ปืนใหญ่โบราณเมืองตรัง
 
Back    06/12/2024, 15:32    453  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ภาพจาก : Suntaree Sungayut เล่าเรื่องเมืองตรัง : ปืนใหญ่เมืองตรัง ตอนที่ ๒ ; https://link.psu.th/XhdbA4

                      จากโพสต์ของ Suntaree Sungayut เล่าเรื่องเมืองตรัง : ปืนใหญ่เมืองตรัง ตอนที่ ๓ ได้กล่าวว่า.... เมืองตรังในอดีตเป็นเมืองท่าฝั่งทะเลตะวันตกหรือทะเลหน้านอก อยู่ในกำกับของนครศรีธรรมราช มีกองกำลังทัพเรือ รวมทั้งปืนใหญ่ สำหรับควบคุมหัวเมืองมลายูและเฝ้าระวังข้าศึก  ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ปี พ.ศ. ๒๓๒๗ มีตราสารตั้งเจ้าพระยานครฯ (พัด) และให้มีกองกำลังพร้อมอาวุธดังความว่า "... เมืองตรังและเมืองสงขลาเป็นเมืองปลายด่านแดนต่อด้วยเมืองไทร เมืองปัตตานี และเมืองแขกทั้งปวงยังมิสงบราบคาบ  ให้แต่งขุน หลวงหมื่น  ข้าทะแกล้วทหารโดยควร กอร์ปไปด้วยปืน กระสุน ดินประสิว .ต่อมาเมื่อตั้งเมืองที่เกาะลิบง  พระยาลิบง และหลวงฤทธิสงคราม ก็ได้ซื้อปืนไว้ใช้งานถึง ๑๓ กระบอก แต่ภายหลังถูกแบ่งปันไปยังเมืองนครศรีธรรมราชและสงขลา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ปี พ.ศ. ๒๓๕๒ เกิดศึกถลาง กำลังทั้งจากส่วนกลางและหัวเมืองภาคใต้มาช่วยรับศึก ชุมนุมทัพกันที่เกาะลิบง พร้อมกับรวบรวมปืนใหญ่จากเมืองต่าง ๆ มาสมทบ แต่ยังไม่พอทางเมืองนครฯ จึงขอซื้อปืนเพิ่มเติมอีก ๒๖ กระบอก เพื่อใช้ในการศึกครั้งนี้ เมื่อเสร็จศึกแล้วคงมีบางส่วนเก็บไว้ที่เมืองตรัง  ซึ่งขณะนั้นมีด่านสำคัญอยู่ที่ควนทองสีห์กันตัง  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ เจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้ว่าราชการเมืองนครฯ ได้ปรับปรุงตำแหน่งกรมการเมืองทั้งหมดรวมทั้งเมืองตรัง ซึ่งตั้งเมืองที่ตำบลควนธานี และมีหน่วยราชการเพิ่มเป็นพิเศษต่างไปจากเมืองอื่นคือกรมปืน  ในปี พ.ศ. ๒๓๖๔ ไทรบุรีเกิดแข็งเมือง เจ้าพระยานครฯ (น้อย) ได้คุมกำลังหัวเมืองภาคใต้ไปปราบได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ได้โปรดเกล้าฯ ให้ขนปืนใหญ่ทั้งหมดมาไว้ที่เมืองตรัง เข้าใจว่าคงจะนำมาไว้ประจำด่านที่ควนทองสีห์ และควนธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งเมือง ยืนยันได้จากคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จฯ ประพาทเมืองตรังที่ควนธานีเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ยังทรงพระราชนิพนธ์ ถึงปืนใหญ่เมืองตรังไว้ว่า “ ..... ลืมกล่าวเสียอย่างหนึ่งถึงเรื่องปืนใหญ่ มีปืนเหล็กอย่างเขื่องทิ้งอยู่ที่ริมศาลเจ้าข้างทางบนควนธานีสี่บอก อยู่ที่ควนยายทองสีกี่บอกเห็นไม่ถนัด มีโรงจากคลุมอยู่ว่าเปนปืนครั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ไปตีเมืองไทรได้มาทิ้งไว้ที่นี่ ยังมีปืนทองเหลืองอย่างเช่นแห่นำตามเสด็จอีกสองบอก ทิ้งอยู่ที่โรงริมที่พักข้าหลวง ว่าเปนปืนครั้งเมื่อจีนวุ่นวายที่เมืองภูเก็จ .....”  ปืนทองเหลืองปัจจุบันอยู่ที่บันไดหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองตรัง ไม่ชัดเจนว่านำมาไว้ที่สถานีตำรวจแต่ครั้งใด นอกจากนี้ยังมีอีก ๒ กระบอกที่วัดกะพังสุรินทร์ ได้มาจากตำบลปะเหลียนหรือเหลียนใน  เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ กว่า ๆ สอดคล้องกับที่ว่าบริเวณนั้นเคยเป็นที่ตั้งเมืองสมัยอยู่ในกำกับของพัทลุง....
       ตรังเป็นชื่อจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย โดย
ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๘๒๘ กม. มีพื้นที่ประมาณ ๔,๙๑๗.๕๑๙ ตร.กม. หรือประมาณ ๓,๐๘๘,๓๙๙.๓๗๕ ไร่ โดยมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดอื่น ๆ คือ

ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
ทิศใต้ ติดต่อกับ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล และทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอควนขนุน อำเภอกงหรา และอำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอคลองท่อม เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย

                      คำว่า "ตรัง" นั้นได้มีผู้อธิบายความหมายเอาไว้หลายทางด้วยกัน เช่น

๑. ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า "ตรัง" เป็นภาษาโบราณ แปลว่า ติดอยู่ ส่วนคำว่า "ตรังค์" และ "ตรังค" (ออกเสียงตะรัง และตะรังคะ) แปลว่า "ลูกคลื่น"
๒. คำว่า "ตรัง Terang" มาจากคำว่า "ตรังค" ในภาษามลายูแปลว่า รุ่งอรุณหรือสว่างแล้ว หรือแจ่มแจ้ง จึงตีความว่าเมืองตรังเป็นเมืองแห่งรุ่งอรุณ
๓. มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า ตรงฺคหรือตรังคะ แยกศัพท์เป็น ตร+องฺค แปลตรงตามคำ ตร จาก ตร ธาตุ ว่า ข้าม เดิน หรือเคลื่อนที่ไป องฺค แปลว่า อวัยวะ แปลรวมว่า อวัยวะที่เคลื่อนที่ไปได้ในทะเล กล่าวคือ คลื่นหรือระลอก จึงตีความว่า เมืองตรังเป็นเมืองแห่งคลื่น ซึ่งหมายถึงคลื่นลมในทะเลหน้าเมืองตรัง

                  คำว่า "ตรังเค" (Tarangue) ได้ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุของโปรตุเกส ซึ่งเขียนไว้ในราวปี พ.ศ. ๒๐๕๔ ใน จดหมายเหตุดังกล่าวได้ระบุว่า แม่ทัพเรือของปอตุเกส ชื่ออัลฟองโส เดอ อัลบูเคอร์ก ได้ยกทัพมาตีเมืองมะละกา และเมื่อทราบว่าเมืองนี้เป็นเมืองประเทศราชของไทยก็เลยส่งสาส์นขอโทษไทยมา โดยให้อาชเวโค เป็นผู้เดินทางมาขึ้นบกที่ตรังก่อนแล้วจึงไปลงเรือที่นครศรีธรรมราช เพื่อเดินทางต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา ในเวลานั้นผู้รู้หลายท่านจึงลงความเห็นว่า "ตรัง" น่าจะมาจากคำว่า "ตรังค์" หรือ "ตรังเค" อันหมายถึงคลื่น หรือรุ่งธรุณนั่นเอง 
                  ตรังตั้งขึ้นเป็นเมืองมาตั้งแต่สมัยใดนั้นไม่เป็นที่ปรากฏชัดเจน แต่จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดเสมาเมือง ตำบลเวียงศักดิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้กล่าวถึงเมืองตรัง เอาไว้ในฐานะเมืองบริวารของนครศรีธรรมราช ความตอนหนึ่งว่า "...เมื่อพระยาศรีธรรมโศกราช สร้างเมืองนครศรีธรรมราชที่หาดทรายแก้ว ในปี พ.ศ. ๑๐๙๘ นั้นเมืองนครยังมีเมืองขึ้นอีก ๑๒ เมือง เรียกว่าเมือง ๑๒ นักษัตริย์ ซึ่งได้กำหนดตราประจำเมืองไว้ดังนี้

