วังสายบุรี
 
Back    16/05/2025, 15:20    8  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ภาพจาก : https://link.psu.th/kuxxSm

              วังสายบุรีนั้นแต่เดิมมีอยู่ ๒  วัง คือวังเก่าและวังใหม่ สำหรับวังเก่าตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำสายบุรีทางไปอำเภอยี่งอ ใกล้กับอำเภอไม้แก่น จังหวัดปัตตานี กำแพงวังก่ออิฐถือปูน ลักษณะรูปทรงของวังเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว ยกใต้ถุนสูง มีเสาทรงกลมทำจากไม้ทั้งต้นฝาผนังประกอบเข้าด้วยกัน แบบขัดแตะหลังคาทรงปั้นหยาหรือทรงลีมะ แบบเรือนไทยมุสลิมทั่วไป มุงด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ ต่อมาแม่น้ำสายบุรีมีความตื้นเขิน ลำน้ำน้ำแห้งในฤดูแล้วเรือสินค้าไม่สามารถเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองสายบุรีได้สะดวก พระยาสายบุรี (หนิแปะ) จึงได้ย้ายเมืองมาตั้งที่บริเวณเขาซาลินงบายู (ตำบลตะลุบันในปัจจุบัน) บริเวณเขตเทศบาลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี วังเก่าจึงถูกทิ้งร้างไป ภายหลังลำน้ำสายบุรีได้กัดเซาะตลิ่งทำให้หน้าดินพังทลายลงซึ่งเป็นผลทำให้วังเก่าพังทลายไปด้วย สำหรับวังใหม่หรือวังสายบุรีในปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๓๔ ถนนกลาพอ ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี วังสายบุรีเมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๘ สร้างโดยสถาปนิกชาวชวาและช่างท้องถิ่น ใช้เวลาในการสร้างประมาณ ๑ ปี การเดินทางไปวังสายบุรีให้ใช้เส้นทางปัตตานี-นราธิวาส (สายผ่านเข้าตัวอำเภอสายบุรี) ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำสายบุรี ไปจนถึงบริเวณสามแยกที่ว่าการอำเภอสายบุรี ตัวของวังนั้นหันหน้าไปทางทิศตะวันตกซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวังพิพิธภักดี ทิศเหนือจดกำแพงวังด้านหน้า ทิศใต้จดอาณาเขตบ้านเรือนของประชาชนทิศตะวันออกจดกำแพงวังด้านหลัง ตัววังมีพื้นที่ ๑๐ ไร่ ถ้าเดินผ่านรั้วประตูวังจะพบตัววังทางด้านข้าง เดินเลี้ยวซ้ายมาจึงจะเห็นตัววังด้านหน้า สำหรับการสืบเชื้อสายภายในวังสายบุรี เริ่มจากพระยาอภัยสงคราม และพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) ได้แบ่งเขตแดนเมืองสายบุรีเสร็จ จึงให้หนิดะเป็นผู้รักษาราชการเมืองสายบุรี ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้หนิดะเป็นพระยาสายบุรี โดยตั้งวังอยู่ที่ตำบลบ้านยิ่งอ ริมแดนต่อพรมแดนเมืองระแงะ ครั้นถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาสายบุรี (หนิดะ) ถึงแก่กรรมลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราให้หนิละไมบุตรของพระยาสายบุรี (หนิดะ) เป็นพระยาสาสายบุรีแทน และยังคงว่าราชการอยู่ที่วังของบิดา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลยิ่งอ จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยาสายบุรี (หนิละไม) ถึงแก่กรรมลง