลวง ซึ่งได้สืบทอดปรัชญาแนวความคิดและประเพณีนิยมที่มีจุดกำเนิดมาจากสังคมยุคกรุงศรีอยุธยาแทบทั้งสิ้น สาเหตุที่ทำให้การทอผ้าโดยเฉพาะผ้ายกในบริเวณเมืองไซยา มีชื่อเสียงปรากฎโด่งดังขึ้นในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ศึกษาสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากได้รับการปรับปรุงและทำนุบำรุงส่งเสริมจากชนชั้นผู้ปกครอง เนื่องมาจากเป็นระยะเวลาที่มีปัจจัยและความพร้อมในหลายด้าน ประกอบด้วย

๑. บุคคลากรหรือช่างทอ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) จนระทั่งล่วงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) สยามได้ทำศึกสงครามเพื่อปราบปรามหัวเมืองประเทศราชมลายูบ่อยครั้ง ในแต่ละคราวก็ได้กวาดต้อนอพยพโยกย้ายประชากรจากหัวเมืองเหล่านั้น ให้ไปตั้งถิ่นฐานในที่แห่งใหม่ เช่น ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หลังจากปราบปรามหัวเมืองมลายูแล้วสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาถ  จึงดำรัสให้กวาดครอบครัวแขกเขลยที่ตีทัพจับได้ บรรทุกลงเรือรบกับทั้งทรัพย์สินสิ่งของเงินทองและเครื่องศัตรวุธต่าง ๆ ซึ่งได้ในการสงคราม และให้แบ่งครอบครัวแขกไว้สำหรับบ้านเมืองทุกเมือง และในปีพุทธศักราช ๒๓๖๔ เจ้าพระยานคร (น้อย) ขณะเป็นพระยาศรีธรรมโศกราช ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ได้รับท้องตราจากพระนครให้นำทัพไปตีเมืองไทรบุรี เนื่องจากเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแรงัน) เป็นไส้ศึกให้พม่า พระยานครฯ จึงยกกองทัพบก ทัพเรือ พร้อมด้วยกองทัพเมืองพัทลุง เมืองสงขลา ยกทางบกลงไปตีเมืองไทรบุรีพร้อมกันได้สู้รบกันเล็กน้อย กองทัพพระยานครฯ ตีเมืองไทรบุรีได้ ณ เดือน ๓ แรม ๘ ค่ำ ปีมะเส็ง ตรีศก จุลศักราช ๑๑๘๓ ต่อมาเจ้าพระยาไทรบุรี (ปะแงรัน) หนีไปอาศัยอังกฤษอยู่ที่เกาะหมาก พระยานครให้กองทัพเรือไปตีกาะลังกาวี ซึ่งเป็นเกาะใหญ่แขวงเมืองไทรบุรีด้วยอีกแห่ง  เมื่อเสร็จศึกก็ได้กวาดครอบครัวแขกเมืองไทรบุรี เข้ามากรุงเทพฯ บ้าง เอาไว้มืองนครบ้าง และในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนั้น (ราวตันพุทธศตวรรษที่ ๒๔) ในราชสำนักของหัวเมืองมลายูทางตอนเหนือ คือไทรบุริ กสันตัน และตรังกานู ซึ่งมิฐานะเป็นหัวเมืองประเทศราชของพระราชอาณาจักรสยาม มีความเป็นอยู่อย่างหรูหรา เจ้าผู้ครองนครทรงอุปถัมภ์และทำนุบำรุงศิลปะแขนงต่าง ๆ อาทิ งานช่างโลหะ งานช่างแกะสลัก และการทอผ้า เป็นต้น ดังนั้นในการกวาดครัวแขกมลายูแต่ละคราว จึงมีช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ รวมทั้งช่างทอผ้าปะปนมาด้วย เมื่อช่างทอผ้าชาวมลายูซึ่งมีฝีมือในการทอผ้ายกได้เข้ามาอาศัย ณ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา และหัวเมืองอื่นในภาคใต้ตอนบน ช่างทอเหล่านั้นจึงได้รับหมอบหมายจากทางราชการให้เป็นผู้พอผ้ายกเพื่อใช้ในราชการ ตามความถนัดอันติดตัวมาแต่เดิมภายใต้การควบคุมของสยาม โดยมิต้องเสียเวลาในการเรียนรู้หรือฝึกสอนขึ้นใหม่ เมื่อสมทบเข้ากับช่างทอที่มีอยู่เดิม จึงส่งผลให้การทอผ้ายกในบริเวณภาคใต้ตอนบนในระยะเวลาดังกล่าวเฟื่องฟูอย่างมาก 
๒. เทศโนโลยีการทอ เมื่อทางราชการได้มอบหมายหน้าที่ให้ช่างทอผ้ายกชาวมลายู เข้ามาปฏิบัติงานสมทบกับช่างทอผ้าชาวสยาม จึงเกิดการศึกษาเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการทอผ้ายกให้แก่กัน ช่างทอชาวสยามได้เรียนรู้ทคนโลยีหลายประการจากช่างทอชาวมลายู ส่งผลให้เทคโนโลยีการทอผ้ายกในบริเวณภาคใต้ตอนบน มีลักษณะที่ใกล้เคียงและแสดงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กันหลายประการกับกระบวนการทอผ้ายกในวัฒนธรรมมลายู ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความสลับซับซ้อนและเอื้ออำนวยให้ทอผ้ายกได้วิจิตรพิสดารกว่าแต่ก่อน เช่น
๒.๑ ใช้วิธีการเก็บตะกอที่เรียกว่า "ตะกอลาย" เพื่อจัดแบ่งเส้นยืนให้ยกหรือข่มตามจังหวะลาย ในขณะที่บางกลุ่มชน เช่น ไทยวน และไทพวน ยังคงใช้วิธีการจัดแบ่งเส้นยืนให้ยกหรือข่มตามจังหวะลายด้วยอุปกรณ์ชนิดอื่น เช่น ขนเม่น หรือไม้ปลายแหลม เป็นตัน
๒.๒) มีลักษณะโครงสร้างและองค์ประกอบของหูกหรือกี่ทอผ้าที่เอื้ออำนวยต่อการหอผ้ายกด้วยวิธีการ "เก็บตะกอลาย" ด้วย "ตะกอลอย"

