เมืองโบราณบ้านทุ่งตึก
 
Back    11/09/2025, 14:56    124  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ภาพจาก : 
https://link.psu.th/CxX5u2             

            เมืองโบราณบ้านทุ่งตึก ตั้งอยู่บ้านทุ่งตึก หมู่ที่ ๓ ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา อยู่ระหว่างปลายคลองเมืองทองกับปลายคลองทุ่งตึก บริเวณนี้มีลักษณะเป็นปากแม่น้ำตะกั่วป่า พื้นลานทราย มีต้นไม้ และป่าละเมาะ รวมพื้นที่หลายสิบไร่ มีซากอาคารโบราณสถานคล้ายตึกหรือวิหารอยู่ไม่น้อยกว่า ๓ แห่ง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า “ทุ่งตึก” บริเวณที่เรียกว่าทุ่งตึกนี้ทางโบราณคดีนั้นเชื่อว่าเป็นเมืองท่าตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าข้ามคาบสมุทรสายแม่น้ำตะกั่วป่า–อ่าวบ้านดอน ที่ชาวบ้านเรียกอีกหนึ่งชื่อว่า “เหมืองทอง” และเชื่อว่าเป็นชุมชนโบราณที่น่าจะเป็น “ตักโกลา” (Takola) มากกว่าที่อื่น เมืองท่าการค้าสำคัญชื่อตักโกลานี้ปรากฏชื่ออยู่ในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์ของปโตเลมี (ptolemy) และคัมภีร์มหานิเทศ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗ นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อ “กาลาห์” (Kalah) “กากุลาห์” (Qaqullah) ในจดหมายเหตุอาหรับพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ชื่อ “ตะไลต์ตักโกลัม” (Talaittakolam) ในศิลาจารึกเมืองตันซอร์ของพระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๖ และชื่อเคียคูโล (Kiekoulo) หรือโกกูโล (Kokulo) ในจดหมายเหตุจีน ดังนั้นแหล่งโบราณคดีทุ่งตึกจึงมีความสำคัญจากการเป็นจุดเชื่อมเส้นทางการค้าทางทะเลของโลกยุคโบราณ ระหว่างดินแดนด้านทิศตะวันตกที่มีกลุ่มประเทศอาหรับ อินเดีย และอาจรวมไปถึงดินแดนบางส่วนของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วย กับดินแดนด้านทิศตะวันออกที่มีจีนเป็นตลาดการค้าที่สำคัญ การสำรวจขุดค้นทางโบราณคดีนั้นได้พบโบราณวัตถุที่มีความหลากหลายจำนวนมาก และถือว่าเป็นสินค้าชั้นดี ประกอบด้วยขวดแก้ว น้ำหอมขนาดเล็ก ภาชนะแก้วเขียนสี ที่น่าจะผลิตจากตะวันออกกลาง ลูกปัดหินและแก้วหลายรูปแบบหลากสีสัน ที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูงในการผลิตจากแหล่งผลิตจากตะวันออกกลางและอินเดีย เครื่องถ้วยเคลือบสีฟ้าของเปอร์เซีย (Middle Eastern glazed potterys) เครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) หลายรูปจำนวนมากสิ่งที่สำคัญอื่น  ๆ เช่น โบราณสถานที่เป็นศาสนสถาน และโบราณวัตถุ เช่น พระคเณศวร์ เทพีอุ้มเด็ก พระพิมพ์ดินเผา เหรียญสำริดของอินเดีย เครื่องประดับทองคำเป็นต้น นักโบราณคดีมีความเห็นว่าเมืองท่าแห่งนี้เจริญขึ้นภายใต้อิทธิพลทางศาสนาฮินดู-พราหมณ์ และศาสนาพุทธจากอินเดีย มีอายุประมาณ ๑,๓๐๐ ปี มาแล้ว เพราะ บริเวณบ้านทุ่งตึกนี้พบชิ้นส่วนของศาสนสถาน และสัญลักษณ์รูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ เช่น แผ่นศิลาสลักเป็นแท่นเจาะรูคล้ายกับเป็นแท่นศิลารองฐานศิวลึงค์หรือเทวรูป บนพื้นดินยังเต็มไปด้วยเศษกระเบื้องถ้วยชามเครื่องเคลือบของจีน เศษภาชนะดินเผาเศษภาชนะทำแก้วสีต่าง ๆ พร้อมด้วยลูกปัดหลายสีหลายชนิดมากมาย เงินเหรียญอินเดียกระจายอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นว่าบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งเมืองท่าโบราณที่มีการค้าขายเครื่องเทศที่ชาวอินเดีย อาหรับ และชาวมลายู รู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเป็นทำเล ที่ใช้อาศัยจอดเรือหลบคลื่นลมมรสุมใกล้ทะเลหลวง เรือขนาดใหญ่สามารถเข้า-ออกสะดวก 
          แหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก บริเวณนี้มีลักษณะพื้นที่เป็นลานทรายราบมีต้นไม้ขึ้นห่าง ๆ ทางตะวันออกต่อกับปาชายเลน ชาวบ้านเรียกบริเวณนี้ว่า "ทุ่งตึก" เนื่องจากได้พบอิฐแผ่นใหญ่ ๆ มากมายบนเนินดินวางเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยม เข้าใจว่าเป็นซากตึกหรือวิหารโบราณปรากฏอยู่หลายแห่ง นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้คือชุมชนโบราณตะกั่วป่า ที่รู้จักกันในนามเมืองท่า "ตะโกลา" (Takola) ที่ปรากฏในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์ปโตเลมี ของคลอดิอัส ปโตเลมี (Claudius Ptolemy, พ.ศ. ๖๓๓-๗๑๑) นักภูมิศาสตร์ชาวโรมัน ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในอียิปต์ 
และก็เป็นเพราะตำราภูมิศาสตร์โลกโบราณฉบับนี้เอง ที่ช่วยให้ทราบว่าในสายตาของชาวตะวันตกเมื่อครั้งโน้น “ตะโกลา” เป็นเมืองท่าและก็เป็นสถานีการค้า (emporium หรือ “emporion” ตามภาษากรีกต้นฉบับ) แห่งแรกในบริเวณภูมิภาคที่ชาวตะวันตกเรียกว่า “แหลมทอง” ที่ซึ่งอเล็กซานเดอร์ได้เดินเรือต่อไปยังเมืองจีน ชื่อของ “ตะโกลา” ยังคล้องจองกับชื่อเมือง “ตักโกละ” (Takkola) ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพุทธศาสนา ซึ่งประพันธ์ขึ้นในชมพูทวีปเมื่อราวปี พ.ศ. ๖๐๐-๗๐๐ อีกอย่างน้อยที่สุด ๒ ฉบับ ได้แก่คัมภีร์มหานิเทศสูตรและมิลินทปัญหา โดยที่นักวิชาการสันนิษฐานว่าชื่อของเมืองทั้ง ๒ เมืองนี้ นอกจากจะอ่านออกเสียงได้ใกล้เคียงกันแล้ว ก็ยังหมายถึงเมือง ๆ เดียวกันด้วย ส่วนที่ออกเสียงต่างกันออกไปเล็กน้อยเป็นเพราะสำเนียงในการออกเสียงและการจดบันทึก ดังจะสังเกตได้จากการที่ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองทั้งสองนี้ น่าจะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันคือบริเวณตอนบนของแหลมมลายูนั่นเอง นอกจากนี้แล้วยังมีจารึกอีกหลักหนึ่งพบที่เมืองตันชอร์ ประเทศอินเดีย ระบุปีศักราชตรงกับปี พ.ศ. ๑๕๗๓-๑๕๗๔ ที่กล่าวถึงการสู้รบระหว่างพระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ กับตาไลยตักโกลัม (Talaitakkolam) ที่ควรจะเกี่ยวข้องกับ “ตะโกลา” เพราะคำว่า “ตาไลย” ในภาษาทมิฬแปลว่า “หัวหน้า” ตาไลยตะโกลัมจึงหมายถึงพระราชาแห่งตะโกละ เรื่องราวทั้งหมดที่ในจารึกหลักนี้กล่าวถึงการยาตราทัพของพระเจ้าราเชนทรโจฬะที่ ๑ ไปยังแหลมมลายูและหมู่เกาะใกล้เคียง อนึ่งนักวิชาการบางท่านยังอ้างด้วยว่าชื่อ “ตะโกลา” น่าจะตรงกับคำว่า “โกกุโล” (Ko-Ku-Lo) ในเอกสารโบราณของจีนจากบันทึกการเดินทางของเฉี่ยตัน (Chia-Tan) ซินถังซรู (Hsin Tang Shu) พงศาวดารราชวงศ์ถังฉบับใหม่) และซุ่งชิ (Sung-shih) โดยอ้างกันว่าชื่อ “โกกุโล” ตรงกับชื่อเมือง “กากุลาห์” (Qaqullah) ในบันทึกของพวกอาหรับซึ่งควรจะตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณตอนบนของแหลมมลายูเช่นกัน จะเห็นได้ว่าชื่อของอะไรที่เรียกรวม ๆ กันในโลกของผู้สนใจประวัติศาสตร์โบราณของภูมิภาคอุษาคเนย์ว่า “ตะโกลา” นั้น จะถูกเรียกในชื่อที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาษาและวัฒนธรรมต่าง ๆ ในโลกยุคเมื่อเกือบสองพันปีก่อน ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเมืองแห่งนี้ในเส้นทางการค้าโลกข้ามสมุทรในยุคดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยม แถมหลักฐานทั้งหมดนี้ยังชี้ให้เห็นถึงสถานที่ตั้งของเมืองตะโกลาไปในทิศทางที่ใกล้เคียงกันเสียด้วย ทุ่งตึกกับเมืองตักโกลานี้นักวิชาการด้านโบราณคดีให้ความเห็นว่า ทุ่งตึกเป็นแหล่งโบราณคดีที่น่าจะหมายถึงเมือง "ตะโกลา" เนื่องจากพ้องกับคำว่า "ตะกั่วป่า" ซึ่งเป็นชื่อของแม่น้ำและชื่ออำเภอในปัจจุบัน และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือตามแนวแม่น้ำตะกั่วป่าจะพบโบราณวัตถุโบราณสถาน ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของอินเดียมาแต่ครั้งอดีตอย่างชัดเจน การปรากฏชื่อเมืองตักโกลา หรือชื่ออื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ทั้งในจารึก คัมภีร์ และบันทึกการเดินทางต่าง ๆ ทำให้นักวิชาการส่วนหนึ่งเห็นว่าชื่อเมืองดังกล่าว น่าจะหมายถึงเมืองเดียวกัน ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องวิเคราะห์ว่าเมืองตะโกลา มีความเกี่ยวข้องกับเมืองโบราณที่บ้านทุ่งตึกด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามคำว่า "ตักโกลา" มีชื่อเรียกอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันคือ  ตะโกละ ตะโกลา ตักโกละ การปรากฏชื่อตักโกลาพบในเอกสารโบราณชิ้นแรก คือคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งพระปิฎกจุฬาภัยเถระ ได้รจนาขึ้นเป็นภาบาลีเมื่อปี พ.ศ. ๕๐๐ โดยเป็นถ้อยคำของพระนาคเสนที่ยกมาอุปมาถวายพระเจ้ามิลินทร์  เช่นข้อความที่ว่า... มหาบพิตร ฉันใด นายเรือผู้มีทรัพย์ ได้ชำระภาษีที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้ว ก็แล่นเรือไปในมหาสมุทรไปวังคะ (วังกะ) ไปตักโกละ ไปจีนนะ ไปสวีระ ไปสุรัฏฐะ ไปอลลสันทะ ไปท่าโกละ ไปสุวัณณภูมิ หรือสถานที่ชุมนุมการเดินเรือแห่งอื่น ๆ...  เอกสารโบราณชิ้นที่ ๒ คือจดหมายเหตุภูมิศาสตร์ปโตเลมี (Claudius Platolemy) ปโตเลมี ชาวกรีกจากเมืองอเล็กซานเดรีย ได้เขียนเรื่องราวบ้านเมืองทางตะวันออก โดยเขียนตามคำบอกเล่าของพ่อค้าผู้หนึ่งที่ชื่ออเล็กซานเดอร์ ซึ่งเคยเดินทางมายังเอเชียตะวันออก จดหมายเหตุนี้มีอายุราว ๆ  พ.ศ. ๖๙๓ กล่าวถึงเมืองท่าและปากน้ำสำคัญตามชายฝั่งทะเล ซึ่งแต่ละแห่งได้กำหนดเส้นรัุงเส้นแวงกำกับไว้ด้วย ในเอกสารโบราณฉบับนี้ปรากฏชื่อ "ตะโกลา" ว่าเป็นศูนย์กลางค้าขาย (Takola Emporion) บนชายฝั่งทะเลตะวันตกของแหลมมลายู ซึ่งตั้งอยู่ที่กันอ่าวระหว่างแผ่นดินที่เป็นแหลมยื่นออกทั้ง ๒ ด้าน เอกสารชิ้นต่อมาคือบาลีคัมภีร์มหานิทเทส ซึ่งเกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ กล่าวถึงเมืองท่าและสถานที่ติดต่อค้าขายกัน เช่น ..เมื่อแสวงหาโภทรัพย์ ย่อมแล่นเรือไปไนมหาสมุทร...ไปคุมพะ (หรือติคุมพะ) ไปตักโกละ ไปตักกสิลาไปกาลมุข ไปมรณะปาร ไปเวสูงคะ ไปเวราบถ ไปชวา ไปกมะลึ (หรือตมะลี) ไปวังกะ (หรือวังคะ) ไปเอฬวัทพนะ... นายพันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ (ยี.อี.