วังยะหริ่ง
 
Back    11/04/2025, 11:44    14  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ภาพจาก : https://link.psu.th/yZ6xb2

              เมืองยะหริ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปัตตานี ซึ่งต้องส่งเครื่องราชบรรณาการต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้แก่ไทย ๓ ปี ต่อ ๑ ครั้ง นอกจากนั้นในกรณีที่มีข้าศึกยกกองทัพมาตีไทยเมืองประเทศราชต้องส่งกองทัพมาช่วยรบ รูปแบบของการปกครองดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองปัตตานีและไทยค่อนข้างห่างเหิน เพราะความห่างไกลจากเมืองหลวง ประกอบกับปัตตานีมีความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจ จึงส่งผลให้เจ้าเมืองปัตตานีคิดแยกตัวจากไทยเสมอมา ไทยต้องส่งกำลังกองทัพมาปราบปรามและนำไปสู่การใช้นโยบายแบ่งแยกการปกครอง โดยแบ่งเมืองปัตตานีออกเป็น ๗ หัวเมือง ประกอบด้วย ปัตตานี ยะหริ่ง หนองจิก สายบุรี ระแงะ ยะลา และรามันห์ การลดอำนาจเมืองปัตตานีส่งผลให้เมืองยะหริ่ง มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชของไทย โดยมีพระยาเมืองเป็นผู้ปกครองขึ้นตรงต่อเมืองสงขลาแทน เมื่อถึงต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ปรากฎว่าการสืบตำแหน่งพระยาเมืองมีเชื้อสายมลายูตลอดมา ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่สงบอันจะก่อให้เกิดปัญหาทางการปกครองในดินแดนที่เป็นประเทศราช และเป็นพรมแดนติดต่อกับมหาอำนาจตะวันตกในขณะนั้น การสืบตำแหน่งพระยาเมืองในยะหริ่งมีหลักฐานแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งผู้ช่วยราชการ ซึ่งเป็นข้าราชการในหัวเมืองที่รองจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองหรือพระยาเมืองลงไป กล่าวคือตำแหน่งทั้งสองมักจะมีการสืบทอดต่อ ๆ กันภายในเครือญาติ โดยตันตระกูลของการสืบเชื้อสายภายในวังยะหริ่งเริ่มจากนิยูโซะ (โต๊ะกียูโซะ) ซึ่งเป็นพระยายะหริ่งคนที่ ๓ มีประวัติเล่าต่อกันมาว่าเมื่อเกิดกบฏที่เมืองปัตตานี นิยูโชะมีอายุเพียง ๖ ขวบได้เข้าไปวิ่งเล่นชุกชนตามประสาเด็กในค่ายของทหารไทย ที่มาตั้งเพื่อปราบกบฏจึงรู้สึกติดอกติดใจ เมื่อสามารถปราบกบฏได้เรียบร้อยกองทัพหลวงของไทยได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ นิยูโซะจึงแอบติดตามไปกว่าบรรดาไทยจะรู้ ระยะทางนั้นก็ไกลจากเมืองปัตตานีมากแล้ว เมื่อถึงกรุงเทพฯ มีทหารไทยคนหนึ่งพาไปเลี้ยงดูและให้นับถือศาสนาพุทธ จนได้บวชเป็นสามเณรและบวชเป็นพระภิกษุอยู่หลายพรรษา สอบนักธรรมได้เป็นพระใบฎีกา เมื่อสึกจากพระจึงเข้ารับราชการในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการสืบทราบว่านิยูโซะมีเชื้อสายของพระยาเมืองปัตตานี ขณะนั้นหัวเมืองปักษ์ใต้กำลังวุ่นวาย ทางส่วนกลางแต่งตั้งให้รับสัญญาบัตรเป็น "พระยายะหริ่ง" เมื่อมาปกครองเมืองได้พยายามจัดระเบียบในการปกครองให้เป็นแบบไทย เช่น คดีถ้อยความที่ต้องตัดสินหรือปรับไหม โดยไม่ตัดสินตามคัมภีร์อัลกุรอ่าน ให้ไช้ตามพระราชกำหนดกฎหมายไทย เป็นเหตุให้ทางปัตตานีและรามันห์เอาแบบอย่างและถือปฏิบัติกันสืบมา ต่อมานิยูโซะคิดว่าบรรพบุรุษของท่านนั้นนับถือศาสนาอิสลาม แต่เนื่องจากเหตุการณ์บังคับทำให้ต้องนับถือศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย เมื่อมาถึงตอนนี้ตนได้มาปกครองเมืองยะหริ่ง ประชาชนในปกครองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ถ้าตนยังนับถือศาสนาพุทธอยู่ จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการปกครองดังที่เคยปรากฏมาแล้วในประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้ตนจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามประชาชนจึงให้การยอมรับ ก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในบ้านเมือง นิยูโซะมีบุตรธิดารวม ๗ คน ปัจจุบันหลุมฝังศพอยู่ที่ตำบลตันหยงลูโละ บริเวณฝั่งตรงข้ามกับมัสยิดกรือเซะ พระยายะหริ่งคนต่อมาคือนิเมาะ เป็นบุตรคนที่  ๒ ของนิยูโซะ ได้รับพระราชทานนามเป็นพระยาพิบูลเสนานุกิจเชษฐภักดี (ต้นตระกูลอับดุลบุตร) มีบุตรธิดารวม ๑๔ คน เมื่อพระยาพิบูลเสนานุกิจเชษฐภักดีถึงแก่อสัญกรรม บุตรคนที่ ๒ ชื่อนิโซะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยายะหริ่งคนต่อมา มีราชทินนามว่าพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม ซึ่งเป็นผู้สร้างวังยะหริ่งหลังปัจจุบัน เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองภาคใต้เป็นมฑลเทศาภิบาล ตำแหน่งพระยายะหริ่งที่สืบตระกูลมาต้องสิ้นสุดเช่นกัน พระยาพิพิธเสนามาตย์ฯ (นิโซะ) มีบุตรธิดา ๖ คน คือ