๑. ตราชวด เมืองสายบุรี 
    เมืองสายบุรีใช้ตราหนู เมืองสายบุรีเป็นเมืองเก่าบนฝั่งแม่น้ำสายบุรี ประกอบด้วยชุมชนเกษตรกรรมบนพื้นราบริมทะเลหลายแห่ง จัดเป็นหัวเมืองที่ ๑ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราหนู (ชวด) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดปัตตานี
๒. ตราฉลู เมืองปัตตานี 
     เมืองปัตตานีใช้ตราวัว เมืองตานีเคยเป็นเมืองท่าสำคัญในภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งรู้จักในหมู่พ่อค้าต่างชาติ ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๘ ในชื่อ “ลังกาสุกะ” จัดเป็นหัวเมืองที่ ๒ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราวัว (ฉลู) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดปัตตานี
๓. ตราขาล เมืองกลันตัน 
     เมืองกลันตันใช้ตราเสือ เมืองกลันตันเป็นชุมชนเก่าแก่ทางตะวันออกของคาบสมุทรมลายู แต่เดิมประชาชนนับถือศาสนาพุทธและฮินดู ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ ๓ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราเสือ (ขาล) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของประเทศมาเลเซีย
๔. ตราเถาะ เมืองปาหัง
    เมืองปะหังใช้ตรากระต่าย เมืองปะหังเป็นชุมชนทางตอนล่างของแหลมมลายู ติดกับไทรบุรีหรือเกดะห์ จัดเป็นหัวเมืองที่ ๔ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรากระต่าย (เถาะ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซีย
๕. ตรามะโรง เมืองไทรบุรี
     เมืองไทรบุรีใช้ตรางูใหญ่ เมืองไทรบุรีเป็นชุมชนเก่าทางฝั่งตะวันตกของแหลมมลายู พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและบึงตม เดิมประชาชนนับถือพุทธศาสนา ล่วงถึงพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม จัดเป็นหัวเมืองที่ ๕ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตรางูใหญ่ (มะโรง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซียชื่อว่า “เกดะห์”
๖.. ตรามะเส็ง เมืองพัทลุง
      เมืองพัทลุงใช้ตรางูเล็ก เมืองพัทลุงเป็นชุมชนเก่าแก่แต่ครั้งพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๓ ได้รับอิทธพลทางพุทธศาสนาจากนครศรีธรรมราชอย่างต่อเนื่องทุกยุคสมัย จัดเป็นหัวเมืองที่ ๖ ในทำเนียบสิบสองนักษัตร ถือตรางูเล็ก (มะเส็ง) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดพัทลุง
๗. ตรามะเมีย เมืองตรัง
     เมืองตรังใช้ตราม้า เมืองตรังเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลตะวันตก ตัวเมืองเดิมตั้งอยู่ที่ควนธานี ต่อมาได้ย้ายไปที่กันตังและทับเที่ยงตามลำดับ จัดเป็นหัวเมืองที่ ๗ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราม้า (มะเมีย) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดตรัง
๘. ตรามะแม เมืองชุมพร
     เมืองชุมพรใช้ตราแพะ เมืองชุมพรเป็นชุมชนเกษตรและท่าเรือบนคาบสมุทรขนาดเล็ก มีประชากรไม่มากนักเนื่องจากดินฟ้าอากาศไม่อำนวยให้ทำมาหากิน จัดเป็นหัวเมืองที่ ๘ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราแพะ (มะแม) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคือจังหวัดชุมพร
๙. ตราวอก เมืองบันทายสมอ
     เมืองบันทายสมอใช้ตราลิง เมืองบันทายสมอสันนิษฐานว่าเป็นเมืองไชยา  ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่มาแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๐ เป็นอย่างน้อย มีร่องรอยความเจริญทางเศรษฐกิจและศาสนาพุทธนิกายหินยานและมหายาน รวมทั้งศาสนาฮินดูนิกายไวษณพและนิกายไศวะจำนวนมาก จัดเป็นหัวเมืองที่ ๙ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราลิง (วอก) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๑๐. ตราระกา เมืองสะอุเลา 
       เมืองสะอุเลาใช้ตราไก่ เมืองสะอุเลาสันนิษฐานว่าเป็นเมืองท่าทองอุแทหรือกาญจนดิษฐ์ ซึ่งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำท่าทอง และลุ่มคลองกะแดะ เคยมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงชั้นเอกและเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญของนครศรี ธรรมราช จัดเป็นหัวเมืองที่ ๑๐ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราไก่ (ระกา) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๑๑. ตราจอ เมืองตะกั่วป่า
        เมืองตะกั่วป่าใช้ตราสุนัข เมืองตะกั่วป่าเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางฝั่งทะเลตะวันตก เป็นแหล่งผลิตดีบุกและเครื่องเทศมาแต่โบราณ จัดเป็นหัวเมืองที่ ๑๑ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุนัข (จอ) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันคืออำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
๑๒. ตรากุล เมืองกระบุรี 
        เมืองกระบุรี ใช้ตราหมู เมืองกระบุรีเป็นชุมชนเล็ก ๆ บนฝั่งแม่น้ำกระบุรี ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า และภูเขาสลับซับซ้อน จัดเป็นหัวเมืองที่ ๑๒ ในทำเนียบเมืองสิบสองนักษัตร ถือตราสุกร (กุน) เป็นตราประจำเมือง ปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอในจังหวัดระนอง

                ด้วยเหตุที่ตรังเป็นเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับชายฝั่งทะเล และเป็นเมืองที่สำคัญมาแต่โบราณ ในตำนานเมืองนครศรีธรรรมราชกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...พญาโคสีหราชผู้ครองนครบุรีได้ทันดธาตุของพระพุทธเจ้าาไว้ ต่อมาท้าวอังกุตราชเข้าเมืองชัยบุรีอยากได้พระทันตธาตุนั้น จึงยกทัพไปช่วงชิง พญาโคสีหราชคุมทัพออกต่อสู้ พร้อมกับทรงสั่งพระธนกุมารกับนางเหมมาลา (โอรสและธิดา) ว่าถ้าพระองค์พ่ายแพ้ศึกถึงแก่ชีวิตในสงคราม ให้นำพระทันตธาตุหลบหนีไปเมืองลังกา แล้วพระองค์ก็เสียทีแก่ข้าศึกสิ้นพระชนม์บนคอช้าง พระธนกุมารและนางเหมมาลาได้ทราบข่าวว่าพระบิดาสิ้นพระชนม์ จึงนำพระทันตธาตุห่อเกล้าชฎาลงสำเภาหนีไป แต่สำเภาเกิดอัปปางระหว่างทาง พระธนกุมารและนางเหมมาลาจึงขึ้นบกที่หาดทรายแก้ว จึงได้ฝึงพระทันตธาตุไว้ พระมหาเถรพรหมเทพทราบเข้าก็มานมัสการพบกับสองกุมาร รู้ความประสงค์ จึงรับว่าจะช่วยเหลือพร้อมกับสั่งว่าหากมีภัยเกิดขึ้นให้ระลึกถึงท่าน สองกุมารเคารพแล้วลาพระมหาเถรพรหมเทพเเล้วเดินทางต่อไป ถึงเมืองตรังขอโดยสารสำเภาออกจากท่าเรือเมืองตรัง..." ส่วนตำนานนางเลือดขาวได้กล่าวถึงเมืองตรังเอาไว้ว่า "..เมื่อนางเลือดขาวและพระกุมาร ทราบว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชส่งฑูตไปลังกา นางและพระกุมารก็ได้เดินทางมาร่วมกับคณะฑูตที่เมืองตรัง และระหว่างทางได้สร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งชื่อวัดพระงาม แล้วลงเรือทีท่าเมืองตรังไปลังกา ขากลับจากลังกานางก็ได้สร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งชื่อว่าวัดศรีสรรเพ็ชรพุทธสิหิงค์..."
              จากเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในตำนานทั้งสองนี้จะเห็นได้ว่า ที่เมืองตรังนี้เป็นเมืองท่าที่สำคัญในการเดินทางติดต่อกับต่างแดนมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งความเป็นท่าเรือของเมืองตรังนั้นยังมีต่อมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ ดังปรากฏอยู่ในหลักฐานพระราชพงศาวดารต่าง ๆ ที่กล่าวว่าที่ท่าเมืองตรังมีเรือมารับซื้อช้างแล้วบรรทุกไปขายต่อยังต่างประเทศปีละหลาย ๆ ลำ มาถึงแผ่นดินสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองตรังก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองท่าเรือ สำหรับติดต่อค้าขายกับต่างชาติ และยังเป็นเมืองที่สำคัญในทางยุทธศาสตร์ทางชายฝั่งทะเลตะวันตก ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) ได้ทรงเป็นกังวลถึงกับได้ทรงกำชับให้พระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) จัดการดูแลเมืองตรังไว้ในตราสารสั่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราช เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๗ เอาไว้ว่า "..อย่าให้อ้ายสลัดศัตรูและญวนเหล่าร้ายเล็คลอดเข้ามาจับผู้คน ข้าขอบขัณฑสิมาไปแต่คนหนึ่งได้เป็นอันขาดทีเดียว และถ้าพระยานครศรีธรรมราชและกรมการพนักงานประมาทละเมินเสีย มิได้แต่งเรือรบ เรือไล่ ออกลาดตระเวณตามพระราชกำหนดนี้ และอ้ายสลัดศัตรูญวนเหล่าร้ายเล็ดลอดเข้ามาจับผู้คนไปได้ประการใด เจ้าพระชานครศรีธรรมราชและกรมการพนักงานจะต้องมีโทษตามพระราชกำหนด ประการหนึ่งเมืองตรังและเมืองสงขลาเป็นเมืองปลายด่านแดนต่อด้วยเมืองไทร เมืองปีตตานี และเมืองแขกทั้งปวงยังมิสงบราบคาบ ให้แต่งหลวง ขุน หมื่น ข้าทะแกล้วทหารโดยควร กอร์ปไปด้วยปืนกระสุน ดินประสิว..." ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะทางเมืองหลวงเห็นว่าเมืองตรังนั้นมีชัยภูมิที่ได้เปรียบในทางยุทธศาสตร์ กอร์ปกับเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองนครศรีธรรมราช หากเหล่าร้ายข้าศึกเข้ายึดเมืองตรังได้ จะมีผลกระทบกับเมืองมครศรีธรรมราชและเมืองอื่น ๆ ในบรรดาหัวเมืองภาคใต้อีกด้วย ในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ได้ทรงขึ้นครองราชสมบัติสืบต่อ ทางด้านพม่าก็เห็นว่าเมืองสยามกำลังอยู่ในช่วงผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน คงจะไม่มีเวลาในการเตรียมกองทัพให้เข้มแข็งได้ จึงยกทัพลงมาตีหัวเมืองทางปักษ์ใต้ เมืองตรังในช่วงเวลานั้นได้เป็นสถานที่รวมทัพต่อเรือรบของเจ้าพระยานครฯ (พัฒน์) ที่จะยกไปช่วยเมืองถลาง ดังที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารรัชกาลที่ ๒ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ว่า "...