เยรินี)  ชาวอิตาลีผู้เข้ามารับราชการทหารในประเทศไทย อดีตเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบกคนแรกแห่งกองทัพบกไทย ได้เสนอแนวความคิดไว้ใน Researchs on Ptolemy's Geography of Eastern Asia (further India and Indo Malay Archipelago) ว่าเมืองท่าตะโกลา (Takola Emporion of Takola mart) ที่ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์บโตเลมีราวพุทธศตวรรษที่ ๗ น่าจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นชุมชนโบราณตะกั่วบำโดยสันนิษฐานว่า "ตักโกลา" เป็นคำเดียวกันกับกาฬะ (Kala) ในภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายความว่า "ดำ" และเป็นชื่อเดียวกับ Kalah ตามจดหมายเหตุอาหรับ (Abu Zaid) ซึ่งคำว่า "ตะกั่วป่า" หรือ "ตะกั่ว" (Takuล) กับคำว่า "ตะโก" น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤตว่ากาละ (Kala) โดยคำว่า "ตะโก" เป็นชื่อพันธุ์ไม้ที่เกี่ยวข้องกับความหมายว่าดำ เช่น นิลตะโก ดำตะโก หรือความหมายของดำของทั้ง ๒ คำนี้ หมายถึงธาตุโลหะสีดำหรือดีบุกซึ่งพบมากในเมืองนี้ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุอาหรับ กาลาห์จึงอาจมาจาก AL-Kalli ซึ่งนักภูมิศาสตร์อาหรับในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ใช้เรียกแร่ธาตุที่มีมากในเมืองในเมืองกาลาห์ ซึ่งน่าจะหมายถึงดีบุก ซึ่งเป็นสินแร่ที่มีมากในเมืองตะกั่วป่า ศาสตราจารย์ซิลแวง เลวี (Professeur Sylvain Levi) ชาวฝรั่งเศส กล่าวถึงแนวความคิดของนักปราชญ์ต่าง ๆ ที่สันนิษฐานเกี่ยวกับตักโกลา เป็นต้นว่า M. Kanakasabbai ได้ชี้ลงไปว่า Takola (ตักโกลา) ของปโตเลมี คือตไลต์ตักโกลัม (Talaittakolam) ที่ปรากฏชัดในศิลาจารึกเมืองตันซอร์ (Tanjore) ซึ่งเป็นเรื่องการยกทัพมาโจมตี และได้รับชัยชนะเหนือเมืองท่าต่าง ๆ ของราเซนทรโจฬะที่ ๑ (Rajendra Cola ๑ ) ในระหว่าง พ.ศ. ๑๕๕๕-๑๕๘๔ ส่วนศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เสนอความเห็นต่อเนืองไว้ว่าตไลต์ตักโกลัม น่าจะเป็นเมืองท่าในคาบสมุทรมลายู โดยอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมาทมาลิงคัม (Madamalingam) หรือเมืองตามพรลิงค์ (Tambralinga) หรือนครศรีธรรมราช นอกจากนั้นแล้วศาสตราจารย์ซิลแวง เลวี ได้รวบรวมความหมายของคำ "ตักโกลา" และชื่อที่คล้ายคลึงกัน เช่น กักโกละ กักโกล้ม (Kakkola Kakolam) ตักโกล้ม (Takkolam) ในภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาบาลี สันสกฤต ทมิฬ ว่าเป็นคำที่หมายถึงพืชพันธ์พื้นเมืองในแถบเมืองร้อน และยังใช้เป็นชื่อเมือง ทั้งยังกล่าวถึงข้อวินิจฉัยของ Pellipt ที่ว่าคำว่า "ตักโกลัม" (Takkolum) หมายถึงเครื่องเทศชนิดหนึ่ง คือ Cardamome ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่ากระวานชื่อพฤกษศาสตร์คือ Elettaria Curdamomum Maton อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae ส่วนคำว่า "ตักโกลา" ซึ่งหมายถึงชื่อเมืองอาจหมายถึง ติว-กู-ลิ (Tiu-ku-b) หรือเคีย คู (Kie-kou-do) หรือโก กู โล (ko ku lo) ตหมายเหตุจีนหรือกากุลลาห์ (Cagullah) หรือกาลาห์ (Kalah) ตามจดหมายเหตุอาหรับต่อมาศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ (G. Caedes) เขียนเรื่องราชอาณาจักรทะเลใต้ ที่แถลงต่อสยามสมาคมเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๖ โดยกล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า... ตะกั่วป่าและไชยามีหลักฐานทงโบราณคดีที่แสดงว่าได้เคยเป็นแหล่งใหญ่แห่งความเจริญ และในระหว่าง ๒ แห่งนี้ ได้มีทางข้ามจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออกเป็นสายใหญ่อันหนึ่งด้วย และพวกอินเดียซึ่งเลือกทางเดินโดยตัดข้ามมหาสมุทรอินเดีย หมู่เกาะนิโคบาร์และอันดามันจะต้องมาขึ้นบกที่ไกล้ ๆ ตะกั่วป่า และในปี พ.ศ. ๑๕๖๘ ตามศิลาจารึกของเมืองตันชอร์ (Tanjore) ของฝ่ายโจฬะได้ยกทัพข้ามหาสมุทรอินเดียมาโจมตีศรีวิชัย และยึดดินแดนศรีวิชัยและเมืองขึ้น ซึ่งตักโกลา (หรือตะกั่วป่า) และตามพรลิงค์ (นครศรีธรรมราช) ก็ถูกยึดเป็นเมืองขึ้นของโจฬะในครั้งนั้นด้วย ปี พ.ศ. ๒๔๗ เซอร์โรแลนด์ แบรดเดล (Sir. Roland Braddell) เสนอแนวความคิดไหมไว้ใน Notes on Ancient Time in Malaya (JRAS M.B. 1949 VoI. XXI/1) ว่าเมืองท่าตะโกลา ไม่น่าจะอยู่ที่ตะกั่วป่าแต่น่าจะอยู่ใต้ตะกั่วบำลงไปแถวจังหวัดตรัง ซึ่งเมืองตะโกลานี้ในวรรณคดีทมิฬเรียกว่าตะไลต์ ตักโกล้ม อลาสแตร์ แลมป์ (Alastair Lamb) นักโบราณคดีชาวอังกฤษได้สนับสนุนแนวความคิดที่ว่าชุมชนโบราณตะกั่วป่าน่าจะเป็นมืองท่าสำคัญ ซึ่งปรากฏตามจดหมายเหตุอาหรับในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ว่า "กาลาห์" (Kalah) และเป็นเมืองเดียวกับเมืองตะโกลา ตามจดหมายเหตุปโตเลม็ในพุทธศตวรรษที่ ๗ แต่คงเป็นชุมชนเมืองท่าสำคัญในพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ตรงกับสมัยราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) ของจีน  
             จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีนักวิชาการส่วนหนึ่ง มีความเห็นว่าชุมชนโบราณตะกั่วปำ ที่มีทุ่งตึกเป็นศูนศูนย์กลางนั้นคือเมืองตะโกลา แต่ถ้าหากหมายถึงเมืองตะโกลา ตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์บโตเลมีในพุทธศตวรรษที่ ๗ แล้ว จากผลการขุดค้นทางโบราณคดีทั้ง ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๔๖ ยังไม่พบหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอายุเก่าถึงพุทธศตวรรษที่ ๗ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงน่าจะไม่ใช่เมืองตะโกลาในจดหมายเหตุปโตเลมี แต่จากหลักฐานอื่นที่กล่าวถึงซือเมืองตะโกลาหรือชื่ออื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันนักวิชาการส่วนใหญ่ ยอมรับว่าน่าจะหมายถึงเมืองเดียวกันนั้น มีปรากฏทั้งในภีร์มิลินทปัญหา ชื่อ "ตะโกละ" ในพุทธศศตวรรษที่ ๕ คัมภีร์มหานิทเทส ชื่อ "ตักโกละ"ในพุทธศตวรรษ ที่ ๗ จดหมายเหตุอาหรับชื่อ "กาลาห์" (Kalab) "กากุลาห์" (Oaqullah) ในพุทธศตวรรษที่ ๑๔ จดหมายเหตุจีนชื่อ "เคียคูโล" (Kiekoulo) หรือโภกุโล (Kokulo) ในพุทธศวรรษที่ ๑๒-๑๕และจารึกเมืองตันชอร์ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถ้าหากชื่อต่างๆ เหล่านี้หมายถึงเมืองเดียวกันแล้ว แสดงว่าเมือง"ตะโกลา" จะมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๕-๑๖ เมื่อนำหลักฐานดังกล่าวมาพิจารณาร่วมกับโบราณวัตถุและโบราณสถานประกอบกันแล้ว เมืองตักโกลาตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์ปโตเลมี ในพุทธศตวรรษที่ ๗ น่าจะหมายถึงแหล่งโบราณคดีควนลูกปัดจังหวัดกระบี่ หรือภูเขาทอง จังหวัดระนอง มากว่า เพราะพบโบราณวัตถุที่นำเข้าภายนอกจำนวนมาก และที่สำคัญมีหลักฐานที่เก่าไปถึงพุทธศตวรรษที่ ๗ เช่นบรรดาหัวแหวนหินดาร์เนเลียนที่สลักเป็นรูปบุคคลต่างๆ แบบโรมัน ตัวอย่างเช่น รูปสลักเทพีแห่งสันติภาพ (Goddess of Peace) รูปเทพีนี้ปรากฏบ่อยๆ ในเหรียญโรมันสมัยโบราณ นายชอง บวสเซลิเยร์ เห็นว่าการแต่งกายของเทพีนี้คล้ายกับเครื่องแต่งกายในสมัยของมาร์คุสออร์ลีอุส (Marcus Aurelius) ซึ่งเป็นจักรพรรดิของชาวโรมันในราวคริสต์ศักราช ๑๖๑-๑๘๐ หรือราว พ.ศ. ๖๙๔-๗๒๓ (มยุรี วีระประเสริฐ : มปปป, ๔๖) รวมทั้งผลการขุดค้นจากแหล่งโบราณคดีภูเขาทองที่พบโบราณวัตถุ ที่นำเข้าจากดินแดนต่างๆ จำนวนมากมีค่าอายุทางวิทยาศาสตร์อยู่ระหว่างประมาณ ๑,๓๐๐-๒,๒๐๐๐ ปีมาแล้ว แต่แหล่งโบราณคดีควนลูกปัดและภูเขาทอง มิได้เจริญสืบมาจนเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีอายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ พบโบราณวัตถุในช่วงนี้บ้างแต่เพียงเล็กน้อย ได้แก่ เครื่องถ้วยเปอร์เชีย ภาชนะแก้ว ข้อสังเกตสำคัญคือ ไม่พบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง และยังไม่ปรากฏอิทธิพลทางศาสนาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพ หรือโบราณสถาน ซึ่งในช่วงระยะเวลานี้ดูเหมือนทุ่งตึกเป็นเมืองท่าที่เจริญถึงขีดสุดปรากฏอิทธิพลทางศาสนาทั้งพุทธและฮินดู พบศาสนสถานหลายแห่ง แต่กลับไม่พบบรรดาจี้หรือหัวแหวนที่สลักเป็นรูปบุคคลแบบโรมันบนแผ่นหินคาร์เนเลียน หรือภาชนะดินเผาที่นำเข้าจากอินเดียเช่น Rouletted Ware ผลจากการขุดค้นทางโบราณคดี ที่ทุ่งตึกไม่พบหลักฐานที่มีอายุเก่ากว่าพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ทำให้สามารถสันนิษฐานได้ว่า แหล่งโบราณคดีควนลูกปัด ภูเขาทอง และทุ่งตึก มีความสัมพันธ์กันและมีช่วงสมัยที่เชื่อมต่อกันดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าเมือง "ตะโกลา" อาจเป็นชื่อเรียกรวม ๆ ที่ใช้เรียกชื่อเมืองท่าด้านชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย โดยเมืองท่าด้านนี้ได้เปลี่ยนย์กลางมาอยู่ที่พุ่งตึกเมื่อมีการเดินเรือตัดตรงข้ามมหาสมุทร และค้นพบเส้นทางขนถ่ายสินค้าข้ามคาบสมุทรตะกั่วป่า-อ่าวบ้านดอน ทำให้ควนลูกปัดและภูเขาทองลดความสำคัญลง ในขณะที่ทุ่งตึกมีบทบาทขึ้นทดแทน เนื่องจากมีตำแหน่งที่ตั้งที่เหมาะสมมากกว่า จากข้อสันนิษฐานนี้แม้ศูนย์กลางเมืองตะโกลา จะเปลี่ยนไปตามพัฒนาการในแต่ละช่วงเวลา แต่ยังคงมีการเรียกชื่อเดิมอยู่ ดังนั้นปรากฏชื่อเมืองที่พ้องกับคำว่า "ตะโกลา" ทั้งในจดหมายเหตุจีน อาหรับ และศิลาจารึกเมืองตันชอร์ของอินเดีย ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖ ซึ่งถ้าหากหมายถึงเมืองเดียวกันและอยู่ในดินแดนแถบชายฝั่งทะเลอันดามันจริงแล้วแหล่งโบราณคดีทุ่งตึกก็น่าจะหมายถึงเมือง "ตะโกลา" ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้เช่นกัน 
ในคัมภีร์มิลินทปัญหาของพระปิฎกจุพาภัยเถระ ที่เขียนในราว  ๆ ปี พ.ศ. ๕๐๐ กล่าวถึงเมือง "ตักโกละ" ว่าชาวอินเดียได้ตั้งเมืองท่าและศูนย์กลางการค้าขายใหญ่โต เป็นตลาดการค้าเครื่องเทศและคัมภีร์มหานิทเทส ซึ่งเขียนราวพุทธศตวรรษที่ ๗ ก็กล่าวถึงเมืองท่าตักโกลา (Takkola) ส่วนในศิลาจารึกที่เมืองตันชอร์ ประเทศอินเดีย ของพระเจ้าราเชนทร์โจพะที่  ๑ เรียกว่าเมือง "ละไลต์ตักโกล้ม" (Talaitkolam) จากหลักฐานทางด้านเอกสารดังกล่าวที่ปรากฏค่อนข้างจะชัดเจนมาก จึงเป็นแรงจูงใจให้สำนักงานศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต สำนักโบราณคดี กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้เข้าไปสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณดดีแห่งนี้ในระหว่างเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ๒๕๔๖ เพื่อต้องการศึกษาค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีในพื้นที่สนับสนุนเอกสารดังกล่าว จากรายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการสำรวจและขูดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก จำนวน ๘ หลุม พบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย ที่สำคัญ ๆ ดังนี้