           ลักษณะพิเศษหรือเอกลักษณ์ของผ้ายกพุมเรียง ประกอบด้วย
               ก. วัตถุดิบ
                    วัตถุดิบที่จำเป็นในการทอผ้ายก มีดังนี้

๑. เส้นไหมธรรมชาติ ในอดีตมักใช้ส้นไหมที่ผลิตเองภายในพระราชอาณาจักร แต่เนื่องจากภูมิอากาศของภาคใต้ไม่เหมาะสำหรับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เส้นไหมดิบส่วนใหญ่จึงเป็นไหมที่ผลิตจากภาจอีสาน ทั้งเส้นไหมจากภาคอีสานตอนบนซึ่งเรียกกันว่า "ไหมลาว" และเส้นไหมจากภาคอีสานตอนล่างซึ่งเรียกว่า "ไหมขอม" หรือ "ไหมเขมร" สำหรับไหมจากต่างประเทศซึ่งมีขนาดเล็กกว่า เช่น ไหมจีน แม้จะนำมาใช้ปนกันไปบ้างแต่ก็อยู่ในปริมาณที่ไม่มากนักเนื่องจากไหมจีนมีราศาสูงกว่า
๒. เส้นไหมทองหรือไหมเงิน ใช้เป็นเส้นพุ่งพิเศษเพื่อให้เกิดลวดลายยกสูงขึ้นกว่าพื้นผ้า ในการทอผ้ายกทองหรือผ้ายกเงิน เกิดจากการนำเส้นทองคำ เส้นเงิน หรือเส้นโลหะอย่างอื่น มาดึงให้ได้เส้นเล็กบางแล้วนำไปปั่นหรือพันกับเส้นด้าย โดยใช้เส้นด้ายเป็นแกน แบ่งเป็นประเภทตามวัสดุที่ใช้ดังนี้
๒.๑ ทำจากเส้นทองคำหรือเส้นเงินแท้ เรียกว่า "ไหมทอง" หรือ "ไหมเงิน" ตามแต่วัสดุ จัดเป็นของอย่างดีมีราคาสูง ส่วนใหญ่สั่งนำเข้าจากจีน และอินเดีย มีผลิตขึ้นเองภายในพระราชอาณาจักรแต่เพียงส่วนน้อย
๒.๒ ทำจากโลหะอย่างอื่น เช่น ทองแดง นำมากะหล่ทองเรียกว่า "ไหมทอง" หรือนำมากะไหล่เงินเรียกว่า "ไหมเงิน" จัดเป็นของชนิดรอง ส่วนใหญ่สั่งนำเข้าจากจีน และอินเดีย มีผลิตขึ้นเองภายในพระราชอาณาจักรแต่เพียงส่วนน้อย
๒.๓ ทำจากกระดาษสีทอง ซึ่งเกิดจากการปิดแผ่นทองคำเปลวลงบนกระดาษ และทำจากกระดาษสีเงินซึ่งเกิดจากการปิดแผ่นเงินเปลวลงบนกระดาษ ตัดเป็นเส้นขนาดเล็ก นำไปปั่นหรือพันกับเส้นด้าย โดยใช้เส้นด้ายเป็นแกนเรียกว่า "โหมด" ถ้าสั่งนำเข้าจากอินเดียเรียกว่า "โหมดเทศ" สั่งนำเข้าจากเมืองกวางตุ้งประเทศจีนเรียกว่า "โหมดกวางตุ้ง" และถ้าสั่งนำเข้าจากประเทศรัสเซียเรียกว่า "โหมดรัสเชีย" เป็นต้น

          ค่าใช้จ่ายในการทอและวัตถุดิบที่จำเป็น เช่น เส้นไหมดิบ และเส้นไหมทอง สำหรับการทอผ้ายกตามคำสั่งของราชสำนัก ซึ่งทางราชสำนักเป็นผู้รับผิดชอบ มีทั้งกรณีที่ทางราชการจัดหาวัตถุดิบส่งมอบไปให้ และกรณีที่ให้เมืองนั้น ๆ จัดหาวัตถุดิบเอาเองโดยคิดเงินค่าใช้จ่ายจัดซื้อจากทางราชสำนัก มีเอกสารหลายฉบับที่กล่าวถึง
