วังหนองจิก
 
Back    20/05/2025, 11:23    2  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ภาพจาก : https://link.psu.th/4H7tjZ

          เมืองหนองจิกในสมัยตุวันกะจิเป็นเจ้าเมือง ได้ตั้งเมืองอยู่ที่ตำบลคลองใหม่ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ต่อมาพระยาวิเชียรภักดีสงคราม (เกลี้ยง)  เป็นพระยาเมืองหนองจิก จึงได้ย้ายเมืองหนองจิกมาตั้งที่ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้มีการสร้างแต่อย่างใด แม้แต่ในสมัยพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ (มิ่ง โรจนะหัสดินทร์) ขุนพิทักษ์เขตต์บิน (กิ่ง ณ สงขลา) หรือสมัยพระยามุจลินทร์สราภิธานนคโรปการสุนทรกิจมหิศรราชภักดี (ทัด ณสงขลา) พระยาเมืองหนองจิก ก็ไม่ได้มีการสร้างวังขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงสมัยพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์วาปีเขตต์มุจลินทร์นฤบดินทร์สวามิภักดิ์ (พ่วง ณ สงขลา) พระยาหนองจิกคนสุดท้ายจึงได้มีการสร้างวังหนองจิกขึ้นมา
          พระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์วาปีเขตต์มุจลินทร์นฤบดินทร์สวามิภักดิ์ (พ่วง ณ สงขลา) เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๘ เป็นบุตรพระยาวิเชียรคีรีฯ (ชุม ณ สงขลา) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา มีมารดาชื่อกิมอิด ณ สงขลา เดิมท่านฝึกราชการอยู่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาในตำแหน่งมหาดเล็กรายงาน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๓๑ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอุดมภักดี ตำหน่งผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาอยู่ระยะหนึ่ง จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ตำแหน่งพระยาเมืองหนองจิก ว่างลงหลวงอุดมภักดีจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์วาปีเขตต์มุจลินทร์นฤบดินทร์สวามิภักดิ์ ปกครองเมืองหนองจิก กล่าวกันว่าเมื่อแรกที่พระยาเพชราภิบาสนฤเบศร์ฯ มาเป็นพระยาเมืองหนองจิกนั้นตาขุนโหร ซึ่งเป็นโหรประจำเมืองสงชลาได้ตามมาส่งด้วย และได้ใช้ไม้ปักไว้ที่บริเวณแห่งหนึ่ง (ที่ตั้งของวังหนองจิกปัจจุบัน) พร้อมทั้งแนะนำให้สร้างวังสำหรับเป็นที่อยู่ของพระยาเมืองหนองจิก ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหนองจิกนั้นพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ ได้รับราชการด้วยความซื่อสัตย์ตลอดมา อีกทั้งยังมีบทบาทในการลดความชัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับเจ้าเมืองปัตตานี (ตนกูอับดุล กอร์เดฆ์ ในการปฏิรูปการปกครองบริเวณ ๗ หัวเมือง โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการออกไปชี้แจง ปรับความเข้าใจกับเจ้าเมืองใน ๖ หัวเมือง ให้ยินยอมลงนามปฏิบัติตามเงื่อนไขของรัฐบาล เมื่อรัฐบาลจัดตั้งมณฑลปัตตานีซึ่งประกอบด้วยเมืองปัตตานี สายบุรี ยะลาและนราธิวาส เมืองหนองจิกจึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปัตตานี โดยท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรมการเมืองปัตตานี ด้วยเหตุนี้วังหนองจิกจึงลดความสำคัญลงเป็นเพียงที่อยู่อาศัยของท่าน จนกระทั่งถึงแก่กรรมด้วยโรครรา ในปี พ.ศ. ๒๔๕๔  เชื้อสายของพระยาเพชราภิบารนศร์ฯ ในรุ่นต่อมามีมามีมากมายที่แยกย้ายไปประกอบอาชีพและมีครอบครัวอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ส่วนหนึ่งได้ดำเนินตามรอยบรรพบุรุษด้วยการรับใช้ชาติบ้านเมืองด้วยความชื่อสัตย์สุจริต จนมีชื่อเสียงโด่งดังดังเป็นที่ยกย่องซองชาวไทย เช่น หลวงจรูญบุรกิจ (จรูญ ณ สงขลา) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นต้น