๑. โบราณสถาน จากการขุดคันได้พบซากโบราณสถานจำนวน ๘ แห่ง โดยอาคารที่พบน่าจะเป็นศาสนสถานที่ประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์และพุทธ จำนวน ๗ หลังและเป็นบ่อน้ำรูปกลมจำนวน ๑ บ่อ อาคารที่ขุดพบเกือบทั้งหมดใช้หินรองรับน้ำหนักแล้วจึงใช้อิฐก่อทับด้านบน มีเพียงแห่งเดียวที่ไม่พบว่ามีการนำหินมาเรียงทำเป็นฐานรากเพราะเป็นอาคารขนาดเล็กและโบราณกว่า บางอาคารยังพบหินฐานเสาที่มีการสลักหินเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ สำหรับเสียบเดือยเสาไม้ พบเศษกระเบื้องมุงหลังคาดินเผาจำนวนมาก แสดงว่าเป็นอาคารมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผาที่เก่าแก่ยุคแรก ๆ ของโบราณสถานที่พบในประเทศไทย
๒. โบราณวัตถุ ได้ขุดพบโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ลามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ในเบื้องต้นได้ดังนี้
๒.๑. ภาชนะดินเผาภาชนะดินเผาพื้นเมือง เป็นภาชนะเนื้อดิน มีลวดลายต่าง ๆ เช่น ลาย เชือกทาบ ลายประทับรูปทรงเรขา รูปลี่เหลี่ยม รูปหยักแบบฟันปลา ลายขูดขีด
เป็นตาราง ลายขูดเป็นร่องในแนวนอน นอกจากนั้นยังพบพวยกา จุกภาชนะดินเผาอีกจำนวนหนึ่งด้วยภาชนะดินเผาจีน พบเป็นจำนวนมากที่เด่น ๆ คือ เคลือบสีน้ำตาลแบบฉางชา ผลิตในมณฑลโฮนาน ภาชนะดินเผาเคลือบสีเขียวมะกอก เคลือบสีชาวซึ่งทั้งหมดอยู่ในสมัยราชางศ์ถังของจีน ผลิตขึ้นในช่วงพุทธศตรรษที่ ๑๔ ภาชนะดินเผาเปอร์เชีย เป็นภาชนะดินเผาเลือบสีฟ้า เนื้อดินสีขาวยุ่ยง่ายภาชนะดินเผาของเปอร์เชียแบบนี้ได้แพร่หลายในยุคเดียวกับเครื่องปั้นเผาราชวงศ์ถังของจีน
๒.๒. ชิ้นส่วนประติมากรรมพบพระทัตถ์ขวาถือลูกประดำ น่าจะเป็นพระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์ และชิ้นส่วนพระบาท อาจเป็นของพระพุทธรูป
๒.๓. เครื่องใช้เครื่องประดับมีทั้งทองคำที่เป็นแหวนขนาดเล็ก สลักต่างหูทองคำ และและแหวนสำริด ฝ่าครอบภาชนะ สำริด ตะปู ฯลฯ
๒.๔. ลูกปัดลูกปัดถือเป็นโบราณวัตถุเด่นมากในแหล่งโบราณสถานแห่งนี้ ได้พบลูกปัดหลายชนิด หลายแบบและหลายขนาดที่สำคัญคือ
- ลูกปัดหินคาร์เนเลี่ยน
- ลูกปัดแก้วเคลือบ
- ลูกปัดแก้วมีริ้ว สีต่าง ๆ เช่น ดำ ขาว แดง และฟ้า
- ลูกปัดแก้วทรงกระบอกหลายขนาดหลายสีเช่น สีน้ำเงิน เขียว เหลือง จำและขาวใส
- ลูกปัดติดต่อกันหลายเม็ด บางครั้งมีการเคลือบทองด้านใน
- ลูกปัดมีตาหลายชั้นนอกจากนี้ยังพบเศษแก้วชินเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก โดยเศษแก้วที่พบนี้เชื่อว่านำเข้ามาจากเปอร์เชีย หรือโรมัน

             อย่างไรก็ตามแหล่งโบราณคดีแหล่งนี้เคยมีการสำรวจ ศึกษา ขุดค้น โดยนักโบราณคดีมาแล้วหลายคน รวมทั้งการลักลอบขุดหาลูกปัดของชาวบ้านด้วย กล่าวคือ ดร. ควอริทช์ เวลส์ (H.G. Quaritch Wales) ได้เข้าสำรวจแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกนี้ในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้บันทึกไว้ว่าสำรวจพบซากโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐมีขนาดยาว ๖๐ หลา กว้าง ๓๐ หลา สูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๖ ฟุต และได้พบเศษภาชนะดินเผาที่ผลิตในสมัยราชวงศ์ถังของจีน (พุทธศตวรรษที่ ๑๒- ๑๓) และเครื่องแก้วของชาวเปอร์เซีย ภาชนะดินเผาของชาวต่างชาติที่พบในแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ดร. ควอริทช์ เวลส์ (H.G. Quaritch Wales ได้เก็บรวบรวมส่งไปให้บริติชมิวเซี่ยม ในประเทศอังกฤษ ช่วยวิเคราะห์ ซึ่งสามารถสรุปแยกออกเป็น ๓ ประเภท คือ
               ประเภทที่ ๑ เป็นภาชนะดินเผาของจีนสมัยหกราชวงศ์ประมาณปี พ.ศ. ๗๖๓-๑๑๗๘ (ราชวงศ์ไหว่ของพระเจ้าโจผี ถึงต้นราชวงศ์ถังของพระเจ้าหลีเอี๋ยน)
               ประเภทที่ ๒ เป็นภาชนะดินเผาของจีนเช่นกัน อายุประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๖
               ประเภทที่ ๓ เป็นภาชนะดินเผาลายครามของมุสลิม น่าจะทำแถวประเทศเปอร์เชียภาคใต้ ซึ่งพวกอาหรับนำมาค้าขายในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓
             ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๔ ได้มีชาวบ้านเข้าไปลักลอบขุดหาลูกปัด และโบราณวัตถุในบริเวณแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกแห่งนี้ ได้ลูกปัดเป็นจำนวนมากหลายชนิดหลายลักษณะและหลายสมัย นอกจากนั้นยังขุดพบประติมากรรมสตรีอุ้มเด็กสลักจากหิน ขนาดฐานกว้าง ๖๐ ชม. สูง ๕๖ ซม. พระคเณศหรือคเณปติสลักจากหิน มีความสูง ๗๒ ชม. กว้าง ๓๑ ชม. หนา ๑๕ ซม. และโบราณวัตถุอื่น ๆ อีกมากมาย ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๖ โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) กองโบราณคดี กรมศิลปากร ได้เข้าไปสำรวจและขุดตรวจ (หลุมทดสอบ) บริเวณแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกแห่งนี้ พบหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องถ้วยชามจีนและอาหรับ คล้ายคลึงกับที่ ดร. ควอริทช์ เวลส์ (H.G. Quaritch Wales) สำรวจพบ เมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่เป็นเอกสาร โบราณวัตถุ และลักษณะทางภูมิศาสตร์ประกอบกันพอจะสรุปได้ว่า ชื่อเมือง "ตะโกลา" ที่ปรากฏในจดหมายเหตุ ศิลาจารึก และคัมภีร์ต่าง ๆ น่าจะหมายถึงแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึกแห่งนี้นั่นเอง อย่างไรก็ตามหลักฐานต่าง ๆ จะต้องมีการศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียด ซึ่งจำเป็นต้องใช้การกำหนดอายุทางวิทยาศาสตร์รวมด้วย เพื่อความชัดเจนทางด้านประวัติศาสตร์ต่อไป

             สภาพภูมิศาสตร์ของเกาะคอเขา         
            เกาะคอเขาเป็นเกาะขนาดเล็กยาว ๑๕ กิโลเมตร กว้าง ๕ กิโลเมตร ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำตะกั่วป่า มีลักษณะคล้ายสันทราย มีป่าไม้ โกงกางทางด้านฝั่งตะวันออกของเกาะ ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกของเกาะหันหน้าออกสู่ทะเลอันดามันของมหาสมุทรอินเดีย ทางด้านเหนือของเกาะมีภูเขาเตี้ย ๆ ทอดตัว ในแนวเหนือ-ใต้ แหล่งโบราณคดีที่สำคัญบนเกาะคอเขาตั้งอยู่ในบริเวณที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ทุ่งตึก" หรือ "เหมืองทอง" เหตุที่เรียกเช่นนี้คงจะเป็นเพราะว่าในบริเวณนี้มีซากของอาคารโบราณสถานอยู่ ๓ แห่ง นอกจากนี้ในบริเวณนี้ยังได้พบฐานเทวรูป เหรียญเงิน อินเดีย เศษทองคำ และผงทรายทอง ปัจจุบันโบราณ สถานดังกล่าวถูกทำลายไปคงเหลือแต่เพียงซากของฐานก่ออิฐเพียงบางส่วนเท่านั้น แหล่งโบราณคดีเกาะคอเขาหรือเหมืองทอง ทางกรมศิลปากรได้มีการสำรวจเมื่อปั พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยพบซากโบราณสถานก่อด้วยอิฐขนาดยาว ๖๐ หลา กว้าง ๓๐ หลา สูงจากระดับพื้นดินประมาณ ๖ ฟุต และพบเศษภาชนะดินเผาที่ผลิตในสมัยราชวงศ์ถังของจีน (ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๓) และเครื่องแก้วของชาวเปอร์เซีย โดยที่ไม่ได้ดำเนินการขุดค้นในชั้นดินธรรมชาติ โบราณวัตถุเหล่านี้จัดได้ว่ามีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๕ จากโบราณวัตถุที่พบ เป็นจำนวนมากจากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ทำให้นักโบราณคดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น ดร. เอช.จี ควอริทซ์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ก็เคยมาขุดตรวจดูชั้นดินครั้งหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ นักปราชญ์ทางโบราณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าทุ่งตึกเป็นที่ตั้งเมืองท่าโบราณซึ่งชาวอินเดีย ชาวจีน ชาวอาหรับ และชาวมลายู มาทำมาค้าขาย เพราะตั้งอยู่ในทำเลและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ที่เหมาะสมในการเป็นที่จอดเรือหลบคลื่นลม มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เพราะอยู่ใกล้ทะเลหลวงขนาดใหญ่สามารถเข้าออกสะดวก อีกทั้งตั้งอยู่ตรงปากแม่น้ำตะกั่วป่า ซึ่งการคมนาคมทางเรือทั้งขึ้นและล่องตามลำแม่น้ำจะต้องผ่านเสมอ ทุ่งตึกนอกจากจะเป็นเส้นทางผ่านของเรือสินค้าหลายชนิดแล้ว ยังมีหลักฐานน่าเชื่อว่าเมื่อครั้งที่ชาวอินเดียอพยพหนีภัยลงเรือหนีมายังดินแดนทางเอเชียอาคเนย์ ได้มาขึ้นบกและตั้งหลักแหล่งที่ทุ่งตึกหรือตะกั่วป่าก่อนระยะหนึ่ง ต่อมาเมื่อถูกข้าศึกศัตรูตามรบกวนและโรคภัยไข้เจ็บรบกวน จึงได้อพยพเดินทางข้ามไปตั้งเมืองทางบริเวณริมฝั่งทะเลตะวันออก เพราะได้พบว่าตลอดเส้นทางอพยพชาวอินเดียได้ก่อสร้างเทวสถานและรูปเคารพเอาไว้ อาทิ รูปปั้นพระนารายณ์ ซึ่งปรากฎในหลายแห่งจึงเป็นเครื่องแสดงถึงอารยธรรมอินเดียที่แพร่เข้าสู่ในเขตภูมิภาคนี้ ทุ่งตึกคงจะเจริญรุ่งเรืองอยู่ในสมัยศรีวิชัยในนามเมืองตะโกลา และตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรศรีวิชัยเป็นเวลานาน ส่วนสาเหตุการซบเซาลงไปนั้นยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด สันนิษฐานว่าคงมาจากเกิดสงครามหรือถูกศัตรูรุกรานในตอนปลายของสมัยศรีวิชัย          