เรื่องนี้ สามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงและยืนยันได้ เช่น หนังสือพระยาศรีสรราชภักดีมาถึงปลัดเมืองนครศรีธรรมราช ลงวันที่ตรงกับวันพฤหัสบดีขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ จุลศักราช ๑๒๒๐ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก (๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๐๓) มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า... ด้วยฯพณฯที่สมุหพระกระลาโหม มีพระประสาษสั่งว่า พระวิชิตรยะไต ให้นายหนูมหาดเล็ก บุตรฯพณฯผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช หลวงภักดีโยธากรมการ คุมผ้ายกทองครั้งโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ไหมทองออกไปทอได้ผ้ายกทองครั้งนี้ ผ้ายกทองพื้นแดง ๒ ผืน ผ้ายกทองพื้นม่วงผืน ๑ ผ้ายกทองพื้นน้ำเงินผืน ๑ ผ้ายกทองพื้นตองผืน ๑ รวม ๕ ผืน....ได้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบไต้ฝ้าลอองแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานข้างในตรวจรับไว้... และหนังสือพระยาศรีเสาราชภักดีฯ มีถึงพระยาสงขลา พระยาไชยา และพระยาชุมพร ลงวันที่ตรงกับ
วันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๗ จุลศักราช ๑๒๒๒ ปีวอก โทศก (๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๐๓) มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า...มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ดำรัสว่าจะต้องพระราชประสงผ้าตาราชวัฒสำรับพระราชทาน พระบรมวงษษานุวงษ เจ้าตั้งกรมแล้วยังไม่ได้ตั้งกรม ข้างหน้าข้างในผ้านุ่ง ๕0 ผืน ผ้าห่ม ๑๐0 ผืน จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดไหมขอมส่งออกมาเกนธอ... และสารตราท่านเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา มาถึงพระปลัด พระยกระบัด พระเสนหามนตรี ผู้ช่วยราชการกรมการ ผู้อยู่รักษาเมืองนครศรีธรรมราช ลงวันที่ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๕ จุลศักราช ๑๒๓๔ ปีระกา จัตวาศก (๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๑๕) มีเนื้อความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า....ด้วยมีพระราชโองการดำรัสเหนือเกล้าสั่งว่าต้องพระราชประสงค์ ผ้ายกทองนุ่งดวงเกล็ดพิมเสนฝีมือช่างเมืองนคร สำหรับพระราชทานพระบรมวงษานุวงษฝ่ายหน้า ฝ่ายในศรีต่างกัน ๒๔ ผืน ให้พระปลัด ยกระบัด พระเสนหามนตรี จัดซื้อไหมทองอย่างดี ให้ช่างย้อมศรีทำให้พินิศบันจงดี เงินค่าไหมทองคำจ้างทอนั้นให้หักเอาเงินอากรสุรา...
          ลักษณะของลวดลาย
          จากการศึกษาค้นว้าของผู้รู้เกี่ยวกับผ้า พบว่าผ้ายกที่ผลิตโดยหัวเมืองภาคใต้ตอนบน เพื่อนำมาใช้ในกิจการของราชสำนักสยามในสมัยนั้น มีรายละเอียดปลีกย่อยพอจะจำแนกออกเป็นกลุ่ม ได้ดังนี้