      การใช้พื้นที่ภายในวังพระยาหนองจิก
        การเดินทางไปวังหนองจิก ไปตามถนนสายปัตตานี-หาดใหญ่ เมื่อถึงวัดมุจลินทวาปีวิหาร ตรงไปจนกระทั่งถึงที่ว่าการอำเภอหนองจิก เลี้ยวขวาเข้าถนนหน้าวังไป ประมาณ ๑๐๐ เมตร จะมองเห็นกำแพงวังอยู่ติดถนนด้านช้าย และมีทางเดินเข้าไปในตัววัง โดยผ่านประตูกำแพงวังซึ่งเก่าและทรุดโทรมมาก ภายในตัววังร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้หลายชนิด พื้นที่ของวังในอดีตมีประมาณ ๔๕ ไร่ ตั้งแต่สวนมะพร้าวตลอดไปจนถึงบริเวณถนนโคกจันทร์ แต่ในปัจจุบันเหลือพื้นที่เฉพาะบริเวณตัววัง คือจากกำแพงวังเข้ามาถึงตัวอาคาร ภายในกำแพงวังประมาณ ๑ ไร่ครึ่ง โดยแบ่งให้เครือญาติและบางส่วนได้ชายไปเนื่องจากไม่มีผู้ดูแล ลูกหลานส่วนใหญ่มีครอบครัวและย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐานในกรุงเทพมหานคร ภายในบริเวณวังหนองจิก มีอาคาร ๓ หลัง ประกอบด้วย

๑. ตำหนักรับรองแขกเมือง และที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองหนองจิก
    ตำหนักรับรองแขกเมืองและที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองหนองจิก เป็นเรือนหลังใหญ่ ๒ ชั้น ตั้งอยู่ตรงกลางของพื้นที่ภายในวัง โดยมีการจัดพื้นที่เพื่อ
ประโยชน์ในการใช้สอยออกเป็น ๒ ส่วน ประกอบด้วย
๑.๑ ชั้นบนเป็นพื้นไม้ยาง มีหน้ามุขยื่นออกไปเป็นระเบียงและทำลูกกรงกั้นใช้เป็นห้องนอนของเจ้าเมืองหนองจิก และรับรองแขกเมืองที่มาพัก เช่น สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรม พระยาดำรงราชานุภาพ และเจ้าพระยายมราช ในคราวเสด็จตรวจราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ เจ้าเมืองปัตตานี (ตนกูอับดุลกอร์เดร์) ซึ่งได้ติดต่อกับพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ อยู่เสมอ และมาพักที่วังหนองจิกนี้ครั้งละหลายวัน 
๑.๒ ชั้นล่างเป็นห้องโถงโล่งขนาดใหญ่ ก่ออิฐถือปูน มีบันไดขึ้นทั้ง ๔ ด้าน ลักษณะบันไดปูด้วยอิฐหน้าวัว มีขนาดกว้างและยาวด้านละ ๓๐ เซนติ เมตร มีทั้งหมด ๕ ขั้น พื้นที่ชั้นล่างใช้เป็นที่ต้อนรับแขกเมือหรือออกว่าราชการ ตลอดถึงตัดสินคดีความที่ชาวเมืองมาร้องทุกข์ 
๒. เรือนพักอาศัยของเครือญาติ
     เรือนพักอาศัยของเครือญาติ อยู่ทางทิศตะวันตกตลอดไปทางทิศใต้ และจากทิศใต้ไปทางทิศตะวันออก ยาวต่อกันเป็นรูปตัวแอล เนื่องจากพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ มีบุตรธิดาหลายคน สภาพความเป็นอยู่ในวังจึงเป็นครอบครัวใหญ่ โดยมีพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ เป็นหัวหน้าครอบครัวปกครองดูแลบรรดาญาติ และคนใช้ทั้งหมด เล่ากันว่าในครั้งนั้นพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ เลี้ยงม้าและวัวไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีนายชื่น ณ สงขลา ผู้เป็นพี่ร่วมมารดาเดียวกันเป็นผู้ดูแล แต่ภายหลังเมื่อนายชื่น ณ สงขลา เสียสติและถึงแก่กรรม ม้าและวัวขาดผู้ดูแล จึงสูญหายไปหมด 
๓. เรือนครัว
     เรือนครัว อยู่ทางทิศเหนือแยกออกจากเรือนพักและตำหนักรับรอง เรือนครัวเป็นฝ่ายทำอาหารและแจกจ่ายไปยังเรือนพักญาติพี่น้องที่มีบ้านอยู่นอกกำแพงวัง สามารถนำภาชนะมารับอาหารตามเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตามเรือนครัวและเรือนพักต่างหันหน้าเข้าหาตำหนักรับรอง หรือมีตำหนักรับรองเป็นศูนย์กลางนั่นเอง เรือนครัวนี้มีบันไดทางขึ้น ๓-๔ ขั้น ไม่ปรากฎแน่ชัดเนื่องจากปัจจุบันเรือนนี้ผุพังและได้ทำการรื้อถอนไปแล้ว โดยย้ายครัวเข้ามาอยู่ในเรือนพัก เพื่อสะดวกแก่ลูกหลานที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน 