๑. พระพิพิธภักดี (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร)
๒. ตนกูไซนับ
๓. ตนกูบือเซาะ
๔. ตนกูบราเฮม (นายบรรเทิง อับดุลบุตร)
๕. ตนกูมะหะหมัด (นายพยงค์ อับดุลบุตร)
๖. ตนกูเยาะ 

             พระพิพิธภักดี (ตนภูมุกดา อับดุลบุตร) บุตรคนโตของพระยาพิพิธเสนามาตย์ฯ ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ต่อมาได้ลาออกจากราชการแล้วลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานี โดยได้รับเลือกรวมถึง ๔ สมัย และได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ๑ สมัย ต่อมาล้มป่วยเป็นอัมพาตจึงให้นายบรรเทิง อับดุลบุตร (ตนกูบราเฮม) เข้ารับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแท พระพิพิธภักดี มีบุตรธิดา ๖ คน คือ

๑. ตนกูอิสมาแอ
๒. ตนกูอับดุลฮามิด (นายมานพ พิพิธภักดี)
๓. ตนกูนูรดิน (นายวัยโรจน์ พิพิธภักดี)
๔. ตนกูรอซีดะห์ (นางวัลภา สมุทรโคจร)
๕. ตนกูซาปิดะห์ (นางวุจจิรา เด่นอุดม)
๖. ตนกูอาซีซะห์ (นางวัฒนาวิไล อับดุลบุตร)

              พระพิพิธภักดี ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ก่อนญี่ปุ่นบุกปัตตานี้ได้ ๓ วัน ในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา ส่วมนายบรรเทิง อับดุลบุตร (ตนกูบราเฮม) บุตรคนที่ ๔ ของพระยาพิพินามาตย์ฯ ได้เป็นผู้แทนราษฎรของจังหวัดปัตตานีต่อจากพระพิพิธภักดีหลายสมัย มีบุตรธิดา ๗ คน คือ

๑. ตนกูเย็าะ (นางสาวทิพย์สัมพันธ์ อับดุลบุตร)
๒. ตนกูยูโซะ (นายทวีศักดิ์ อับดุลบุตร) 
๓. ตนกูม๊ะ (นายบรรจง อับดุลบุตร)
๔. ตนกูซือเมาะ (นางสายสมร ม่าเหร็ม)
๕. ตนกูอาซิ (นายเบญจ อับดุลบุตร)
๖. ตนกูรอเซะ (นายบรรเจิด อับดุลบุตร)
๗. ตนกูสะอารี (นายบพิตร อับดุลบุตร)