๑. ผ้ายกที่ทอสร้างลวดลายอย่างอิสระ ช่างทอสามารถสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยการเสริมเส้นพิเศษได้อย่างอิสระ ไม่มีข้อจำกัดอันใดให้ต้องคำนึงถึงอีก ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่สร้างลวดลายด้วยการเสริมเส้นพุ่งพิเศษ ทั้งชนิดที่เสริมเข้าไปเป็นช่วงเป็นจังหวะ และชนิดที่เสริมเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปยาวต่อเนื่องกัน ลอดหน้าผ้า มีเพียงส่วนน้อยที่เสริมเส้นพิเศษเพื่อสร้างลวดลายทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง
๒. ผ้ายกที่ทอสร้างลวดลายด้วยการใช้รูปสี่เหลี่ยมขนาดเล็กประกอบกัน ผ้ายกชนิดนี้มีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ผ้ายกเจ็ดสี" เนื่องจากกรรมวิธีหลักในการสร้างลวดลายเกิดจากการทอเสริมเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเป็นจังหวะและเป็นระยะ ทำให้ช่างทอสามารถลือกทอสอดเส้นไหมเข้าไปได้หลากสีสันตามต้องการ
๓. ผ้ายกที่ทอสร้างสวดลายทับลงไปบนพื้นผ้าลายตาราง เป็นการทอเสริมเส้นพุ่งพิเศษเข้าไปเพื่อสร้างลวดลายให้มีความสัมพันธ์กับพื้นผ้าลายตาราง ก่อให้เกิดเป็นผ้ายกที่มีลวดลายโดยรวมคล้ายกับตารางสี่เหลี่ยมแนวตะแคง ในทำนองเดียวกับรั้วราชวัตรกั้นขอบเขตมณฑลพิธีจึงมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ผ้ายกตาราชวัตร"


ผ้ายกไหมตาราชวัตรโคมหรือราชวัตรดอกใหญ่ เชิงทองของโบราณอายุประมาณ ๑๒๐ ปี
ภาพจาก : https://drive.google.com/file/d/1CBKL2hbOpsg8Voi8RXeye5aYcaVZDi69/view


ผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือลายราชวัตรดอกใหญ่ ตามแบบอย่างที่สืบทอดมาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ภาพจาก : https://drive.google.com/file/d/1CBKL2hbOpsg8Voi8RXeye5aYcaVZDi69/view

 

 


ภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้อง

          ผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือผ้ายกลายราชวัตรตอกใหญ่ เป็นที่นิยมแพร่หลายและเป็นทักษะความชำนาญของช่างทอ ในพื้นที่สุราษฎร์ธานีสืบเนื่องมานานนับร้อยปี ดังปรากฎหลักฐานว่า เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๐๓ มีหนังสือจากราชสำนักแจ้งมายังพระยาไชยาว่า...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องพระราชประสงค์ผ้าราชวัตร สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งข้างหน้าข้างใน จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานไหมและค่าแรงให้พระยาไขยาจัดการให้ช่างทอเมืองไขยา (ปัจจุบันคือ อำเภอไขยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทอเข้าไปทูลเกล้าฯ ถวาย ณ กรุงเทพมหานคร... ผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือผ้ายกลายราชวัตรดอกใหญ่ มีลักษณะโครงสร้างรวมอยู่ในรูปตารางสี่เหลี่ยมแนวตะแคงทำนองเดียวกับรั้วราชวัตรสำหรับกำหนดขอบเขตมณฑลพิธี จึงสื่อถึงความหมายมงคลเปรียบประดุจรั้วราชวัตร นำมาซึ่งคุณงามความดี สิริมงคล และช่วยปกปักรักษาผู้สวมใส่


จุดเด่น/เอกลักษณ์

         


กรรมวิธี/ขั้นตอนการผลิต

          การทอผ้ายกลายราชวัตรโคม
      การทอผ้ายกลายราชวัตรโคมหรือลายราชวัตรดอกใหญ่ ตามแบบอย่างที่สืบทอดมาในจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น ทอด้วยเนื้อผ้า ๒ ตะกอ หรือผ้าลายขัด มีตะกอลายจำนวน ๕ ตับ โดยการจัดเตรียมเส้นยืนสีอ่อนสลับกับสีเข้ม เช่น ดำ-ขาว เขียว-เหลือง ชมพู-ม่วง เป็นต้น ในอัตราส่วน ๖ : ๒ เส้น ตัวอย่างเช่น หากต้องการทอผ้ายกไหมตาราชวัตรโคมให้ได้สีม่วงแกมชมพู ให้ใช้เส้นไหมยืนสีม่วง ๖ เส้น สลับกับเส้นไหมยืนสีชมพู ๒ เส้น ใช้เส้นไหมสำหรับเป็นเส้นพุ่งส่วนเนื้อผ้าสีม่วงและสีชมพูหรือแดงอ่อน เส้นไหมส่วนที่เป็นลายยกหรือเส้นพุ่งพิเศษให้ใช้สีชมพู โดยมีขั้นตอนการทอเริ่มจากทอตะกอตับที่ ๑ ดังนี้

๑. ทอเนื้อผ้าด้วยเส้นไหมพุ่งสีม่วง ๑ เส้น
๒. ทอเส้นพุ่งพิเศษหรือลายยกสีชมพู ๑ เส้น
๓. ทอเนื้อผ้าด้วยเส้นไหมพุ่งสีม่วง ๑ เส้น
๔. ทอเส้นพุงพิเศษหรือลายยกสีชมพู ๑ เส้น
๕. ทอเนื้อผ้าด้วยเส้นไหมพุ่งสีม่วง ๑ เส้น
๖. ทอเนื้อผ้าด้วยเส้นไหมพุ่งสีชมพูหรือแดงอ่อน ๒ เส้น

            โดยการทำซ้ำตั้งแต่ ๑-๖  อีกครั้ง จึงเปลี่ยนไปทอตะกอตับที่ ๒ โดยทำแบบเดียวกับทอตะกอตับที่ ๑ ทอไปจนครบ ๕ ตับ จึงทวนกลับโดยการทอตะกอตับที่ ๔ ไปหาตะกอตับที่ ๑ จึงจะได้ลายราชวัตรครบเต็มโคม ๑ โคม ทำดังนี้ไปจนกระทั่งได้ผ้าที่มีความยาวตามต้องการ
 


ผังลายผ้ายกลายราชวัตรโคม หรือลายราชวัตรดอกใหญ่ ตามแบบอย่างที่สืบทอดมาในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ภาพจาก : https://drive.google.com/file/d/1CBKL2hbOpsg8Voi8RXeye5aYcaVZDi69/view