           บริเวณติดกับเรือนพักและเรือนครัวมีบ่อน้ำ ๒ บ่ออยู่ติดกัน บ่อทางทิศใต้เป็นบ่อรูปสี่เหลี่ยมก่ออิฐฉาบปูนสูงกว่าพื้นประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ถัดไปทางทิศเหนือจากบ่อสี่เหลี่ยมประมาณ ๒ ก้าว เป็นบ่อรูปวงรีสูงจากพื้นที่เทปูนประมาณ ๖๐ เซ็นติเมตร บริเวณทางเข้าห้องอาบน้ำมีลักษณะเป็นกำแพง ๒ ด้านตรงกลางเป็นทางเดินสำหรับเข้ามาอาบน้ำ ไม่ปรากฏว่ามีประตู สันนิษฐานว่าประตูอาจทรุดโทรมและได้ทำการรื้อถอนออกไปแล้ว


ภาพจาก : https://link.psu.th/4H7tjZ


      รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังหนองจิก
            วังหนองจิกสร้างโดยช่างชื่อนายอินทร์ ศิริสวัสดิ์ ตัววังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงทึบ ก่ออิฐถือปูน ใช้สถาบัตยกรรมจีนและไทยผสมผสานกัน ทั้งนี้เพราะพระยาเพชราภิบาลนถุเบศร์ฯ มีเชื้อสายชาวจีน ตำหนักรับรองแขกเมืองมีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า นอกจากนี้ยังมีทางเดินเชื่อมต่อกันไปยังเรือนพักอาศัยของเครือญาติ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้และเรือนครัวอยู่ทางทิศตะวันตก ต่อมาได้มีการซ่อมแชมตัวอาคารที่พักอาศัยในส่วนที่ชำรุดทำให้โครงสร้างและองค์ประกอบของตัวอาคาร จึงผสมผสานระหว่างวัสดุเก่ากับวัสดุใหม่ ซึ่งมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้

๑. กำแพงวัง
     กำแพงวัง สร้างแบบชั้นเดียวโดยก่ออิฐถือปูนสูงประมาณ ๒ เมตร ๕๐ เซนติแมตร ใช้อิฐรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบันเรียงตามความยาวของอิฐจากนั้นใช้ปูนชีเมนต์โบกทับอีกชั้นครั้ง