เมื่อเดือนสิบเอ็ด ปีมะเส็ง เอกศก ศักราช ๑๑๗๑ (ปี พ.ศ. ๒๓๕๒) อะเติงวุ่นให้แขฆอง คุมนายทัพนายกองและไพร่พลสี่พันลงเรือรบไปตีถลางกองหนึ่ง ให้ดูเรียงสาละกะยอคุมพลสามพันขึ้นที่เมืองระนองตีเมืองตระเมืองชุมพร ครั้นหนังสือบอกเข้ามายังกรุงเทพมหานครแล้วทรงโปรดให้เจ้าพระยายมราช (น้อย) เป็นแม่ทัพ พระยาท้ายน้ำเป็นทัพหน้า ให้มีตราไปถึงพระยานครศรีธรรมราช ให้เกณฑ์กองทัพไปกับพระยายมราช ช่วยราชการเมืองถลางให้ได้ เจ้าพระยายมราช พระยานครศรีธรรมราช ยกไปตั้งทัพอยู่ที่เมืองตรังจึงจัดต่อเรือรบอยู่ที่นั้น..." ด้วยการจัดการกองทัพของเมืองนครในสมัยพระยานครศรีธรรมราช ที่ผ่านมาไม่มีความพร้อมโดยเฉพาะกองเรือที่จะใช้ในราชการสงคราม และเมื่อเกิดศึกในครั้งนี้จึงต้องทำให้เสียเวลาในการต่อเรือเป็นเวลานาน จนเป็นเหตุให้พม่าตีเมืองถลางได้เมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้นเก้าค่ำ หลังจากที่พม่าเลิกทัพกลับไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ได้มีตราสารไปถึงเจ้าพระยายมราช ใจความว่า "...พม่าเข้ามาตีเมืองถลางถึงสองกลับ ถ้าทัพเข้าพระยายมราช เจ้าพระยานครศรีธรรมราช รีบยกไปช่วยเมืองถลางให้ทันก็คงไม่เสียแก่พม่าข้าศึก พม่าไปครั้งนี้มันจะกลับมาตีเมืองตรังเมืองนครอีกดอกกระมัง เมืองตรังก็เป็นเมืองที่ไว้เรือรบเป็นอันมากให้เจ้าพระยายมราช เจ้าพระยานครศรีธรรมราชคิดอ่านจัดการรักษาเมืองไว้ให้จงดี..." ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ หลังเสร็จศึกลางเเล้ว ๒ ปี เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ซึ่งมีความชราและทุพพลภาพได้ขอลาออกจากราชการ เพราะไม่สามารถทำงางานต่อไปได้ ดังนั้นทางกรุงเทพมหานครจึงได้พิจารณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้พระบริรักษ์ภูเบศร์ (น้อย) ขึ้นดำรงตำแหน่งพระยานครศรศรีธรรมราช แทนเจ้านคร (พัฒน์) พร้อมกับได้ทรงกำชับให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชคนใหม่ ดำเนินการจัดเมืองตรังให้อยู่ในสภาพพร้อมรบ หากมีข้าศึกมารุกราน ดังข้อความในตราสาร เรื่องตั้งพระบริรักษ์ภูเบศร์เป็นพระยานครศรีธรรมราชว่า "...อนึ่งเมืองตรังเป็นเมืองล่อแหลมอยู่ที่ฝั่งทะเลตะวันตกจะไว้ใจมิได้ให้พระยานครปรึกษาด้วยกรมการกะเกณฑ์หลวง ขุน หมื่น และชาวด่านคุมเรือรบเรือไล่สรรพไปด้วยปืนใหญ่น้อยกระสุนดินดินประสิวเครื่องสัตราวุธ ออกไปอยู่พิทักษ์รักษา ประจำคอด่านทั้งกลางวันกลางคืน.." และในสารตราเรืองเมืองตรังภูราของเจ้าพระยาอัครมหาเสนาบดี ที่ได้ให้แก่เจ้าพระยานครศรีธรรมราชจัดการดูแลรักษากองเรือที่เมืองตรังให้อยู่ในสภาพพร้อมรบตลอดเวลา ดังข้อความบางตอนว่า "...ฝ่ายเมืองนครหามีที่ตั้งเป็นกำลังราชการฝ่ายฝั่งตะวันตกไม่และไอ้พม่าที่ยกมาทำแก่เมืองถลางถึงเสียทัพกลับไปว่ามิได้แพ้ด้วยฝีมือ ให้ยกเมืองตรังมาขึ้นแก่เมืองนครตามเดิม ให้พระยานครจัดแจงหลวง ขุน หมื่น กรมการ ที่มีสติปัญญา ชื่อสัตย์ มั่นคง ลงไปตั้งเกลื่อกล่อมแขกไทยมีชื่อให้เข้ามาทำไร่ปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหาร ทำร่มโรงไว้เรือรบเรือไล่รักษาปากน้ำเมืองตรังภูราไว้..." หลังจากที่พระบริรักษ์ภูเบศร์ได้รับพระกรุณาโปรคเกล้าให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระยานครศรีธรรมราชแล้ว ก็ได้ออกดำเนินการปรับปรุงเมืองตรังด้วยตนเองจนเมืองตรังในระยะนั้นมีความเจริญก้าวหน้า มีเรือต่างประเทศเข้ามาติดต่อค้าขายปีละหลายลำ สำหรับทางด้านการทหารพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ได้ปรับปรุงจนเป็นฐานทัพเรือที่มีเรือรบเรือไล่ เข้าประจำการอยู่รวมกันถึง ๓๐๐ ลำ ไว้รักษาปากน้ำป้องกันพม่า และสลัดแขกที่อาจจะมารุกรานได้ อีกทั้งยั้งยังได้จัดหน่วยราชการพิเศษขึ้นในเมืองตรัง ซึ่งต่างไปจากเมืองนครศรีธรรมราช คือได้จัดให้มีกรมปืน ซึ่งเป็นกรมที่มีหน้าที่ในการจัดหาสะสมตลอดจนรักษาปืนไว้ใช้ในราชการสงครามดังทำเนียบกรมการเมืองตรัง ที่ได้จัดการกรมต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอาวุธดังนี ....