ได้โปรดเกล้าฯ ให้หนิแปะบุตรพระยาสายบุรี (หนิละไม) เป็นพระยาสุริยสุนทรบวรภักดี ศรีมหาราชา มัตตาอับดุลวิบูลย์ขอบเขตประเทศมลายู ผู้ว่าราชการเมืองสายบุรี ให้หนีปีน้องพระยาสายบุรี (หนิแปะ) เป็นพระรัตนมนตรี ผู้ช่วยราชการ และให้หนิอีดำน้องจากพระรัตนมนตรี (หนิปี) เป็นพระวิเศษวังศา ผู้ช่วยราชการเมือง ต่อมาเมื่อพระยาสายบุรี (หนิแปะ) ได้ย้ายวังมาอยู่ที่ตำบลบ้านชาลินงบายู ริมลำน้ำน้ำซึ่งลงมาจากอ่าวลุทรายเหมืองทอง แขวงเมืองระแงะฟากตะวันออก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงจัดการปฏิรูปการปกครองในบริเวณ ๗ หัวเมืองปัตตานี เจ้าเมืองสายบุรีเป็นเจ้าเมืองหนึ่งที่ขัดพระราชโองการไม่ยอมลงนามรับทราบคำสั่งของรัฐบาล เพราะเห็นว่าแบบแผนการปกครองใหม่นี้มีข้าหลวงใหญ่ ทำหน้าที่ประสานการบริหารการปกครองระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานในระดับเมือง เจ้าเมืองไม่มีอิสรภาพในการบริหารการปกครอง เพราะการบริหารงานด้านต่างประเทศต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาลกลาง การจัดเก็บภาษีอากรเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ทำให้เจ้าเมืองสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยได้รับ ทำให้ท่านถูกจับกุมไปคุมขังอยู่ที่เมืองสงขลา ต่อมาในที่สุดพระยาสายบุรีจึงเปลี่ยนใจมาปฏิบัติตามข้อบังคับของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลส่งพระยาศักดิ์เสนีลงมาเป็นข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑตปัตตานี ได้เกิดความขัดแย้งในการปฏิบัติราชการขึ้น เช่นในกรณี ที่พระยาสายบุรีสั่งฆ่าคน แต่ข้าหลวงคัดค้านไม่ยอมให้ฆ่า พระยาสายบุรีโกรธมาก พยายามหาเหตุฟ้องร้องต่อเมืองหลวงเสมอ ๆ ทางรัฐบาลกลางจึงต้องคัดเลือกข้าหลวงที่มีคุณธรรมสูงมาปฏิบัติราชการในมณฑลปัตตานีเพื่อประนีประนอมกับเจ้าเมืองสายบุรี โดยเจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมาได้พิจารณาเห็นแล้วว่าการปฏิรูปการปกครองในบริเวณ ๗ หัวเมือง ไม่ประสบความสำเร็จตามที่รัฐบาลต้องการ เพราะเหตุผลหลาย ๆ ประการ เช่น รัฐบาลกลางขาดความจริงใจและความไว้วางใจในตัวเจ้าเมืองเดิม ดังปรากฏในหลักฐานว่า
           ...ตามความเป็นจริงในทางปฏิบัติฝ่ายรัฐบาลก็ไม่ได้แสงว่าไว้วางใจพระยาสายบุรี เพราะเวลาใดมีราชการลับ ปลัดเมือง และข้าหลางใหญ่ก็จะติดต่อกันโดยไม่ผ่านพระยาสายบุรี ซึ่งเป็นการขัดกับกฎข้อบังคับ พระยาสุขุมนัยวินิต เชื่อว่าพระยาสายบุรีก็ทราบเรื่องนี้ดี และคงจะคิดหาโอกาสอยู่เช่นกัน ที่ทำเฉยเสียนั้น คงจะอยู่ในความอดทน หวานอมขมกลืนเท่านั้น... อย่างไรก็ตามปัญหาของ
เมืองสายบุรีนั้นยังเรื่องยุ่งยากให้คอยตามแก้ไขเรื่อยมา จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐบาลจึงได้ประกาศยุบเมืองสายบุรี ลงเป็นอำเภอตะลุบันขึ้นกับจังหวัดปัตตานี และแบ่งพื้นที่บางส่วนไปขึ้นกับจังหวัดนราธิวาส จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสายบุรีมาจนถึงปัจจุบัน