๒. ประตูเข้าวัง
     ประตูเข้าวัง มีทั้งหมด ๔ ประตู  ประกอบด้วย ประตูทิศตะวันออกด้านละ ๑ ประตู คือด้านช้ายและด้านขวาอยู่ห่างกันประมาณ ๔ เมตร ประตูทิศใต้ ๑ ประตู และประตูทางทิศเหนือ ๑ ประตู ในปัจจุบันเหลือเพียงประตูทางทิศตะวันออก ๒ ประตู เนื่องจากเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ทำให้กำแพงวังทางด้านทิศใต้พังลงมาเหลือเพียงซากกำแพงบางส่วนเท่านั้น สำหรับกำแพงทางทิศเหนือของซุ้มประตูพังลงมาเหลือเป็นช่องประตู การก่อซุ้มประตูก่อเป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว โดยมีฐานอิฐรองรับ ๓ ชั้น ก่ออิฐถือปูนลงมาเชื่อมกับประตู และเสาประตู ซึ่งเป็นเสาขนาดกว้างประมาณ  ๓๐ เซนติเมตร กรอบประตูชั้นในซึ่งทำจากไม้ม้ปัจจุบันผุพังไปตามกาลเวลา

๓. ฐานเสา
     ฐานเสาเรือนพักมีฐานเสากลางก่อธิฐถือปูจำนวน ๑ เสา ส่วนฐานเสาอื่น ๆ เป็นเสาปูนและเสาไม้ชนาดต่างกัน มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและทรงกลมรองรับตัวเรือนไว้อย่างแน่นหนา ฐานเสากลางของเรือนพักนี้มีขนาดกว้างประมาณ ๕๐ เซนติเมตร เป็นฐานรองรับคาน และต่อขึ้นไปในตัวเรือนพักเชื่อมต่อกับหลังคา ส่วนที่เป็นฐานรองรับข้างล่างนั้นมีรอยปูนชีเมนต์ ที่ฉาบไว้หลุดออกมองเห็นลักษณะการเรียงอิฐ ส่วนที่ต่อขึ้นไปในตัวเรือนยังไม่ทรุดโทรมเนื่องจากบริเวณส่วนล่าง 

๔. บันได
     บันไดของเรือนรับรองเป็นบันไดที่ก่ออิฐถือปูนปู กว้างและยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร หนาประมาณ ๒ เซนติเมตร อิฐแต่ละแผ่นรองรับด้วยอิฐขนาดเล็กกว่า มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า บันไดทั้ง ๔ ด้าน มี ๕ ขั้น แต่ปัจจุบันเหลือให้เห็นชากปรากฏอยู่เพียงด้านเดียว ส่วนบันไดของเรือนครัวกับบันไดของตำหนักรับรองมีการเรียงอิฐเหมือนกันคือเรียงตามความยาวของอิฐ ลักษณะบันไดของเรือนพักเป็นบันไดคู่ บันไดแต่ละข้างมี ๖ ชั้น มีลักษณะก่ออิฐถือปูน ราวบันไดโค้งเข้าหากัน เดิมด้านในของราวบันไดเป็นลายมังกรแต่เนื่องจากทรุดโทรมมาก จึงมีการซ่อมแซมโดยขูดรูปลายมังกรออกและฉาบปูนทับไว้ทำให้มองไม่เห็นลวดลาย สันนิษฐานว่าลักษณะการวางอิฐได้รับอิทธิพลจากสถาบัตยกรรมจีน นอกจากนี้ยังมีบันไดทางเรือนพักทิศตะวันตกอีก ๑ บันได เป็นบันไดขึ้นทางนอกชานเป็นลูกกรงยื่นออกมา บันไดมีลักษณะก่ออิฐถือปูนเช่นกันและได้มีการซ่อมแซมเช่นเดียวกับบันไดทางทิศเหนือ