โบราณสถาน/โบราณวัตถุ

        เมืองโบราณทุ่งตึกเป๋็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญแห่งหนึ่ง โดยเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ ๒๕๔๗ สำนักงานศิลปากรที่ ๑๕ จังหวัดภูเก็ต กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินการสำรวจขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่บ้านทุ่งตึกหรือชาวบ้านเรียกว่า "เหมืองทอง" ในพื้นที่ ๑๐๐ ไร่ บนเกาะคอเขาด้านทิศตะวันออกติดกับพื้นที่ป่าชายเลน หมู่ทีท ๔ ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ได้พบซากโบราณสถานขนาดเล็กจำนวน ๗ หลัง ตั้งเรียงรายกันภายในขุดพบขุดพบกระเบื้องดินเผามุงหลังคาจำนวนมาก บริเวณนอกพบบ่อน้ำโบราณ ๑ บ่อ คาดว่าเป็บส่วนหนึ่งของชุมชนโบราณชื่อ "ตักโกลา" ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญในจดหมายเหตุภูมิศาสตร์ปโตเลมี และคัมภีร์มหานิเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๑๖ ซึ่งเคยเป็นเมืองท่าการค้าสมัยโบราณอายุกว่า ๑,๓๐๐ ปี สำหรับโบราณวัตถุที่ขุดพบจากโบราณสถานทั้ง ๗ หลัง ประกอบด้วยดินเผาพื้นเมือง เป็นเนื้อดินประดับด้วยลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายประดับรูปทรงเรขาคณิตรูปสี่เหลี่ยม รูปหยักแบบฟันปลา ลายตาราง ฯลฯ นอกจากนั้นยังพบพวยกา ภาชนะใส่น้ำโบราณ ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นกาน้ำรูปทรงต่าง ๆในปัจจุบัน ภาชนะดินเผาของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ หรือเมื่อ ๑,๓๐๐ ปีมาแล้ว ซึ่งนักประวัติศาสตร์ระบุว่าเป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่นี้แล้วมีการค้าขายส่งออกเครื่องถ้วยจีนกับต่างประเทศ การล่มสลายของชุมชนโบราณแห่งนี้ ได้มีการตั้งข้อสังเกตกันไปต่าง ๆ นานา ว่ามาจากหลายสาเหตุจนมาถึงเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ ได้เกิดเหตุการณ์คลื่นสึนามิ ถล่มชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้ทำลายสิ่งก่อสร้างบริเวณริมหาดพังไปในชั่วพริบตา ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดถึงการล่มสลายของแหล่งชุมชนแห่งนี้ในอดีต ประกอบกับหลักฐานที่ค้นพบได้กระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ และในสมัยก่อนโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวมีมากกว่าช่วงปัจจุบัน ดังนั้นการศึกษาชุมชนโบราณแห่งนี้อย่างจริงจังอาจจะสามารถคาดเดาโอกาส ที่จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่เป็นสาเหตุของการเกิดคลื่นสึนามิก็อาจเป็นได้ จากการดำเนินงานทางโบราณคดีได้ขุดพบโบราณสถานมีขนาดแตกต่างกันไป แม้โบราณสถานที่ขุดพบทั้งหมดจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็ได้เผยให้เห็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมของโบราณสถานในแหล่ง
โบราณคดีสำคัญแห่งนี้ป็นครั้งเรก โบราณสถานที่พบมี ๘ แห่ง มีรายละเอียด ดังนี้
               โบราณสถานหมายเลข ๑
        โบราณสถานหมายเลข ๑ เป็นเนินโบราณสถานใหญ่ขนาดประมาณ ๔๐x๖๐ เมตร สภาพเนินโบราณสถานมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ ที่เกิดจากถูกลักลอบขุดหาสิ่งของมีค่าต่าง ๆ ทำให้มีเศษอิฐและหินที่ถูกนำมาใช้เป็นฐานรากอาคารกระจายตัวอย่างหนาแน่นโดยทั่วไป สภาพก่อนการขุดนั้นมีลักษณะเป็นป่ารกทึบมีต้นไม้และวัชพืชขึ้นปกคลุมทั่วไป บริเวณปลายเนินด้านทิตะวันออกพบเศษกระเบื้องมุงหลังคากระจายไปทั่ว เนินโบราณสถานหมายเลข ๑ แห่งนี้น่าจะเป็นจุดที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ทรงเสด็จมาประพาส
             โบราณสถานหมายเลข ๒
            โบราณสถานหมายเลข ๒ ก่อนการขุดแต่งนั้นไม่มีลักษณะเป็นเนินชัดเจนเหมือนโบราณสถานหมายเลข ๑ สภาพบนผิวดินพบเศษอิฐ หิน หินฐานเสาที่เป็นรูสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ และกระเบื้องมุงหลังคาปรากฏอยู่โดยทั่วไป โดยมีวัชพืชและไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม และมีหลุมบ่ออยู่ทั่วไป จากสภาพดังกล่าวก็พอแสดงได้ว่าน่าจะมีอาคารอยู่ในบริเวณนี้ด้วย จึงได้ดำเนินการขุดหลุมยาว (Trench) กว้าง ๑..๕๐ เมตร ในแนวทิศเหนือ-ใต้ และทิศตะวันออก ตะวันตกตัดกันเป็นรูปกากบาทจากการขุดหลุมตรวจหาโบราณสถานดังกล่าว พบอิฐเรียงเป็นระเบียบด้านทิศใต้และทิศตะวันตก จากนั้นจึงได้ดำเนินการขุดลอกตามแนวอาคารที่พบ เพื่อเปิดให้เห็นสภาพโบราณสถานทั้งหมด พบว่า โบราณสถานถูกชุดทำลายไปมากกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นติ์ แต่ยังเหลือแนวอิฐที่เรียงตัวเป็นระเบียบโดยไม่ถูกรบกวนเหลือยู่เป็นแนวอิฐขอบของอาคาร แนวอิฐขอบอาคารนี้จะมีหินเรียงช้อนอยู่ด้านใต้เป็นรากฐานของอาคารอีกชั้นหนึ่ง และใช้หินเรียงเป็นรากฐานเต็มพื้นที่ภายในอาคาร แนวอิฐขอบอาคารด้านทิศใต้ที่เหลือหลักฐานสมบูรณ์ทำให้ทราบว่าอิฐขอบอาคารหนา ๔๐ เซนติเมตร แต่อย่างไรก็ตามด้านอื่นๆ แม้จะถูกรื้อทำลายเกือบหมดแต่ก็มีบางจุดที่พอจะบอกได้ว่าเป็นแนวขอบอาคาร จึงทำให้สามารถทราบขนาดของอาคารหลังนี้คือมีขนาดกว้าง ๘ เมตร ยาว ๕๐ เมตร อิฐมีขนาดกว้าง ๑๕ ยาว ๒๖ หนา ๖ เชนติเมตรลักษณะอาคารเป็นอาคารเกือบรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้หินปูนเรียงเป็นฐานรากอาคาร ด้านทิศเหนือพบตำแหน่งฐานเสาอาคารอยู่ในที่เดิมไม่ถูกรบกวน (tกsitu) ๑ แห่งโดยหินฐานเสานี้จะอยู่ด้านในอิฐแนวอิฐขอบอาคารพื้นภายในอาคารที่ใช้หินเรียงเป็นรากฐานอาคารนั้นพบว่ามีการนำหินกรวดก้อนเล็กๆ มาโรยไว้ที่เห็นด้านทิศเหนือหินกรวดเหล่านี้น่าจะถูกนำมาใช้เพื่อปรับพื้นอาคารและจากการขุดพบเศษกระเบื้องมุงหลังคาดินเผาเป็นจำนวนมากนอกจากนี้ยังพบตะปูเหล็กด้วย ทำให้ระบุได้อย่างชัดเจนว่าอาคารนี้เป็นอาคารที่มีหลังคาคลุม
            โบราณสถานหมายเลข ๓
           โบราณสถานหมายเลข ๓ สภาพก่อนการขุดค้นถูกปกคลุมด้วยป่าไผ่ มีหลุมลักลอบชุดเป็นหลุมเป็นบ่อปรากฏอยู่ทั่วไป ในจำนวนนี้มีหลุมใหญ่หลุมหนึ่งที่หน้าตัดของหลุมพบอิฐเรียงเป็นชั้นๆ และบริเวณปากหลุมที่เศษอิฐกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทำให้ทราบว่ามีอาคารอยู่ในพื้นที่นี้ด้วย จึงได้ดำเนินการขุดหลุมยาว (Trench) กว้าง
๑.๕ เมตร ผ่ากลางหลุมดังกล่าวเป็นรูปกากบาทในแนวทิศเหนือ-ใต้ และแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกจากการดำเนินการขุดหลุมดังกล่าว ปรากฏว่าพบพื้นที่ปูด้วยอิฐ จึงได้ดำเนินการขุดขยายเปิดพื้นที่เพื่อให้เห็นตัวอาคารทั้งหมดเมื่อขุดเปิดพื้นที่จนเห็นตัวอาคารทั้งหมดแล้วพบว่าโบราณสถานมีส่วนที่ถูกทำลายไปหลายส่วนแต่ก็เหลือหลักฐานพอที่จะทำให้ทราบถึงขนาดและรูปทรงของโบราณสถานได้ อาคารหลังนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะทางด้านนี้มีมุขยืนออกมา ๑.๘ เมตร จากตัวอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาด ๖.๗๐ เมตร อย่างชัดเจน พื้นที่ตรงกลางเว้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมรัสขนาด ๒.๒๕ เมตร โดยพื้นที่สี่เหลี่ยมตรงกลางนี้จะเป็นดินไม่มีอิฐหรือหินแต่อย่างใด ขนาดโดยรวมของภาคาร กว้าง ๖ ๘๐ เมตร ๘ ๕ เมตรอาคารหลังนี้ใช้อิฐก่อสร้างเพียงอย่างเดียว อิฐมีขนาดกว้าง ๑๖ ยาว ๒๘ หนา ๖ เซนติเมตร ไม่มีการนำหินมาเรียงเป็นรากฐานเหมือนอาคารหมายเลข ๒ ลักษณะการเรียงอิฐโดยเฉพาะที่ส่วนขอบอาคารที่การเรียงตามยาวและขวางสลับกันไป ส่วนพื้นที่ภายในไม่มีการเรียงอิฐที่แอนและมีการนำรนำอิฐหักมาใช้ ที่มุมอาคารด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีอิฐแผ่นใหญ่ที่มีการเจาะสกัดเป็นช่องสีเหลี่ยม ลักษณะคล้ายเป็นฐานรองเสาคารแต่จากการขุดแต่งไม่พบกระเบื้องมุงหลังคา สำหรับช่องสี่เหลี่ยมกลางอาคารอาจจะเป็นส่วนฐานที่ใช้ประดิษฐานรูปเคารพ โดยช่องสี่เหลี่ยมนี้อาจะเป็นส่วนแก่นในที่ใช้ถมอัดดิน โดยมีขอบเป็นอิฐก่อเป็นขอบทั้ง ๔ ด้านและปิดทับด้านบน
            โบราณสถานหมายเลข ๔
            โบราณสถานหมายเลข ๔ สภาพโบราณสถานก่อนการขุดค้น มีสภาพเป็นบำไผ่ขึ้นปกคลุมอยู่อย่างหนาทึบโดยมีหลุมลักลอบขุดขนาดใหญ่ ๑ หลุม บริเวณพบหินอยู่เป็นจำนวนมาก ได้ดำเนินการขุดหลุมยาว (Trench) กว้าง๑.๕ เมตร ผ่ากลางหลุมดังกล่าวเป็นรูปกากบาทในแนวทิศเหนือ-ใต้ และทิศตะวันออก-ทิศตตะวันตกเมื่อได้ดำเนินการขุดเปิดพื้นที่ออกทั้งหมดแล้ว พบอาคาคารขนาดใหญ่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก โดยส่วนที่เป็นมขด้านหน้านี้คล้ายมีลักษณะเป็นอาคารอีกอาคารหนึ่งต่างหากใช้หินก่อเป็นขอบอาคาร และเทคนิคในการก่อสร้างแตกต่างจากส่วนอาคารหลังใหญ่ที่ใช้อิฐก่อสร้าง พื้นภายในอาคารคล้ายส่วนที่เป็นมุขนี้ เป็นดินเรียบและ
มีลักษณะเหมือนดินที่ถูกเผาไฟจนเป็นสีแดง บริเวณใกล้มุมด้านทิศตตะวันออกเฉียงได้พบหินรองเสาอาคาร ๑ ชิ้น ส่วนที่เป็นอาคารหลักก่อขอบอาคารด้วยอิฐ โดยแนวอิฐขอบอาคารถูกรื้อทำลายเกือบหมด ยังพอสังเกตเห็นแนวอิฐขอบอาคารได้บ้างทางทิศตะวันตกและทิศใต้ พื้นที่ภายในอาคารมีลักษณะเป็นแท่นฐานอยู่กลางอาคารส่วนของแท่นฐานนี้ก่อขอบอิฐเป็นรูปสีเหลี่ยมเว้นที่ว่างไว้ขนาดกว้าง ๑,๔๐ ยาว ๑.๕๕ เมตร พื้นช่องสี่เหลี่ยมนี้ปูด้วยอิฐ และได้ดำเนินการรื้ออิฐออกเพื่อตรวจดูฐานรากปรากฏว่า ได้พื้นอิฐเป็นชั้นหินกรวดหนา หมดจากชั้นหินกรวดมีหินปูเป็นฐานรากอีกครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมส่วนแท่นฐานนี้ไว้เพื่อรองรับน้ำหนักอย่างแข็งแรงดังนั้นเท่นฐานนี้แต่เดิมน่าจะเชื่อว่าใช้สำหรับประติษฐานรูปเคารพสำคัญบริเวณหน้าแท่นฐานกลางอาคารด้านทิศตะวันออก มีฐานอิฐก่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด ๖๒๙๗๒ เชนติเมตรอยู่ตรงกึ่งกลางแท่น ๑ แห่ง และทางด้านทิศเหนือในแนวเดียวกัน ๑ แห่ง ส่วนทางด้านทิศใต้ไม่พบแต่จะถูกรื้อทำลายไปหมดแล้วก็เป็นได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากตำแหน่งที่พบแล้วน่าจะมี ๓ แห่งเพื่อให้สมดุลกัน ภายในของฐานนี้ทั้ง ๒ แห่งนี้มีหินกรวดอยู่ภายในพื้นภายในอาคารสันนิษฐานว่าน่าจะปูด้วยหิน เนื่องจากจากการขุดแต่งพบหินที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ แบน  ๆ จำนวนมาก และมีหิน ๒ ก้อนซึ่งเชื่อว่าไม่ถูกรบกวนนำจะอยู่ในตำแหน่งเดิม (Iกราณ) ถูกเรียงอยู่ภายในขอบอาคารด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นหลักฐานว่าหินเหล่านี้แต่เดิมทั้งหมดน่าจะถูกนำมาปูภายในอาคารทั้งหมด นอกจากนี้บริเวณด้านทิศเหนือพบหินกรวดนำมาถมไว้ลักษณะคล้ายอาคารหมายเลข ๒ หินกรวดเหล่านี้อาจจะถูกนำมาถมเพื่อปรับพื้นที่ก่อนที่จะปูด้วยหินอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้จากการขุดเปิดพื้นที่เพื่อให้เห็นอาคารทั้งหมดนั้น ได้ขุดพบพระหัตถ์สำริดข้างขวามือถือประคำที่นอกแนวอาคารด้านทิศเหนือ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระหัตถ์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ร่องรอยที่หักของมือนั้นเป็นรอยหักเดิมมิได้หักใหม่ แต่อย่างไรก็ตามก็ได้พยายามขุดตามหาส่วนอื่นๆ ด้วยแต่ไม่พบ จากคำบอกเล่าของชาวบ้านกล่าวว่าบริเวณอาคารนี้เป็นบริเวณที่ขุดพบพระคเณศด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของอาคารนี้อีกด้วย