ขุนศักดิ์วุธ ว่าการปืนใหญ่ ถือศักดินา ๕๐๐
หมื่นจงสรสิทธิ์ รอง ถือศักดินา ๔๐๐
หมื่นจิตรสรศักดิ์ ปลัด ถือศักดินา  ๔๐๐
...ขุนสรพินาศ ว่าการดินกระสุน ถือศักดินา  ๕๐๐
หมื่นแผลงพินาศ รอง ถือศักดินา  ๔๐๐
หมื่นผลาญพินาศ ปลัด ถือศักดินา  ๔๐๐
...ขุนอินทร์นาวา ว่าการเรือรบ ถือศักดินา  ๕๐๐
หมื่นทิพนาวา รอง ถือศักดินา  ๔๐๐
หมื่นทิพนาวา รอง ถือศักดินา  ๔๐๐
หมื่นเทพนาวา ปลัด ถือศักดินา  ๔๐๐

               เมืองตรังในระยะนี้น่าจะเป็นเมืองหน้าด่านที่มีแสนยานุภาพมากเมืองหนึ่ง กล่าวคือเป็นเมืองที่มีกองเรือรบประจำการอยู่เป็นจำนวนมากประกอบกับได้มีเรือสินค้าจากต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายด้วยหลายครั้ง ดังนั้นเมืองตรังในระยะนี้คงจะได้มีการสะสมอาวุธเอาไว้มากในอัตราที่สมดุลย์กับจำนวนเรือรบ ต่อมาจนถึงสมัยแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) คือในปี พ.ศ. ๒๓๘๑ เมืองตรังซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านที่เข้มแข็งมาตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ ๒ ก็ได้ถูกหลานพระยาไทรบุรีชื่อตนกูมะหะหมัดสะหัสกับตนกูมะหะหมัดอาเกบได้สมคบกับหวันมาหลี โจรสลัดอยู่ที่เกาะยาวยกพวกเข้าตีเมืองตรัง เมืองสตูล และปะเหลียน พระยาวิชิตสงคราม เจ้าเมืองตรังสู้ไม่ได้ จึงพาครอบครัวหนีออกจากเมืองโจรหวันมาหลีขึ้นครองเมืองตรังอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งพระยาสงขลา และพระยานครศรีธรรรมราช (น้อย) ได้ทำการปราบปรามจนเหตุการณ์สงบสงบลงพร้อมกับตีเมืองไทรบุรีได้ แล้วขนเอาปืนใหญ่และอาวุธต่าง ๆ มาไว้ที่สงขลาและที่ตรัง โดยเฉพาะที่เมืองตรังนั้นได้ปืนทองมาด้วย ๒ กระบอก  ในปี พ.ศ ๒๔๓๓ (ร.ศ. ๑๐๙) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเมืองตรัง และได้ทรงบันทึกถึงเรื่องปืนใหญ่ที่พบไว้ว่า "...บ่ายโมง ๑ กลับมาลงเรือเราลืมว่าถึงเรื่องปืนที่เห็นคือปืนเหล็กใหญ่ ทิ้งอยู่ริมศาลเจ้า ๔ กระบอก เป็นปืนใหญ่ที่มีโรงปลูกครอบไว้ ยังที่ด่านควนราชสีห์ ก็เห็นมีอยู่อีก ๑ โรง ว่าเป็นปืนแต่ครั้งไปตีเมืองไทรได้เชลยมา เจ้าพระยานครเอามาไว้ที่นี้มีปืนทอง ๒ กระบอก อยู่ที่บ้านข้าหลวง เป็นปืนสมเด็จเจ้าพระยาซื้อมาเมื่อครั้งจีนวุ่นวายที่ภูเก็ต 