๕. พื้นวัง
     พื้นวังจะปูด้วยอิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบัน ส่วนพื้นเรืยนพักเป็นพื้นไม้เนื้อแข็ง เรือนพักทางทิศตะวันตกปูพื้นด้วยไม้ตลอด ส่วนพื้นเรือนพักด้านใต้ปูด้วยไม้ส่วนหนึ่ง และยกระดับสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณ ๑ ฟุต เป็นห้องพักของเครือญาติเจ้าเมือง
๖. ประตู
     ประตูเป็นประตูเปิดคู่โดยกรอบประตูเป็นไม้ ช่วงบานประตูเป็นสายปูนปั้นรูปโค้งมน ซึ่งเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมจีน สำหรับบานประตูทำด้วยไม้สูงประมาณาณ ๒ เมตร ปัจจุบันบานประตูชำรุดเจ้าของวังจึงโบกปูนทับเป็นผนังวังจำนวน ๑ ประตู บานประตูคู่นี้เป็นบานประตูเปิดเข้าด้านในห้องต่าง ๆ ได้ ส่วนประตูทางเข้าตัววังที่อยู่ถัดจากบันไดทางขึ้นตัววังนั้น ปัจจุบันได้มีการซ่อมแชมเนื่องจากเดิมส่วนนั้นเป็นลูกกรงยื่นออกมา และปรับให้เป็นผนังหรือฝาบ้าน ซึ่งทำด้วยไม้เพื่อป้องกันขโมยจึงได้ทำประตูและบันไดไว้ทั้ง ๒ ด้าน
๗. หน้าต่าง
     หน้าต่างเป็นหน้าต่างที่ไม่มีลวดลาย เดิมมีลักษณะเป็นลูกกรงเหล็กเป็นซี่ยาวจากบนลงล่าง กรอบหน้าต่างเป็นกรอบไม้ และหน้าต่างบางบานได้ชำรุดทรุดทรครมลงไปมาก จึงได้ทำการเปลี่ยนรูปแบบหน้าต่างเป็นบานคู่ทำด้วยไม้ ส่วนกรอบหน้าต่างยังคงเป็นกรอบไม้เหมือนเดิม
๘. ฝาผนัง
     ฝาผนังสำหรับฝ่าผนังตัวเรือนพักด้านใต้เป็นผนังปูนเก่าชีกหนึ่ง อีกชีกหนึ่งโบกปูนทับใหม่ ซ่อมแชมโดยใช้ไม้ตีเป็นฝ่าผนัง สำหรับทางทิศตะวันตก ฝาผนังเป็นไม้ทั้งหมด บางด้านชำรุดจึงซ่อมแซมใหม่ โดยใช้แผ่นกระเบื้องเรียบแทนวัสดุเดิม ส่วนฝ่าผนังทางด้านทิศตะวันตก เจ้าของวังใช้สังกะลีกั้นแทนวัสดุเดิมคือไม้
๙. หลังคา
     หลังคาของวังหนองจิกเป็นรูปทรงปั้นหยา ใช้ไม้เป็นโครงหลังคาและมุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ หลังคาซ้อนทับกัน ๒ ชั้น สันหลังคาก่ออิฐถือปูนตลอดเป็นแนวยาว บริเวณหลังคาชั้นล่างบางส่วนชำรุด เจ้าของวังจึงทำหลังคาขึ้นใหม่โดยใช้ไม้ระแนงเป็นโครงหลังคามุงด้วยสังกะสี
๑๐. ช่องระบายอากาศ
       ในตัววังหนองจิกมีช่องระบายอากาศไม่มากนัก เพราะมีประตูและหน้าต่างเป็นจำนวนมากแล้ว อากาศระบายได้สะดวก ช่องระบายอากาศส่วนใหญ่จะเป็นลูกกรงไม้ตีเว้นช่องว่างให้ลมสามารถผ่านได้ ลูกกรงนี้อยู่เหนือหรือเป็นส่วนนบนสุดของฝาผนังเชื่อมต่อกับหลังคาการตีลูกกรง ปรากภูอยูเกือบตลอดตัววัง นอกจากนี้ยังมีลวดลายอีกแบบหนึ่งของของช่องของช่องระบายอากาศ มีลักษณะเป็นรูปแปดเหลี่ยม ตรงกลางเป็นช่องระบายอากาศ

            ต่อมาได้มีการรื้อถอนเรือนรับรองไปตั้งแต่ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒  คงเหลือแต่เนินดิน ลูกหลานในรุ่นหลังได้สร้างศาลพระภูมิขึ้นแทน ส่วนเรือนครัวก็ปรักหักพัง คงเหลือเพียงบันไดไม่กี่ขั้น ด้วยเหตุนี้การทำครัวจึงย้ายมาทำภายในเรือนพัก เพื่อความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในปัจจุบัน
 