       
การจัดพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของวังสายบุรี
               การจัดพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยในวังสายบุรี แบ่งเป็น ๒ ยุค คือ

๑. ยุคแรก
     - ชั้นล่าง แบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง โดยส่วนหน้าก่อนถึงตัวอาคารเป็นลานดินโล่ง มีบันไดก่ออิฐปูนขึ้นไปบนตัวอาคาร ภายในอาคารมีการจัดแบ่งพื้นที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ว่าราชการของเจ้าเมืองและที่รับแขก เจ้าเมืองสายบุรีมักนั่งอยู่ตรงกลางของห้องโถง ส่วนปีกขวาและปีกซ้ายมีระเบียงเป็นที่โล่งสำหรับราษฎรที่มายื่นฎีการ้องทุกข์ต่อเจ้าเมือง สำหรับส่วนหลังพอเดินผ่านประตูหลังของห้องโถง ซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลัง จะพบระเบียงไม้มีลวดลายไม้ฉลุแบ่งออกเป็น ๒ ด้าน ด้านซ้ายเป็นที่ประกอบอาหาร มีบ่อน้ำอยู่ห่างจากพื้นวังประมาณ ๘๐ เชนติเมตร บ่อน้ำสูงจากพื้นดิน ๗๐ เซนติเมตร ขอบบ่อกว้าง ๒๐ เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๙๐ เซนติเมตร บ่อน้ำด้านหลังนี้ใช้วิธีการเรียงอิฐเช่นเดียวกับด้านหน้าคือใช้วิธีสับหว่างกัน ด้านขวาเป็นลานโล่งใช้เป็นที่พักผ่อน และรับประทานอาหารสุดตัวอาคารปีกขวาจะพบบันไดทางขึ้นชั้นบน เดินผ่านด้านหลังตัววังออกไปประมาณ ๒๐ เมตร จะพบกำแพงวังด้านหลัง เดินต่อมาอีกประมาณ ๕ เมตร จะพบกับสระน้ำ ซึ่งใช้เป็นที่อาบน้ำของบุตรธิดาของเจ้าเมืองสายบุรี  ปัจจุบันหญ้าขึ้นรก น้ำในสระตื้นเขินและมีสีขุ่น
   - ชั้นบน เดินขึ้นบันได้ไปจะพบห้องนอนเจ้าเมืองสายบุรี ซึี่งอยู่ทางด้านซ้าย เมืื่อเดินถัดไปจะพบห้องนอนบุตรธิดา ห้องนอนทั้ง ๒ นี้ หันหน้าไปทางระเบียง
 ๒. ยุคปัจจุบัน
    - ชั้นล่าง ยังคงแบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลังส่วนหน้า เมื่อก้าวขึ้นบันไดไปเดินผ่านหน้าต่างของห้องโถง จะพบห้องโถงอยู่ตรงกลาง ซึ่งปัจจุบันได้แปรสภาพเป็นห้องนอนของเจ้าของวังคนปัจจุบัน ทางปีกซ้ายได้ต่อเติมใหม่เป็นห้องรับแขก ๑ ห้อง ส่วนปีกขวาต่อเติมเป็นห้องนั่งเล่นอีก ๒ ห้องส่วนหลัง เดินผ่านประตูด้านหลังของห้องรับแขกออกมา จะพบทางเดินตัดตรงเข้าสู่ห้องครัวซึ่งได้มีการต่อเติมในภายหลัง
     - ชั้นบน ยังคงแบ่งเป็น ๒ ห้องเช่นเดิม แต่ไม่สามาถใช้งานได้แล้วเนื่องจากพื้นชั้นบนผุพังมากจนไม่สามารถใช้งานได้อีก บันไดถูกรื้อถอนออกไปแล้ว เพราะเจ้าของวังคนปัจจุบันเกรงว่าจะพังลงมาทับเด็ก ๆ ซึ่งชอบเข้าไปวิ่งเล่นบริเวณนั้น จะเห็นได้ว่าลักษณะรูปทรงของวังใหม่สร้างเป็นอาคารไม้ทั้งหลังมี ๒ ชั้น หลังคาทรงปั้นหยา (ลีมะ) แบบเรือนไทย มุสลิมที่รับอิทธิพลศิลปกรรมของชวา ตัววังเป็นรูปตัวแอล (L) จากระยะเวลาอันยาวนานทำให้ตัววังทรุดโทรมลง และไม่ได้มีการซ่อมแชม ทำให้ชั้นบนไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีก 