โครงสร้างลายผ้าในรูปแบบราชวัตรหรือตารางสี่เหลี่ยมแนวตะแคง
ภาพจาก : https://drive.google.com/file/d/1CBKL2hbOpsg8Voi8RXeye5aYcaVZDi69/view


 


เทคนิคการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์

          ลายราชวัตรโคมเป็นการสร้างสรรค์ลวดลายผ่านคติจักรวาลวิทยา ซึ่งสื่อความหมายถึงสัญลักษณ์แสดงรั้วรอบขอบเขตปริมณฑลเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นมโนทัศน์เกี่ยวกับเอกภพของมนุษย์และเป็นเรื่องของวัตถุกับจิตวิญญาณที่มีความสัมพันธ์กันโดยมีจินตภาพสมมติเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลางของโลก มียอดเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีพระอินทร์เป็นอธิบดีปกครองเทวดาทั้งหลายสวัสดิมงคลในลวดลายราชวัตรโคม ประดิษฐการจากกลุ่มคนในสังคมมีอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไปตามสภาพวิถีชีวิต ความเชื่อ และบริบทในสังคม ซึ่งมีการสรรสร้างสืบทอดวัฒนธรรมของตนเองมาตั้งแต่อดีตผ่านแง่มุมต่าง ๆ ทางวัฒนธรรมซึ่งล้วนแต่มีคุณค่า การทอผ้าในพื้นถิ่นเมืองไขยาตั้งแต่อดีต เป็นงานหัตถศิลปัที่มีลักษณะเฉพาะตัวโดดเด่น มีการสร้างสรรค์ลวดลายคิดค้นจากคติความเชื่อและภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นศิลปะการออกแบบเชิงวัฒนธรรมด้านสิ่งทอของช่างทอที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน เป็นเครื่องสะท้อนวัฒนธรรมอันดีงามได้เป็นอย่างดี ลายราชวัตรโคมหรือลายราชวัตรดอกใหญ่ หรือตาราชวัตร เป็นลวดลายผ้ายกพุมเรียงเมืองไชยาที่มีมาแต่เดิม ปรากฎชื่อเรียกว่า "ราชวัต" "ราชวัฒ" หรือ "ราชวัตร" ก็มี เพราะในสมัยก่อนมีการสะกดตัวอักษรตามลักษณะสัทอักษรเป็นสัญกรณ์แทนเสียงการพูดจึงพบการเขียนที่แตกต่างกัน ซึ่งลายราชวัตรโคมนี้เป็นลวดลายที่ช่างทอผ้าประดิษฐการขึ้นตามรูปทรงเรขาคณิต มีลักษณะเป็นรูปทรงตารางสี่เหลี่ยมและใช้การย่อมุมประกอบ โดยเป็นการสร้างลวดลายให้มีความสัมพันธ์กันกับพื้นผ้าลายตาราง ทำให้มีบริบทของลวดลายคล้ายรูปตารางสี่เหลี่ยม อีกนัยหนึ่งคือเกิดจินตภาพประดุจเป็นรั้วราชวัตร อันเป็นแนวขอบเขตปริมณฑลของเขาพระสุเมรุ ซึ่งหากเขียนตามศัพท์โดยแปลความหมายจะใช้คำว่าราชวัติ แต่เนื่องด้วยเป็นการเรียกชื่อตามพื้นถิ่นของชาวบ้านที่เป็นช่างทอ จึงเรียกและเขียนตามความเข้าใจว่าราชวัตรในที่นี้มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าราชวัติ


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ลายราชวัตรโคม)
ที่อยู่
จังหวัด
สุราษฎร์ธานี


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

ลายผ้าเอกลักษณ์ประจำจังหวัด ๗๖ จังหวัด. (2565, 15 ธันวาคม). ลายผ้าเอกสักษณ์ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผ้ายกลายราชวัตรโคม.
              https://drive.google.com/file/d/1CBKL2hbOpsg8Voi8RXeye5aYcaVZDi69/view


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024