            โบราณสถานหมายเลข ๕
          โบราณสถานหมายเลข ๕ สภาพพื้นที่ก่อนการขุดนั้น มีสภาพเป็นบำไผ่ขึ้นปกคลุมและมีหลุมใหญ่อยู่ ๑ หลุมเห็นอิฐซ้อนเป็นชั้นๆ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นหลุมลักลอบชุดของชาวบ้าน แต่จากการขุดหลุมผ่ากลางหลุมดังกล่าวเป็นรูปกากบาทแนวทิศเหนือ-ใต้ และทิศตะวันออก-ตะวันตก ไม่พบแนวโบราณสถานต่ออกไป โดยหลักฐานที่พบเป็นอิฐก่อเรียงกันเป็นรูปวงกลม เป็นบ่อน้ำที่กรุขอบบ่อด้วยอิฐอิฐที่นำมากรเป็นขอบบ่อน้ำนั้น ใช้อิฐหน้าวัวคืออิฐเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เพื่อให้เรียงเป็นรูปวงกลมได้ ขอบบ่อมีความหนาเพียงอิฐก้อนเดียวคือ ๒๘ เซนติเมตรบ่อน้ำนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๙๐ เมตร 
            โบราณสถานหมายเลข ๖
            โบราณสถานหมายเลข ๖ สภาพก่อนการขุดมีสภาพเป็นป่าและมีวัชพืชขึ้นปกคลุม หลักฐานที่ปรากฎบนผิวดินมีเศษอิฐ หิน และกระเบื้องมุงหลังคาแต่มีปริมาณไม่มากนักพื้นที่นี้มีหลุมลักลอบขุดอยู่โดยทั่วไปแต่ไม่มีเป็นหลุมลึกและใหญ่ เมื่อดำเนินการขุดหลุมยาว (Trench) เป็นรูปกากบาทในแนวทิศเหนือ-ใต้ และทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก ปรากฏว่าพบแนวอิฐก่อเป็นขอบหนา ๕๕ เซนติเมตร รูปสี่เหลี่ยมเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัสแม้จะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ จากหลักฐานที่เหลืออยู่ก็สามารถบอกขนาดของอาคารได้คือมีขนาดกว้าง ๓.๔๐ ยาว ๓.๖๐ เมตร อิฐมีขนาดกว้าง ๑๗ ยาว ๒๗ หนา ๖ เซนติเมตร ภายในขอบอิฐไม่มีอิฐ หรือหินแต่อย่างใด โบราณสถานแห่งนี้น่าจะเป็นอาคารเล็ก ๆ ที่มีหลังคาคลุม
            โบราณสถานหมายเลข ๗
             โบราณสถานหมายเลข ๗ สภาพพื้นที่ก่อนขุดเป็นบำไผ่รกทึบ มีหลุมลักลอบขุดกระจายอยู่ทั่วไป พบอิฐกระจัดกระจายบนผิวดินแต่มีปริมาณไม่มากนัก จากการขุดหลุมยาว (Trench) ในแนวทิศเหนือ-ใต้ ไปตามพื้นที่ที่พบอิฐปรากฏว่าพบขอบอาคารโบราณสถานที่ก่อด้วยอิฐหนา ๕๐ เซนติเมตร จึงดำเนินการขุดตามแนวอาคาร
เพื่อเปิดให้เห็นโบราณสถานทั้งหมด เมื่อขุดเปิดพื้นที่ทั้งหมดแล้วพบว่าเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง ๗.๔๐ ยาว ๘:๒๐ เมตร อิฐมีขนาดกว้าง ๑๓-๑๕ ยาว ๒๐-๒๐ ๒๑ หนา ๖ เซนติเมตร อิฐโบราณสถานแห่งนี้ถูกความร้อนสูงจนมีลักษณะเหมือนถูกเคลือบในบางก้อนภายในอาคารมีหินปูเรียงติดกับขอบอาคารด้านทิศใต้เพียง ๓ ก้อน และจากการขุดเปิดพื้นที่อาคารนี้ก็พบหินเพียงเล็กน้อย ทำให้ไม่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าพื้นภายในจะปูด้วยหินเหมือนอาคารหมายเลข ๔หรือไม่ อาคารหลังนี้พบว่าที่การนำเอาปะการังมาใช้ก่อสร้างเช่นเดียวกับเนินโบราณสถานหมายเลขด้วย บริเวณกลางอาคารพบกลุ่มอิฐเล็กน้อยซึ่งอาจจะเป็นส่วนของแท่นฐานสำหรับประดิษฐานรูปเคารพที่ยังเหลือก็เป็นได้
            โบราณสถานหมายเลข ๘
             โบราณสถานหมายเลข ๘ อยู่ทางทิศใต้ของโบราณสถานหมายเลข ๗ สภาพพื้นที่ก่อนขุดเป็นป่าไผ่รกทึบเช่นเดียวกัน มีหลุมลักลอบชุดกระจายตัวอยู่ทั่วไป ในพื้นทีและบริเวณปากหลุมจะพบหินค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังพบอิฐด้วย จากการขุดหลุมยาว (Trench) ตัดกันเป็นรูปกากบาทในแนวทิศเหนือ-ใต้ และทิศตะวันออก-ทิศตะวันตก พบแนวอาคารจึงได้ขุดตามแนวอาคารและเปิดพื้นที่จนเห็นอาคารทั้งหมดมีขนาดกว้าง ๕.๕๐ เมตร ยาว ๖.๕๐ เมตร อาคารหลังนี้ใช้หินเรียงเป็นฐานราก แล้วก่ออิฐทับเป็นขอบอาคารเช่นเดียวกับอาคารหมายเลข ๒ อิฐมีขนาดกว้าง ๑๘ ยาว ๒๙ หนา ๖ เซนติเมตร ภายในอาคารมีลักษณะคล้ายแท่นฐานที่ประดิษฐานรูปเคารพ มีอิฐ
เรียงก่อเป็นขอบรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๑.๖๑ ยาว ๒.๓๒ เมตร อาคารหลังนี้แม้จะมีเทคนิคการสร้างคล้ายอาคารหมายเลข ๒ แต่กลับไม่พบหินรองเสาหรือกระเบื้องมุงหลังคาแต่อย่างใด
            แหล่งโบราณคดีทุ่งตึกพบโบราณวัตถุจากการดำเนินการขุดค้น และการขุดแต่งโบราณสถานเป็นจำนวนมาก และอาจจะนับได้ว่าเป็นแหล่งโบราณคดีที่พบโบราณวัตถุจากดินแดนภายนอกโพ้นทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยก็ว่าได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่แหล่งโบราณคดีแห่งนี้ถูกขุดค้นและทำลายไปอย่างมาก ทำให้โบราณวัตถุที่ขุดพบ โดยเฉพาะจากการขุดแต่งโบราณสถานพบในพื้นที่ที่ถูกขุดรบกวนแล้วเกือบทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบจากการขุดค้นและขุดแต่งในครั้งนี้ รวมถึงจากการสำรวจศึกษาในอดีตที่ผ่านมาสามารถกล่าวได้ว่าแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ พบโบราณวัตถุที่เป็นสินค้าชั้นดีหรือสินค้าพุ่มเฟือยที่เข้ามาพร้อมกับระบบการค้าเป็นจำนวนมาก จึงเป็นหลักฐานที่แสดงว่าทุ่งตึกเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญอย่างมากในอดีต สำหรับโบราณวัถตุที่พบนั้นสามารถแยกออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้
            ๑. โบราณวัตถุประเภทดินเผาพิ้นเมือง
                 ๑.๑ ภาชนะดินเผาพื้นเมือง 
                        ภาชนะดินเผาพื้นเมืองแสดงถึงความหนาแน่นของชุมชนของแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ สำหรับภาชนะดินเผาพื้นเมือง แบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ
                      - กลุ่มภาชนะในครัวเรือน (Domestic Wares) ภาชนะกลุ่มนี้มีเนื้อค่อนข้างหยาบและหนา จัดเป็นภาชนะใช้สอยของชุมชนโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสืบทอดรูปแบบและเทคนิคการผลิตมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ และยังคงใช้อยู่ในปัจจุบันตามชนบทต่าง ๆ ของไทย และเนื่องจากเป็นภาชนะที่ใช้สอยในชีวิตประจำวัน จึงไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมากนัก แต่มีการพัฒนาด้านเทคนิคการผลิตคือในสมัยประวัติศาสตร์ จะรู้จักใช้การขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน และมีการตกแต่งลวดลายให้งดงามกว่าเดิม แต่ยังคงเผาด้วยเตาเผากลางแจ้งซึ่งควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ เนื้อภาชนะจึงสุกไม่ทั่วไส้กลางมักจะเป็นสีเทาหรือดำ จึงเปราะและแตกง่าย แหล่งโบราณคดีทุ่งตึกพบภาชนะดินเผากลุ่มนี้เนื้อดินมีตั้งแต่เหลืองครีม น้ำตาลแดง ถึงสีเทามีการตกแต่งผิวด้านนอกด้วยลวดลาย และเทคนิคต่าง ๆ กัน เช่น ลายขูดขีด ลายเชือกทาบ ลายกดประทับร่องลึกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวนอนเรียงแถวขนานกัน เป็นลวดลายที่ตกแต่งส่วนใต้คอและไหล่ ภาชนะแบบหม้อกลมเนื้อดินผสมทรายค่อนข้างมาก สีน้ำตาล สีส้มแดงลายกดประทับเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมตาหมากรุก เป็นลวดลายที่ปรากฏอยู่บนส่วนลำตัวของภาชนะแบบหม้อกลมดอสั้น เนื้อดินผสมทรายละเอียดค่อนข้างมาก มีสีน้ำตาลดำ สีแดง ภาชนะดินเผาลวดลาย แบบนี้พบที่ชุมชนโบราณไชยาด้วย 
                - ภาชนะกลุ่มพิเศษ (Special Ware) ภาชนะกลุ่มนี้มีเนื้อละเอียดขึ้นรูปด้วยแป้นหมุนเร็ว และผ่านการเผาด้วยไฟอุณหภูมิสูง และควบคุมอุณหภูมิได้ดีกว่ากลุ่มแรก เนื่องจากเนื้อดินสุกเสมอกันแต่ยังคงเป็นแบบเนื้อดินธรรมดา (Earthenware) ภาชนะกลุ่มนี้แม้จากการขุดค้นและชุดแต่งไม่พบรูปแบบที่สมบูรณ์ แต่จากเนื้อดินและชิ้นส่วนที่พบสามารถบอกได้ว่าเป็นกลุ่มที่เป็นหม้อน้ำแบบมีพวยที่เรียกกันว่าหม้อกุณฑี (kendi) หรือไม่ก็เป็นหม้อน้ำแบบไม่มีพวยที่เรียกกันว่าคนโท หม้อน้ำทั้งสองแบบจะมีรูปร่างเป็นหม้อน้ำทรงกลมแป้น คอสูงมีทั้งปากแคบ แบบปากขวด และปากกว้าง และผายออกแบบปากแจกัน กุณฑีเป็นรูปแบบที่นิยมของภาชนะดินเผาในภาคใต้ มักจะพบในชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ต่อเนื่องมา ในสมัยประวัติศาสตร์ส่วนมากมักจะพบร่วมกับคนโท ภาชนะกลุ่มนี้เนื้อดินขาวนวลละเอียดลำตัวกลมหรือกลมแป้น มีเชิงชั้นเดียวหรือสองชั้น ตกแต่งบริเวณไหล่และส่วนลำตัวด้วยลายเขียนสี ลายขูดขีด และกดประทับ สำหรับส่วนพวยกาของหม้อน้ำแบบกุณฑ์ ที่พบจากแหล่งโบราณคดีทุ่งตึกมีหลายแบบ เช่น พวยกาเรียวแหลม พวยกาปลายเป็นรูปกลม เป็นต้น ลักษณะของพวยกาดังกล่าวคล้ายกับที่พบที่ Canh Den ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีบริเวณที่ราบปากแม่น้ำโขงเช่นเดียวกับอ๊อกแอว (Oc Bo) ประเทศเวียดนาม ส่วนคนโทที่พบบริเวณเตาปะโอ และชุมชนสทิงพระเป็นเพียงชิ้นส่วนต่าง ๆ ไม่ครบสมบูรณ์ แต่ที่ได้จากการขุดค้นที่ชุมชนโบราณไชยา เป็นคนโทที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์รูปทรงเรียบคล้ายหม้อน้ำดินเผาแต่มีเชิงสั้น ๆ ชั้นเดียว คอคอดปากมเรียบตกแต่งผิวด้วยการเขียนสีแดงเป็นลายเส้นขนานหลายเส้น ตั้งแต่ส่วนคอจนถึงส่วนกลางลำตัวบนผิวภาชนะสีนวลเนื้อดินชาวผสมทรายละเอียดมาก นอกจากนี้ทุ่งตึกยังพบฝาและจุกภาชนะดินเผาที่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในภาชนะกลุ่มพิเศษ