        
    รูปทรงและวัสดุของวังสายบุรี
            
รูปทรงและวัสดุของวังสายบุรี ประกอบด้วย

๑. กำแพงวัง
   กำแพงวัง มี ๒ ส่วน คือส่วนหน้าและส่วมหลัง กำแพงส่วนส่วมหน้าก่อธิฐปูน วัสดุที่ใช้ทำจากเศษเปลือกหอยผสมกับไข่ขาว น้ำอ้อยและน้ำผึ้ง ปัจจุบันที่ดินบริเวณกำแพงวังได้ตัดขายให้กับนายสะมะแอ ซะฟาห์ กำแพงวังด้านหน้าสูง ๑ เมตร ยาวด้านละ ๑๐ เมตร ส่วนกำแพงวังด้านหลังสร้างด้วยอิฐไม่มีการฉาบปูน อิฐวางลักษณะสับหว่างกันเป็นกำแพงทึบ เนื่องจากภรรยาและคนรับใช้ผู้หญิงมักใช้พื้นที่ส่วนนี้ จึงป้องกันไม่ให้ประชาชนลักลอบเข้ามาหรือแอบมองบรรดาผู้หญิงในขณะอาบน้ำหรือปรุงอาหาร กำแพงด้านนี้ยาวด้านละ ๑๐ เมตร สูง ๑ เมตร เช่นเดียวกับกำแพงด้านหน้า ปัจจุบันที่ดินบริเวณกำแพงด้านหลังขายให้แก่นายนิอัลเลาะห์ อาหมัด ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายยูโชะ สะมาแอ หลานเขยของพระสุริยสุนทรบวรภักดิ์ฯ
๒. เสา
    เสามี ๑๐ เสา ถ้ามองจากทางเดินเข้าวังจะเห็น ๔ เสา รองรับน้ำหนักจากเสาไม้ชายคา บริเวณบันไดทางขึ้นเป็นที่รองรับน้ำหนักของกระเบื้องทั้ง ๒ ข้าง ด้านละ ๒ เสา อีก ๒ เสา รับน้ำหนักต่อจากไม้บริเวณห้องโถง เสาเหล่านี้สร้างจากไม้ตะเคียน เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนฐานอิฐ ซึ่งได้รับการต่อเติมในภายหลังปัจจุบันเสาเหล่านี้มีร่องรอยของปลวกอาศัยอยู่
๓. บันได
    บันไดก่ออิฐถือปูนเป็นแบบทึบมี ๕ ขั้น ทางขึ้นกันไดมีหัวบันไดทั้ง ๒ ข้าง ก่อด้วยอิฐถือปูนเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมวางประกบกันตามแบบศิลปะชวา ที่นิยมกันในท้องถิ่นสมัยนั้น
๔. พื้นวัง   
    พื้นของวัง ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งจากไม้ตะเคียน ปูเป็นเส้นทะแยงมุมมีแกนกลางตีเน้นเป็นฟันปลาทั้งขั้นบนและชั้นล่าง ซึ่งต่างจากบ้านเรือนไทยมุสลิมทั่วไป เนื่องจากเรือนไทยมุสลิมโดยทั่วไปจะวางไม้กระดานขวางเป็นแนวนอนหรือแนวตั้งตามแบศิลปะของชวา
๕. ประตู
     ประตูของวังสายบุรี มีประตู ๓ ประมาท ประตูส่วนใหญ่ทำจากไม้ตะเคียน ซึ่งหาง่ายในท้องถิ่นสมัยนั้น ประตูจะมีประตูห้องโถง เป็นบานเปิด แบ่งเป็นสองช่องเท่า ๆ กัน ตกแต่งดลายเช่นเดียวกับพื้นวังเป็นแบบศิลปะชวา มีขนาดกว้าง ๑๐๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๗๐ เชนติเมตร ประตูต่อมาคือประตูห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นบานเปิดธรรมดาไม่มีลาย แบ่งเป็นสี่ช่องเท่า ๆ กัน มีขนาดกว้างประมาณ  ๒ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร ส่วนประตูห้องนอน เป็นประตูบานเปิด แบ่งเป็นสี่ช่องเท่า ๆ กันมีขนาดกว้าง ๕๐ เชนติเมตร สูง ๑๗๐ เซนติเมตร