ภาพจาก : https://link.psu.th/K5zcQS

                     อย่างไรก็ตามเมืองตรังซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งของกรมปืนและเคยมีแสนยานุภาพทางทะเล เมื่อครั้งต้นรัชกาลที่ ๒ แต่กลับมิได้มีหลักฐานอื่นใดที่หลงเหลือ ให้เห็นในปัจจุบัน นอกจากปืนใหญ่ซึ่งกระจายอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ และจากการติดตามปืนใหญ่ในจังหวัดตรังของอาจารย์สุวัฒน์ ทองหอม ผู้เขียนหนังสือปืนใหญ่โบราณเมืองตรัง (๒๕๓๘) พบว่านี้มีปืนใหญ่เหลืออยู่ในจังหวัดตรังรวมทั้งสิ้น ๓๑ กระบอกประกอบด้วย

๑. บริเวณเสาธงหน้าศาลากลางจังหวัด ๕ กระบอก
๒. ประตูทางเข้าศาลากลาง ด้านถนนพัทลุง ๓ กระบอก
๓. ริมบันไดขึ้นศาลจังหวัด ด้านทิศเหนือ ๒ กระบอก
๔. บริเวณเสาธงบ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัด ๔ กระบอก
๕.บริเวณเสารงหน้าศูนย์บริการสารารณะสุขเทศบาลเมืองตรัง ๑ กระบอก
๖. บริเวณอนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ ๒ กระบอก
๗. หน้าสนามกีฬาเทศบาลเมืองตรัง ๓ กระบอก
๘. ริมบันไดขึ้นสถานีตำรวจภูธร จังหวัดตรัง ๒ กระบอก
๙. บริเวณวัดกระพังสุรินทร์  ๒ กระบอก
๑๐. บริเวณเสาธงหน้าลานกรมหลางชุมพร บนเกาะเนรมิตร อำเภอกันตัง ๑ กระบอก
๑๑. บริเวณเสาธงหน้าที่ว่าการอำเภอกันตั้ง ๒ กระบอก
๑๒. บริเวณสวนสาธารณะควนตำหนักจันทร์ ๒ กระบอก
๑๓. ริมบันไดขึ้นสำนักงานหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ตง.๗ อำเภอกันตัง ๒ กระบอก

                ปืนใหญ่ทั้ง ๓๑ กระบอกนั้น ปรากกฎว่าเป็นที่นที่หล่อด้วยเหล็ก ๒๙ กระบอก ส่วนอีก ๒ กระบอกเป็นปืนทอง กล่าวสำหรับปืนทองตามเอกสารที่ได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นพบว่าได้ถูกนำเข้ามาในเมืองตรังถึง ๒ ครั้ง รวม ๔ กระบอก แต่จากการติดตามพบว่ามีเหลืออยู่เพียง ๒ กระบอก ซึ่งปืนทั้ง ๒ กระบอกนี้ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทผู้ผลิตวันเดือนปีที่ผลิตประทับอยู่บนปืนด้วย รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยอาจารย์สงวนศักดิ์ ตันวิมลรัตน์ ได้อ่านและรายงานไว้ดังนี้ (อ้างจากสุวัฒน์ ทองหอม. ๒๕๓๘... กระบอกที่ ๑ มีน้ำหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม สร้างโดย บริษัท Lefoy วิศวกรชื่อ (Dovai) สร้างเมื่อ ๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๔๓ (ปี พ.ศ. ๒๓๘๖) กระบอกที่ ๒ มีน้ำหนัก ๙๙ กิโลกรัม สร้างโดยบริษัท Toulousi Mather ไม่ปรากฏชื่อวิศวกรและวันที่สร้างบอกไว้แต่เพียงปีที่สร้างคือ ค.ศ. ๑๘๓๒ (ปี พ.ศ. ๒๓๗๕) ส่วนที่เหลืออีก ๒๙ กระบอกนั้นเป็นปืนที่สร้างด้วยเหล็ก และในจำนวนปืนเหล่านี้มีบางกระบอกได้ประทับตราบริษัทผู้สร้างและปีที่สร้างไว้ด้วย เช่น