             ๑.๒ เครื่องถ้วยจีน
                   แหล่งโบราณคดีทุ่งตึกพบภาชนะดินเผาปลายสมัยราชวงศ์ถัง ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ จำนวนมาก เครื่องถ้วยจีนที่พบในภาคใต้นั้น มีการศึกษาอย่างจริงจังในโครงการศึกษาการตั้งถิ่นฐานและการค้าสมัยโบราณในประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๒ โดยมีการขุดที่แหล่งโบราณคดีที่แหลมโพธิ์
จังหวัดสุราษฎร์ธานี และแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก และสำรวจเพิ่มเติมแหล่งต่างๆ ในภาคใต้ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ พบว่าไม่มีแหล่งใดพบเครื่องถ้วยจีนก่อนพุทธศตวรรรษที่ ๑๓
ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ถังของจีน ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ได้พบหลักฐกฐานการผลิตและการส่งออกเครื่องถ้วยจีน และเฟื่องฟูอยู่ตามแหล่งโบราณคดีในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากการขุดทางโบราณคดีจากแหล่งโบราณคดีทั้ง ๒ แห่งข้างต้นนั้น อาจจะพบมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ถ้าหากไม่นับแหล่งโบราณคดีที่มันไตร์ในประเทศศรีลังกา จากการจำแนกเศษเครื่องถ้วยจีนที่พบว่ามีการนำเข้าเครื่องถ้วยจีนถึง ๑๐ ชนิด บางชนิดไม่เคยพบการนำเข้าในที่อื่นของแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน เครื่องถ้วยจีนที่สำคัญ ได้แก่เครื่องถ้วยเนื้อดินขาวแบบติ้ง (Ding Ware) จากเตาภาคเหนือของจีน เครื่องถ้วยแบบฉางช่า (Changsha Ware) จากภาคกลางของจีน เครื่องถ้วยเคลือบเขียวแบบยั่ว (Yue Ware) จากภาคตะวันออกของจีน เครื่องถ้วยแบบเหม่ยเชียน(Meixian) ผลิตจากทางตอนเหนือของมณฑลกวางตุ้ง ส่วนเครื่องถ้วยจากจีนตอนใต้ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก ได้แก่เครื่องถ้วยแบบเฟงไค มีแหล่งผลิตทางตะวันตกของมณฑลกวางตุ้ง จากหยางกาน และแถบฝั่งทะเลกวางตุ้ง เครื่องถ้วยแบบฉางช่าพบมากมายหลายชนิดมีทั้งที่เคลือบและตกแต่งลวดลายที่ต่าง ๆ กัน ส่วนเครื่องถ้วยจากจีนตอนใต้เป็นของที่มาจากมณฑลกวางตุ้งเป็นส่วนใหญ่ 
   เครื่องถ้วยจีนที่พบจากแหล่งโบราณคดีที่เป็นเมืองท่าในภาคใต้ โดยเฉพาะที่ทุ่งตึกและแหลมโพธิ์น่าจะเป็นสินค้าซื้อเข้ามาแล้ว ส่งไปขายต่อยังดินแดนอื่นนอกประเทศไทย เนื่องจากพบเครื่องถ้วยเหล่านี้ไม่มากนักในแหล่งที่เป็นชุมชนใหญ่ ๆ เช่น ชุมชนโบราณท่าชนะ (แหล่งท่าม่วง) ชุมชนโบราณไชยา (แหล่งวัดเวียง) ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และชุมชนโบราณท่าเรือ เมืองพระเวียง จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากจะพบเครื่องถ้วยปลายราชวงศ์ถังจำนวนน้อยแล้ว กลับพบว่าแหล่งเหล่านี้มีเครื่องถ้วยสมัยหลัง คือเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์สุ้ง ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ มากกว่า อย่างไรก็ตามเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์ถัง พบในแหล่งโบราณคดีที่สุไหงมาส
รัฐเดดาห์ ประเทศมาเซีย ด้วยเช่นกัน 