๖. หน้าต่าง
     หน้าต่างวังสายบุรี มี  ๒ ประเภท ได้แก่หน้าต่างบานใหญ่เหมือนประตูห้องนอน เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า กว้าง ๕๐ เซนติเมตร สูง ๑๐๐ เชนติเมตร กับหน้าต่างห้องรับแขกที่ต่อเติมขึ้นภายหลัง เป็นหน้าต่างบานเปิดธรรมดาไม่มีควดลาย แบ่งเป็นสี่ช่องเท่า ๆ กัน กว้าง ๕๐ เชนติมตร สูง ๕๐ เชนติเมตร
๗. ซุ้มประตูและชุมหน้าต่าง
   ซุ้มประตูและชุมหน้าต่างซึ่งอยู่บริเวณเห้องโถง การตกแต่งบริเวณนี้ใช้กระดานแผ่นเดียว นำมาฉสุโปร่งเพื่อให้แสงสว่างเข้ามาภายในห้องได้สามารถระบายอากาศได้ดี ลวดลายที่ตกแต่งเป็นลายพรรรณพฤกษา 
๘. ระเบียง สำหรับพื้นระเบียงและรั้วระเบียงทำจากไม้ โดยเฉพาะทั้วระเบียงตกแต่งลวดลายพรรณพฤกษาตามแบบศิลปะชวา
๙. ฝาผนัง ใช้ไม้ทาสีขาววางไม้กระดานเป็นแนวนอน ปัจจุบันสึกระเทาะหลุดออกเป็นชิ้น ๆ เจ้าของวังไม่ได้ซ่อมแชมปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา
๑๐. ช่องแสง เป็นส่วนประกอบที่อยู่ด้านบนของประตูใช้กระจกผ้ามัวรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีขนาดกว้างและยาวด้านละ ๒๕ เชนติเมตร เพื่อให้แสงสว่างเข้ามาภายในได้
๑๑. ช่องระบายอากาศ เป็นช่องลมใต้หลังคา ชาวไทยมุสลิมเรียกว่า "ปากาซา" การตกแต่งส่วนนี้นิยมลวดลายที่ฉลุโปร่ง และวางลายในแนวตั้งต่อเนื่องกันไปด้วยลวดลายที่ใช้ในการฉลุ คือลวดลายพรรณพฤกษาตามแบบศิลปะชวา 
๑๒. เชิงชายหรือตือโปกาชา การตกแต่งไร้ทองเหลืองฉลุโปร่ง จัดลวดลายแบบต่อเนื่องบนทองเหลืองแผ่นเดียว ปรากฏอยู่ริมหลังคาด้วยลวดลายพรรณพฤกษาตามแบบศิลปะชวา 
๑๓. สันหลังคา การตกแต่งในบริเวณนี้ใช้ทองเหลืองฉลุโปร่ง ลักษณะลวดลายที่ต่อเนื่องกันและจัดโครงสร้างของลวดลายเป็นแนวนอน ลายฉลุตัดกับสันหลังคาโดยผังลงไปในซีเมนต์ของสันหลังคา รูปแบบของลายใช้ลวดลายพรรณพฤกษา
๑๔. หลังคา
    หลังคาเป็นทรงปั้นหยาหรือแบบลีมะ ซึ่งเป็นแบบหลังคาที่ชาวไทยมุสลิมนิยม  มุงด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบ รูปห้าเหลี่ยมที่สันหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผา
๑๕. ชายคา เป็นส่วนที่ต่อเติมขึ้นในยุคปัจจุบัน