๑. กลุ่มปืนที่บริเวณเสาธงศาลากลาง จังหวัด ชึ่งมีอยู่ ๓ กระบอก (จากทั้งหมด ๕ กระบอก)  ที่มีรูปตรามงกฎและอักษรภาษาอังกฤษตัวพี.อาร์ ซึ่งเป็นตัวย่อของบริษัทปริ้นรอแอล บริษัทผู้ผลิตปืนใหญ่ของประเทศอังกฤษ ส่วนอีก ๒ กระบอกมีตรานูนอยู่บนปืนแต่ไม่ทราบความหมาย
๒. กลุ่มปืนที่บริเวณประตูทางเข้าศาลากลาง ซึ่งมีอยู่รวม ๓ กระบอก แต่มีตัวเลขนูนอยู่บนด้านหน้าของเพลาด้านซ้าย ๒ กระบอก โดยทั้ง ๒ กระบอก ได้บอกปีที่สร้างคือปี ค.ศ. ๑๗๘๓ (ปี พ.ศ. ๒๓๒๖)
๓. กลุ่มปืนที่หน้าสนามกีฬา ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด ๓ กระบอก และมีอยู่ ๑ กระบอกที่มีตรานูนรูปคล้ายมงกุฎและอื่น ๆ แต่ถูกสนิมกัดกร่อนดูไม่ออก และที่บั้นท้ายปืนมีตัวเลขบอกปีที่สร้างไว้ คือ ปี ค.ศ. ๑๗๐๕ (ปี พ.ศ. ๒๒๔๘)
๔. กลุ่มปืนที่วัดกระพังสุรินทร์ ซึ่งมีอยู่ ๒ กระบอก มีอยู่ ๑ กระบอก มีตราสลักเป็นร่องลึกบนตัวปืน
๕. กลุ่มปืนที่บริเวณเสาธงหน้าที่ว่าการอำเภอกันตัง ซึ่งมีอยู่ ๒ กระบอก มีอยู่ ๑ กระบอกที่มีตัวเลขบอกปีที่สร้างอยู่ที่บั้นท้ายปืนซึ่งดูเลอะเลือนแต่คาดว่าน่าจะเป็นปี ค.ศ. ๑๘๐๐ (ปี พ.ศ. ๒๓๔๓)
๖. กลุ่มปืนที่อนุสาวรีย์พระยารัษฎาฯ ซึ่งมีอยู่ ๒ กระบอก มีอยู่ ๑ กระบอกที่มีตรานูนปรากฎอยู่บนปืน ซึ่งตรานี้คล้ายกับตราบนปืนที่บริเวณเสาธงหน้าศาลากลาง
๗. กลุ่มปืนที่บริเวณบันไดทางขึ้นศาลจังหวัดตรัง ซึ่งมีอยู่ ๒ กระบอก มีอยู่ ๑ กระบอกที่มีตราอยู่บนปืนคล้าย ๆ กับตราบนปืนที่วัดกระพังสุรินทร์ 

                     รวมปืนใหญ่โบราณในจังหวัดตวังที่มีตราทั้งที่เป็นตราบริษัท และปีที่สร้างรวมทั้งหมด ๑๔ กระบอก นอกจากนั้นไม่ปรากฏรายละเอียดใด ๆ 

 


ปืนใหญ่ที่ตั้งอยู่วัดกะพังสุรินทร์

ภาพจาก : Suntaree Sungayut เล่าเรื่องเมืองตรัง : ปืนใหญ่เมืองตรัง ตอนที่ ๓ ; https://link.psu.th/mQn5GW


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
ปืนใหญ่โบราณเมืองตรัง
ที่อยู่
จังหวัด
ตรัง


บรรณานุกรม

นครออนไลน์. (ม.ป.ป.). ตำนานเมืองนคร : ดวงตรา 12 นักษัตร แห่งเมืองนครศรีธรรมราช มีที่มาการประกาศศักดาที่เข้มขลัง. 
           สืบค้น 6 ธ.ค. 67, จาก  https://www.nakhononline.com/1812/
สุวัฒน์ ทองหอม.  (2538). ปืนใหญ่โบราณเมืองตรัง. พิมพ์ครั้งที่ 1. ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดตรัง.
Suntaree Sungayut. (2560). Suntaree Sungayut เล่าเรื่องเมืองตรัง. https://link.psu.th/mQn5GW

 


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025