ภาพจาก : https://link.psu.th/wy1vHa

             ๑.๓ เครื่องถ้วยเปอร์เซียหรือบาสรา แวร์ (Basra Turquoise Ware)
                  เครื่องถ้วยเปอร์เซียหรือบาสรา แวร์ (Basra Turquoise Ware) เป็นภาชนะดินเผาเคลือบสีฟ้าหรือเขียวอมฟ้า จากการขุดค้นชุดแต่งโบราณสถานไม่พบลักษณะที่สมบูรณ์มากพอที่จะบอกถึงรูปทรงที่สมบูรณ์ได้ ภาชนะชนิดนี้เคลือบหนามากน้ำเคลือบหลุดออกง่าย เนื้อดินสีเหลืองอ่อน ยุ่ยง่าย ใช้เล็บจิกเข้า จากศึกษาเปรียบเทียบทำให้รู้ว่าภาชนะดินเผา ที่มีแหล่งผลิตจากตะวันออกกลางประเภทนี้นิยมเรียกกันว่าเครื่องถ้วยเปอร์เซียหรือบางที่เรียกว่าบาสรา เทอร์ควอยส์ แวร์ เนื่องจากพบแพร่หลายในเมืองบาสรา ประเทศอิรัก ประวัติศาสตร์ในประเทศจีนได้วิเคราะห์เศษภาชนะดินเผาชนิดนี้ว่า ผลิตในเปอร์เซียทางตะวันออกกลาง มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ภาชนะดินเผาประเภทนี้ขุดพบพร้อมกับเศษภาชนะดินเผาของจีนหลายแบบ ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรษที่ ๑๔ หรือปลายสมัยราชวงศ์ถัง (ราชวงศ์ถัง 618-907 A.D.) เศษภาชนะดินเผาเหล่านี้ขุดพบที่ในประเทศจีน อิหร่าน มีประวัติการติดต่ออันยาวนานกับจีนในระหว่างราชวงศ์ฮัน ซึ่งจักรพรรดิ Wudi (140-87 B.C) ได้ส่งคณะทูตไปยังจักรวรรดิ Parthian (B.C.247-244 A.D.) และได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศในตอนต้นของศตวรรษที่ ๒ B.C. ประมาณ ค.ศ. ๔๕๐-๕๒๐ ราชวงศ์ Sassanian (ค.ศ. ๒๒๔-๖๕๑) ได้ส่งคณะทูตจากเปอร์เซียไปยังจีนถึง ๑๐ ครั้ง และได้มีการบันทึกว่าคณะทูตนี้ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี จากกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๗-๘ เปอร์เชียได้ส่งคณะทูตไปจืนอย่างเป็นทางการถึง ๒๐ กว่าครั้ง แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ เครื่องปั้นดินเผาเปอร์เซียพบแพร่หลายในยุคเดียวกันกับเครื่องปั้นดินเผาแบบยั่วในสมัยราชวงศ์ถังของจีน 
              ๑.๔ กระเบื้องดินเผา
                แหล่งโบราณคดีทุ่งตึกพบกระเบื้องมุงหลังคาดินเผา ที่โบราณสถานหมายเลข ๑, ๒ และ ๖ โดยเฉพาะที่เนินโบราณสถานหมายเลข ๑ ด้านทิศตะวันออก จะพบเป็นจำนวนมากลักษณะของกระเบื้อง เป็นกระเบื้องขอขนาดเล็กหน้าแคบแต่ยาว ความกว้างมีขนาดไม่แน่นอน เฉลี่ยประมาณ ๖ เซนติเมตร ความหนาประมาณ ๑ เซนติเมตร ส่วนความยาวนั้นไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน เนื่องจากไม่พบแผ่นกระเบื้องในสภาพเต็มสบูรณ์ ตรงส่วนที่เป็นขอเกี่ยวนั้นด้านนอกจะมีร่องนิ้วมือปรากอยู่อย่างชัดเจน ส่วนปลายกระเบื้องมีสามลักษณะคือปลายโค้งมนปลายตัดเป็นมุมแหลม และปลายตัดเป็นมุมแหลมเล็ก ๆ ๒ มุม กระเบื้องแบปลายโค้งมนนั้นพบมากที่สุด กระเบื้องดินเผาที่พบจากแหล่งโบราณคดีแห่งนี้มีความคล้ายคลึงกับกระเบื้องดินเผาที่พบจากแหล่งโบราณคดี Bujang Valley ประเทศมาเลเซีย เป็นอย่างมากทั้งขนาดและรูปทรง ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งโบราณคดีทั้ง ๒ แห่งได้เป็นอย่างดี ดังนั้นทุ่งตึกจึง
เป็นแหล่งโบราณคดีที่พบโบราณสถานที่มีหลังคามงด้วยกระเบื้องดินเผาที่เก่แก่แห่งหนึ่งที่พบในประเทศไทย
              ๑.๕ เบี้ยดินเผา
                  เบี้ยดินเผาคือภาชนะดินเผาที่ถูกนำมาขัดฝนให้มีลักษณะกลมคล้ายเบี้ย ยังไม่ทราบถึงประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจน แต่อาจจะเป็นของเล่นหรือใช้ในการละเล่นพื้นบ้านอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สะบ้า เบี้ยดินเผาพบได้ทั่วไปในแหล่งโบราณคดีวัฒนธรรม ในสมัยทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย และพบ
ต่อมาในสมัยสุโขทัยและอยุธยา สำหรับเบี้ยดินเผาที่พบจากแหล่งโบราณคดีทุ่งตึกพบจำนวน ๕ ชิ้น มีขนาดแตกต่างกัน โดบยจากเศษภาชนะดินเผาพื้นเมือง ๒ ชิ้น และทำจากเศษเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์ถัง ๓ ชิ้น ซึ่งทั้งหมดถูกขัดฝนให้กลมอย่างประณีต
          ๒. โบราณวัตถุประเภทแก้ว
                ๒.๑ ลูกปัด
                    ลูกปัดเป็นเครื่องประดับที่พบแพร่หลายทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยด้วย จึงพบลูกปัดรูปแบบต่าง ๆ ตามแหล่งโบราณคดีทั่วไป แสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น ใช้ลูกปัดเป็นเครื่องประดับหรืออาจจะใช้เป็นเครื่องรางของขลัง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ และอาจจะใช้ลูกปัดเป็นของมีค่าที่สามารถแลกเปลี่ยนแทนเงินตราในการค้าขาย ลูกปัดในสมัยโบราณเป็นเครื่องแสดงความเจริญของคนแต่ละยุคสมัยในการประดิษฐ์คิดค้น และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันทางอารยธรรมระหว่างชุมชนได้อีกด้วย ดังนั้นการพบลูกปัดจำนวนมากมายและหลากหลายรูปแบบที่แหล่งโบราณคดีทุ่งตึก จึงเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้เราทราบว่า ทุ่งตึกมีความสัมพันธ์ติดต่อกับประเทศอินเดีย กลุ่มประเทศอาหรับ ในฐานะที่เป็นเมืองท่าชายฝั่งหรือที่พักสินค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งบนฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมระหว่างอินเดีย กับดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกปัดเป็นโบราณวัตถุที่มีความเป็นมาอันยาวนาน ลูกปัดที่ทำด้วยเปลือกหอย ดินเผา และดินสีต่าง ๆ นั้น จะเห็นได้ว่าพบในทุกแหล่งอารยธรรมและยังไม่มีข้อสรุปว่าที่ใดเป็นแหล่งกำเนิด คิดค้นขึ้นขึ้นเป็นครั้งแรก แต่สำหรับลูกปัดแก้วนั้นเนื่องจากพบอยู่ทั่วไปทั้งในยุโรป แถบเยอรมัน อิตาลี บริเวณทะเลเมดิเตอร์เนียน ในเปอร์เชียอียิปต์ เมโสโปเตเมีย อินเดีย ไทย ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ขึ้นไปถึงจีน ญี่ปุ่น และอลาสกา ได้มีนักวิชาการพยายามศึกษาค้นคว้ากันมานาน โดยพยายามหาดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดที่รู้จักผลิตแก้วขึ้นเป็นเครื่องประดับและเครื่องใช้เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน ในบริเวณประเทศอียิปต์และแถบโมโสโปเมีย รู้จักผลิตแก้วมาแล้วตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล แต่ยังไม่กว้างขวางนักมาแพร่หลายจริง ๆ ราว ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาล สำหรับในประเทศไทยปรากฎหลักฐานว่า รู้จักทำลูกปัดมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เพราะจากการขุดค้นที่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ได้พบโครงกระดูกเพศหญิงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคหินใหม่ ซึ่งมีอายุราวประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีการแต่งตัวศพด้วยเครื่องประดับ เช่น เปลือกหอยแครงและเปลือกหอยขม โดยเจาะรูนำมาร้อยเป็นสายสร้อยกับพบลูกปัดเป็นแว่นกลมแบนที่ทำจากเปลือกหอยหรือกระดูก และลูกปัดที่ทำจากหิน ซึ่งมีขนาดยาวประมาณ ๓-๕ เซนติเมตร ส่วนก่อนประวัติศาสตว์ยุคหินใหม่ในที่อื่น ๆ ที่พบ เช่น ที่ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ที่ตำบลกลางแดด อำเภอเมืองนครสวรรรค์ จังหวัดนดรสวรรค์ ก็พบลูกปัดที่ทำด้วยเปลือกหอย และลูกปัดที่ทำด้วยกระดูกสัตว์รูปยาวคล้ายตะกรุด ส่วนที่หนองแช่เสา อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบโครงกระดูกคนยุดหินใหม่สองโครงประดับด้วยสร้อยลูกปัดที่ทำด้วยเปลือกหอยเช่นกัน รวมทั้งที่บ้านโคกเจริญ ตำบลมะกอกหวาน อำเภอชัยบาดาดาล จังหวัดลพบุรี พบทั้งลูกปัดกำไล และเครื่องประดับอื่น ๆ ที่ล้วนทำด้วยเปลือกหอยทั้งสิ้น แหล่งก่อนประวัติศาสตร์ยุคโลหะที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งคือที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่นี่พบว่ามีการใช้ลูกปัดเป็นเครื่องประดับมากมาย และทำด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ดินเผา หินคาร์เนเลียน และแก้วสีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงินเข้ม โดยมีรูปแบบที่น่าสนใจหลายแบบ นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าบ้านเชียงเป็นแหล่งผลิตลูกปัดแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของยุคโลหะในประเทศไทย เช่นเดียวกับที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเข้าใจว่าผลิตขึ้นเองในท้องถิ่น และอาจจะมีบางแบบที่นำมาจากภายนอก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องศึกษาเปรียบเทียบในรายละเอียดต่อไป ลูกปัดจากแหล่งโบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะภาคใต้ได้พบลูกปัดทั่วไปทุกแห่งที่เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญ เช่น ควนพุนพิน ไชยา และท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่าศาลา และอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งที่ภาคใต้นี้จะพบลูกปัดที่ทำจากวัสดุต่าง ๆ เช่น ดินเผา หินต่าง ๆ และแก้วสีต่าง ๆ มีรูปแบบมากมาย อาจจะกล่าวได้ว่ามีมากกว่าที่อำเภออู่ทองจัดว่าเป็นแหล่งผลิตลูกปัดที่ใหญ่มาก โดยแบบที่พบทางภาคใต้คือลูกปัดมีตา ลูกปัดรูปคล้ายทุ่นเบ็ดมีขั้วที่ปลายทั้งสองด้าน ลูกปัดรูปพระจันทร์เสี้ยว รูปคล้ายกระดุม และลูกปัดที่มีลวดลายสีต่าง ๆ ลูกปัดแฝด ลูกปัดเกลียว เป็นต้น สำหรับลูกปัดที่ขุดพบที่โบราณทุ่งตึกแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ พบลูกปัดหลากหลายชนิด หลายแบบ และหลายขนาด  ทั้งที่เป็นหินและแก้ว  สำหรับลูกปัดแก้วสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเทท คือ
                   - ลูกปัดแก้วสีเดียว (Monochrome Beads) เป็นลูกปัดมีเพียงสีเดียวในแต่ละเม็ด เช่น น้ำเงิน ดำ ขาว เขียว เหลือง ฟ้า และแดงแบบสีอิฐ เป็นต้น ลูกปัดแบบนี้น่าจะมีจุดเริ่มการผลิตที่อริกาเมดู (Arkamedu) ทางฝังทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย เมื่อประมาณ ๒,๒๐๐-๒,๑๐๐ ปีมาแล้ว และผลิตต่อมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๘ แล้วต่อมาจึงไปตั้งแหล่งอุตสาหกรรมใหม่ที่เมนไท (Mantai) ประเทศศรีลังกา และเชื่อว่าจากนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนหมู่เกาะในแปซิฟิก มีเรียกชื่อลูกปัดชนิดนี้ว่า "ลูกปัดลมสินค้า" (Trade-Wind Beads) เพราะพบตามเมืองท่าที่มีการติดต่อกันทางทะเลที่อาศัยลมสินค้าเป็นสำคัญในการเดินเรือ แต่นายปีเตอร์ ฟรานซิส (Peter Francis, Jr.) ตั้งชื่อเรียกใหม่ให้สอดคล้องกันตามภูมิภาคที่ว่า "ลูกปัดแบบอินโด-แปซิฟิก" (Indo-Pacific Beads) คืออยู่ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย และฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ลูกปัดแก้วสีเดียวส่วนใหญ่จะพบร่วมกับลูกปัดหินคาร์เนเลียนและอาเกต ที่มีแหล่งผลิตในอินเดีย ในประเทศไทยพบตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย จึงสันนิษฐานว่าลูกปัดแก้วเหล่านี้ในช่วงแรกคงถูกนำเข้ามาจากแหล่งผลิตในประเทศอินเดียทั้งทางภาคเหนือและภาคได้ ต่อมาช่วงต้นคริสตกาล จึงเกิดมีแหล่งผลิตลูกปัดแก้วของชาวพื้นเมืองในบริเวณดาบสมุทรมลาย แหล่งผลิตสำคัญ ๆ ที่นักโบราณคดีค้นพบแล้ว คือแหล่งโบราณคดีควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ แหล่งโบราณคดีกัมปงสไงลัง (Kampong Sugai Lang) แหล่งโบราณคดีกัวลาเซลินซิง (Kuala Selinsing) ในประเทศมาเลเซีย และแหล่งโบราณคดีซันลิบาร์ (Sunlibar) บนเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย 
              - ลูกปัดแก้วหลายสี (Polychrome Beads) เป็นลูกปัดที่มีหลายสีในเม็ดเดียวกัน ส่วนใหญ่ทำด้วยเทคนิคโมเสก (Mosaic Beads) ลูกปัดแก้วหลายสี โดยเฉพาะลูกปัดมีตา มีแหล่งผลิตอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในอาณาจักรกรีก อาณาจักรโรมัน รวมทั้งอาณาจักรเปอร์เซีย ตั้งแต่ช่วง ๘๐๐ ปีก่อนตริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑ สำหรับลูกปัดมีตาเป็นลูกปัดแก้วสีที่มีเทคนิคการผลิตที่ซับช้อน รูปดวงตาที่มีเส้นวงแหวนล้อมรอบโดยใช้แก้วหลายสี เช่น มีตาสีฟ้า ๗ ดวง แต่ละดวงมีเส้นวงกลมสีขาว และน้ำตาลล้อมรอบ หรือทำเป็นรูปตาเป็นคู่ ๆ กระจายไปรอบลูกปัด ถ้าทำเป็นลูกปัดตาเดียวก็มีจำนวนตั้งแต่ ๓-๗ ดวง ลูกปัดมีตาที่เก่าแก่ที่สุดพบในอนาโตเลีย (ตุรกี) อียิปต์และปาเลสไตน์ ในช่วง ๑,๐๐๐-๘๐๐ ปีก่อนคริสตกาล และพบว่าแพร่กระจายอยู่แถบเมติเตอร์เรเนียนในช่วง ๘๐๐-๔๐๐ ปีก่อนดริสกาล และยังพบที่เกาะคอร์ซิกา เกาะไซปรัส สุสานของกษัตริย์อีทรูสกัน และในอิตาลีในประเทศอินเดียพบลูกปัดตารุ่นแรกที่ตักษิลามีอายุราว ๕๐๐-๔๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เป็นลูกปัดตาสีฟ้าม่วงหรือเขียวอ่อนตั้งแต่ ๕-๗ ดวง แต่ละดวงมีเส้นวงกลมล้อมรอบเป็นเส้นสีน้ำตาล และขาวสลับกัน เป็นรูปแบบที่แพร่หลายอยู่ในแถบเมติเตอร์เรเนียน (ในอาณาจักรกรึกและโรมัน) และในอาณาจักรเปอร์เชียจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑ (พุทธศตวรรษที่ ๖) นอกจากตักษิลาแล้วในอินเดียยังพบมากที่เมืองอุชเชน และเมืองโบราณในภาคเหนือ และภาคกลางของอินเดีย เช่น เมืองศราวัสติ โกศามพี พาราณสี อหิจฉัตร โกณทิณยะประ โดยจะพบมากในสมัยราชวงศ์โมริยะปกครองอินเดีย (๓๐๐-๒๐๐ ปีก่อนคริสตาล) ซึ่งแสดงถึงการติดต่อทางการค้ากับต่างชาติในสมัยนี้โดยเฉพาะกับเปอร์เซีย อย่างไรก็ตามลูกปิดมีตาได้พบแพร่หลายอยู่ในอินเดีย ภาคเหนือ และภาคกลาง ตั้งแต่ช่วง ๓๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรรษที่ ๑ หรือพุทธศตวรรษที่ ๒-๕ สำหรับแหล่งที่มาลูกปัดมีดมีตาที่พบในอินเดียนี้ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ ดิกชิต (Dikshit) สันนิษฐานว่า คงจะมาจากแหล่งผลิตในอนาโตเลีย (ตุรกี) อียิปต์และปาเลสไตน์ สำหรับในประเทศไทยลูกปัดมีตานี้พบมากที่แหลมโพธิ์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และควนลูกปัด อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ส่วนลูกปัดรูปแบบอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มนี้ที่สำคัญ เช่น ลูกปัดแก้วมีริ้ว (Striped Bead) มีสีต่าง ๆ เช่น ดำ ขาว แดง และฟ้า ลูกปัดติดต่อกันหลายเม็ด (Segment Bead) บางครั้งมีการเคลือบทองด้านใน (Gold Glass Bead) ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "อำพันทอง" สำหรับลูกปัดแก้วหลายสีที่พบที่แหล่งโบราณคดีทุ่งตึกแห่งนี้ ทั้งจากที่ขุดพบรวมทั้งที่อยู่ในความครอบครองของเอกชนสามารถกล่าวได้ว่า แหล่งโบราณคดีแห่งนี้พบลูกปัดแก้วหลายสีที่มาก และสวยที่สุดในประเทศไทย ลูกปัดเหล่านี้น่าจะถูกนำเข้ามาจากตะวันออกกลางพร้อม ๆ กับภาชนะแก้วและเครื่องถ้วยเปอร์เชีย ลูกปัดกลุ่มนี้แม้จะสืบย้อนอายุไปได้ไกลมากถึงอายุประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกปัดที่พบที่ทุ่งตึกกลุ่มนี้จะมีอายุเก่าแก่มากถึงเพียงนั้น เนื่องจากลูกปัดเหล่านี้อยู่ในความนิยมผลิตต่อเนื่องมาโดยตลอดจนมาถึงปัจจุบันก็ว่าได้ และอีกประการหนึ่งสิ่งของที่เป็นเครื่องประดับจะมีการตกทอดใช้ต่อกันมาอย่างยาวนาน ดังนั้นจึงไม่สามารถนำลูกปัดมาใช้กำหนดอายุแหล่งโบราณคดีแต่เพียงอย่างเดียวได้ จะต้องกำหนดอายุรวมกับโบราณวัตถุที่พบอื่น ๆ อย่างละเอียด อย่างไรก็ตามลูกปัดคือหลักฐานที่สามารถอธิบายเชื่อมโยงความสัมพันธ์การติดต่อค้าขาย หรือการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี และเป็นสิ่งยืนยันว่าทุ่งตึกเป็นเมืองท่าการค้าที่มีการติดต่อกับดินแดนภายนอกโพ้นทะเลอย่างกว้างขวาง