     สิ่งของและเครื่องใช้ในวังสายบุรี
        
    สิ่งของและเครื่องใช้ในวังส่วนมาจะมาจากการที่วังสายบุรีเป็นสถานที่ว่าราชการ และที่อยู่อาศัยของเจ้าเมือง ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีต มีลูกหลานและบริวารอาศัยอยู่มากมาย ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นมากพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเหล่านี้ในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังอยู่ในความครอบครองของนายอับดุลย์ราฮิม สะมาแอ ซึ่งเป็นเจ้าของวังคนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านลูกหลานพระยาสายบุรีส่วนหนึ่ง สิ่งของที่มีค่าที่ยังปรากฏในปัจจุบัน ได้แก่เครื่องประดับยศของท่านพระยาสุริยสุนทรบวรภักดีฯ ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบด้วย

๑. เชื่อนหมาก ประกอบด้วย ตัวเชี่ยนหมาก กระปุกใส่ขึ้ง และเต้าปูน ทำจากทองเหลืองและเงิน ไม่มีลวดลายใด ๆ
๒. พาน ทำจากทองเหลือง ไม่มีลวดลายใด ๆ
๓. ผอบ ทำจากทองเหลือง ไม่มีลวดลายใด ๆ
๔. จานสังคโลก มีอายุประมาณ ๙๐ ปี มีลวดลายดอกไม้ตามแบบศิลปะจีน
๕. ตู้เสื้อผ้า ทำจากไม้สักอายุประมาณ ๘๐ ปี ช่างไม้ชาวจีนประดิษฐ์ให้กับตนกู
๖. เตียงไม้ ทำจากไม้สัก อายุประมาณ ๘๐ ปี ช่างไม้ชาวจีนมอบให้พร้อมอับดุลกอร์เดร์พร้อมกับตู้เสื้อผ้า

     วังสายบุรีมีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์รวมการปกครอง ศาสนา วัฒนธรรมและประเพณี ส่งผลให้วังเป็นโบราณสถานที่มีคุณค่าต่อความคิดความรู้สึกของประชาชนในท้องถิ่นทำให้ระลึกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ของเมืองสายบุรีในช่วงก่อนการปฏิรูปการปกครอง ถึงแม้ว่าพระยาสุริยสุนทรบวรภักดีฯ จะถูกลดบทบาททางการเมืองลง แต่ชาวสายบุรียังคงให้ความเคารพนับถือในฐานะที่เคยเป็นผู้ปกครองท้องถิ่นต่อมา ในปัจจุบันนี้ความสำคัญชองวังสายบุรีในฐานะที่เป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจของท้องถิ่นได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาทิ้งร่องรอยของความภาคภูมิใจในเกียรติประวัติแห่งวงศ์ตระกูลให้กับลูกหลานรุ่นหลังสถาปัตยกรรมของวังสะท้อนให้เห็นถึงการนำศิลปะของท้องถิ่นมาผสมผสานกับศิลปะชวาได้อย่างสวยงามและกลมกลืน เนื่องจากพระยาสุริยสุนทรบวรภักดีมีเชื้อสายฝ่ายมารดาเป็นชาวชวา สิ่งเหล่านี้ล้วนทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองสายบุรีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีเชื้อสายบางคนที่ยังคงมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองของท้องถิ่นในยุคปัจจุบัน  กล่าวได้ว่าวังพระยาสายบุรีในปัจจุบันกลายเป็นความทรงจำสำหรับประชาชนในท้องถิ่น แต่เป็นความภาคภูมิใจของเชื้อสายพระยาสายบุรี ที่ยังคงมีการเล่าขานถึงความเจริญรุ่งเรื่องในอดีตไม่มีที่สิ้นสุด


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วังสายบุรี
ที่อยู่
เลขที่ ๓๔ ถนนกลาพอ ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี
จังหวัด
ปัตตานี
ละติจูด
6.69891
ลองจิจูด
101.57684



วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
วังพระยาสายบุรี(วังเก่าสายบุรี) วังที่ยังทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งเมืองปัตตานี. (2561). สืบค้น 16 พ.ค. 68, https://link.psu.th/kuxxSm


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025