     สิ่งของเครื่องใช้ในวังหนองจิก
          
สิ่งของเครื่องใช้ในวังหนองจิก การที่วังหนองจิกเป็นที่อยู่ที่ว่าการราชการของเจ้าเมืองในอดีต มีบุตรภรรยาและญาติอาศัยอยู่ในวังมาก ดังนั้นสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงมีจำนวนมากพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของและเครื่องใช้เหล่านี้ได้กระจัดกระจายอยู่ตามบ้านเครือญาติของพระยาหนองจิกส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือยังอยู่ในความครอบครองของลูกหลานที่อาศัยอยู่ภายในวัง ซึ่งมีอยู่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น ประกอบด้วย 

๑. จานเชิง มีลวดลายดอกไม้บริเวณรอบนอกและฐานของจาน ตรงกลางจานมีรูปวงกลมลายดอกไม้เป็นลวดลายแบบจีน จานเชิงนี้เป็นจานสำหรับใส่อาหาร แต่ในปัจจุบันใช้สำหรับตั้งเทียน
๒. ขันทองเหลืองพร้อมฝาครอบ ไม่มีสวดลายใด ๆ แต่ฝาครอบนั้นมีสวดลายทำเป็นรูปดอกไม้ประณีตงดงามใช้สำหรับใส่ข้าวรับประทาน
๓. พานรอง ๑ คู่ เป็นพานทองเหลืองมีลวดลายสลักเป็นรูปดอกไม้บริเวณฐานพาน และส่วนบนของพานมีลวดลายที่ประณีตตสวยงามทั้งคู่ ใช้สำหรับรองขับทองเหลือง
๔. กะทะทองเหลือง ไม่มีลวดลายใด ๆ ใช้สำหรับทำอาหาร
๕. โถใส่ข้าว สีขาว เป็นศิลปกรรมจีน ใช้สำหรับใส่ข้าว 
๖. ปืนใหญ่ ตั้งอยู่หน้าศาลพระภูมิทันหน้าออกสู่ประตูหรือกำแพงวัง เป็นปืนใหญ่ขนาดเล็ก ตั้งอยู่บนแท่น ๓ ระดับ ลดหลั่นลงมาจากบนที่สุดลงมาสู่ฐานล่างซึ่งเป็นฐานที่ก่ออิฐถือปูน 
๗. ครกตำหมาก ทำมาจากวัสดุ ๒ ชนิด คือหินและทองเหลือง ครกที่ทำด้วยหินมีขนาดเล็กกว่าครก ซึ่งทำด้วยทองเหลือง สำหรับครกทองเหลืองใช้สำหรับรับรับรองแขก ส่วนครกหินใช้ภายในวัง
อ่างเลี้ยงบัว มีลวดลายต้นไม้และนกรอบตัวอ่างเป็นลายนูนต่ำ ขอบอ่างกว้างประมาณ ๖๐ เซนติเมตร เป็นอ่างรูปทรงครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ ใช้สำหรับเลี้ยงบัว

            หลังจากพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว วังหนองจิกก็ขาดผู้ดูแลด้วยเหตุเครือญาติต่างก็แยกย้ายไปอยู่ที่อื่น สภาพของวังค่อนข้างทรุดโทรมมาก จะเห็นได้ว่าวังหนองจิกสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าพระยาเพชราภิบาลนฤเบศร์ฯ ในขณะเดียวกันใช้เป็นสถานที่ว่าราชการและรับแขกเมือง ด้วยเหตุนี้วังหนองจิก จึงมีความสำคัญในฐานะศูนย์อำนาจของท้องถิ่น สถาปัตยกรรม และสิ่งของเครื่องใช้ กายในวังล้วนสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศิลปะไทยและจีน ที่ถูกนำมาผสมกลมกลืนกัน วังดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์แห่งเมืองหนองจิก ที่มีคุณค่าต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นนี้ ซึ่งทิ้งร่องรอยให้ปรากฎแก่สายตาของคนทั่วไปอีกทั้งยังรอคอยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่เป็นอนุสรณ์ และเป็นความภาคภูมิใจของชาวหนองจิกสืบไป


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วังหนองจิก
ที่อยู่
หมู่ที่ ๒ ตำบลตุยง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี
จังหวัด
ปัตตานี


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025