ภาพจาก : https://link.psu.th/wy1vHa

               ๒.๒ ภาชนะแก้ว
                      ภาชนะแก้ว มื่อประมาณ ๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีการใช้แก้วอยู่ในรูปของน้ำยาเคลือบ ที่ทาบนลูกปัดหินหรือดินเผาในรูปต่าง ๆ เครื่องปั้นดินเผาที่มีการเคลือบสีนั้น น้ำเคลือบสีก็ถือเป็นแก้วเช่นกัน เมื่อประมาณ ๔,๕๐๐ ปีมาแล้ว มีการผลิตวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ที่เป็นตัวแก้วล้วนในประเทศอียิปต์ประมาณ ๑,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นก็มีการผลิตภาชนะแก้วขึ้นทั้งในอียิปต์และเมโสโปเตเมีย ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครรับอิทธิพลจากใคร ในการผลิตหรืออาจจะมาจากแหล่งที่สามคือประเทศซีเรีย ภาชนะที่ทำด้วยแก้วที่มีอายุเก่าแก่มากคือที่ได้จากหลุมฝังศพของ Thutmose (ปกครอง ๑๕๐๗-๑๔๗๙ ก่อนศริสต์ศักราช) ในประเทศอียิปต์ ตัวภาชนะเป็นแก้วน้ำเงินมีเส้นแก้วสีเหลืองประดับโดยรอบ วิธีการทำเป็นแบบ Modeled Refractory Cores กล่าวคือนำวัตถุทนไฟ เช่น ดินเหนียวปนทรายมาปั้นเป็นรูป แล้วนำไปติดที่ปลายแท่งเหล็กแล้วนำไปจุ่มน้ำ แก้วที่หลอมจนเหลวและยกขึ้นมาน้ำแก้วจะติดที่ตัวดินเหนียวที่ยกขึ้นมา พอเย็นแก้วแข็งตัวแล้วจึงคุ้ยดินเหนียวปนทรายออกจากภาชนะแก้วประมาณ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว การผลิตแก้วในอียิปต์ได้ลดลงและได้หยุดไปในศตวรรษต่อมา ต่อมาการผลิตแก้วในเมโสโปเตเมียก็ได้พัฒนาถึงขั้นสูงในสมัยการปกครองของ Sargon II (๗๒๑-๗๐๕ ก่อน
ศริสต์ศักราช) เทคนิคใหม่ในการผลิตแทน Core Technique ได้เกิดขึ้นในเวลาต่อมา เช่น การนำเศษแก้วมาหลอมและแต่งรูปแบบโดยหมุนบนเครื่องกลึงกับวัตถุที่หยาบ เช่น ในการเจียระไนพลอย การคิดริเริ่มวิธีนี้เป็นจุดเริ่มของประเพณีเจียระไนพลอยที่ทำด้วยแก้ว การตัดแก้วก็ได้ค่อย ๆ พัฒนาในเมโสโปเตเมีย ซีเรีย เปอร์เซีย และจบลงด้วยผลงานอันประณีตในสมัยโรมันและอิสลามในเมืองอเลกซานเดรีย ประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว มีการหลอมแก้วใส่แม่พิมพ์ และตัวภาชนะสามารถนำมาตัด ขัด สลัก หรือทำเป็นลวดลายหลาย ๆ สี ในเวลาเดียวกันตามชายฝั่งทะเลของชีเรีย ตามบันทึกของนักเขียนสมัยโบราณ Pliny และ Josephus ว่าที่ซีเรียมีทรายบริสุทธิ์อยู่มาก ตามเมืองต่าง ๆ ในชีเรียได้ผลิตภาชนะแก้ว (Core Technique) ไม่แพ้ของอียิปต์ทีเดียว ผลผลิตเห็นได้จากขวดแก้วเล็ก ๆ ที่ใช้ใส่น้ำหอม หรือของอื่น ๆ ตามที่พบในตลาดสมัยโบราณหลายแห่งตามแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีเมืองไทร์และไซดอน เป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้ริเริ่มการเป่าแก้วครั้งสมัยตอนปลายของศตวรรษที่หนึ่งก่อนศริสต์ศตวรรษ การค้นพบเทคนิคใหม่ ๆ นี้อาจจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือเป็นการพัฒนาอย่างจงใจ โดยเฉพาะในสมัยที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิด การเป่าแก้วทำให้เกิดการพัฒนาการทางด้านเทคนิค เช่น เบ้าหลอมและเตาขนาดใหญ่ การเป่าแก้วได้อำนวยให้เกิดการผลิตอย่างรวดเร็วของภาชนะที่มีลักษณะบาง และมีหลากหลายรูปแบบ ตามความต้องการของช่างเป่าแก้ว นอกจากนี้ก็มีการเป่าแก้วเข้าไปในแม่พิมพ์ ที่ประกบกันสองชิ้นซึ่งเป็นจุดเริ่มของการผลิตขนาดใหญ่ของภาชนะ ที่มีรูปแบบเหมือนกันในสมัยอิสลามตอนต้น (คริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๒) มีการผลิตแก้วใสที่ไม่มีสีและมีรูปแบบที่ซับช้อนกว่าสมัยก่อน ๆ มีการใส่ลวดลาย Arabesques รวมทั้งรูปสัตว์ตามความนิยมของเปอร์เซียในเมืองดามัสกัสและไคโร มีการผลิตที่มีลวดลายทีซับซ้อนและเป็นสีเดียวกัน โดยมีการใส่ Silver Salt ปนเข้าไปก่อนเพื่อให้ผลออกมาเป็นสีโลหะ (Metallic) ที่มันและเป็นเงา แหล่งโบราณทุ่งตึกพบเศษแก้วชิ้นเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก แก้วเหล่านี้อาจนำเข้ามาจากตะวันออกกลางหรือโรมันในบรรดาเศษแก้วที่พบนั้น มีขวดแก้วขนาดเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก ขวดแก้วเล็ก ๆ นี้น่าจะนำเข้ามาจากชีเรียเนื่องจากซีเรียเป็นแหล่งผลิตขวดแก้วเล็ก ๆ ที่ใช้ใส่น้ำหอมหรือยา ซึ่งพบตามตลาดหรือเมืองท่าสมัยโบราณหลายแห่ง 
            ๓. โบราณวัตถุประเภทโลหะ
              ๓.๑ ชิ้นส่วนประติมากรรม พบพระหัตถ์ขวาสำริดถือลูกประดำฝีมือช่างสูงมาก การจีบนิ้วทำได้อย่างประณีตอ่อนช้อยงดงาม เชื่อว่าเป็นพระหัตถ์พระโพธิสัตว์ ซึ่งอาจจะเป็นขององค์ใดองค์หนึ่งในสมัยศรัวิชัยเคยพบมาแล้วก็เป็นได้ โดยเฉพาะที่ไชยาซึ่งมีอายุอยู่ร่วมสมัยกับแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก แหล่งโบราณคดีแห่งนี้นอกจากพบเทวรูปในศาสนาฮินดู เช่น พระคเณศวรแล้วยังพบพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพิมพ์ดินเผา แสดงให้เห็นว่าชุมชนโบราณทุ่งตึกมีการเข้ามาของกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอย่างหลากหลายทั้งพุทธนิกายหินยาน และมหายาน ศาสนาฮินดู อาจรวมไปถึงกลุ่มคนที่นับถือศาสนาอิสลามด้วย ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าน่าจะมีพ่อค้าเข้ามาหลายกลุ่มและหลายพื้นที่ในเวลาเดียวกัน
               ๓.๒ เครื่องใช้เครื่องประดับเครื่องประดับพบแหวนทองคำขนาดเล็ก (๐.๙ เซนติเมตร) อาจใช้สำหรับประดับเทวรูป ชิ้นส่วนเครื่องประดับทองคำ ลักษณะคล้ายเป็นสลัก และแหวนสำริด ฝาครอบ ภาชนะสำริด และตะปูเหล็ก เป็นต้น


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
เมืองโบราณบ้านทุ่งตึก
ที่อยู่
บ้านทุ่งตึก หมู่ที่ ๓ ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
จังหวัด
พังงา


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

กรมศิลปากร สำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต. (2550). ทุ่งตึก : เมืองท่าการค้าโบราณ. สำนักศิลปากรที่ ๑๕ ภูเก็ต กรมศิลปากร .
โบราณสถาน บ้านทุ่งตึก. (ม.ป.ป.). สืบค้น 12 ก.ย. 68, จาก https://kohkhokhao.go.th/public/list/data/detail/id/1758/menu/1619


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025