            เชื้อสายของพระยาเมืองยะหริ่งได้มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองต่อมา คือนายวัยโรจน์ พิพิธภักดี บุตรคนที่ ๓ ของพระพิพิธภักดี และนายทวีศักดิ์ อับดุลบุตร บุตรคนที่ ๒ ของนายบรรเทิง อับดุลบุตร โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย อาจกล่าวได้ว่าจะเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยแต่เชื้อสายของพระยาเมืองยะหริ่ง ยังคงมีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองกันมาโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าวังยะหริ่งที่เคยเป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองของเมืองยะหริ่งในสมัยก่อนนั้น ยังคงเป็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
            วังยะหริ่งหรือวังเจ้าเมืองยะหริ่ง ตั้งอยู่ที่ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เจ้าเมืองยะหริ่ง อันดับ ๓  ซึ่งเป็นบุตรของพระยาพิบูลเสนานุกิจพิเชษฐ์ภักดี ในอดีตเมืองยะหริ่งเป็นประเทศราชของไทย ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการด้วยต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้แก่ไทย ๓ ปี ต่อ ๑ ครั้ง และต้องส่งทหารไปช่วยรบยามเกิดศึกสงคราม ดังกล่่าวแล้ว วังยะหริ่ง เป็นเรือนไม้กึ่งปูนสร้างขึ้นแบบสไตล์ยุโรป ผสมผสานศิลปกรรมพื้นเมืองและชวา โดยตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองยะหริ่งในปัจจุบัน นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวยะหริ่งยิ่งนัก เพราะสถาปัตยกรรมทรงคลาสสิคหลังนี้ ได้ทำหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนจากต่างแดนอยู่เป็นประจำ ปัจจุบันนี้วังยะหริ่งยังมีให้เห็นถึงความสมบูรณ์ แม้ว่าวังยะหริ่งจะสร้างมานานเกือบ ๑๐๐ ปี แต่วัตถุพยานและหลักฐานของเรื่องราว ตั้งแต่ยุคคุณทวดทุกอย่างยังถูกรวบรวมและจัดวางไว้เหมือนกับในอดีตทุกกระเบียดนิ้ว ทำให้ผู้คนที่นี่ยังรู้สึกว่าวังยะหริ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย แม้เวลาจะเปลี่ยนผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ตาม รูปแบบอาคารของวังยะหริ่งเป็นอาคาร ๒ ชั้นรูปตัวยู  (U) ออกแบบเรือนด้วยสถาปัตยกรรมไทยมุสลิมผสมยุโรป บริเวณชั้นบนจัดเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านข้างของตัวอาคารทั้ง ๒ ด้าน เป็นห้องสำหรับพักผ่อนของเจ้าเมือง และบุตรธิดาข้างละ ๔ ห้อง ส่วนชั้นล่างเป็นใต้ถุน มีลักษณะเด่นคือบันไดบ้านโค้งแบบยุโรป มีช่องแสงประดับด้วยกระจกสีเขียว แดงและน้ำเงิน โดยช่องระบายอากาศและหน้าจั่วทำด้วยไม้ ฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ตามแบบศิลปะชวาผสมผสานศิลปะแบบตะวันตก ทำให้วังมีความสวยงามและสง่างามมาก นอกจากนี้ภายในวังยะหริ่งยังเต็มไปด้วยหลักฐานเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เครื่องโถ ถ้วยชาม ภาพเขียน ภาพถ่ายเมืองปัตตานี และเมืองยะหริ่ง ซึ่งหาชมได้ยก โดยทายาทรุ่นหลัง คุณหญิงวุจจิรา เด่นอุดม ได้ทำการอนุรักษ์ไว้
วังยะหริ่งเป็นอาคารไม้โบราณที่มีสถาปัตยกรรมแบบมลายูผสมผสานกับตะวันตก สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวปัตตานีในอดีตได้อย่างชัดเจนการเข้าชมภายในวังยะหริ่งไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเดินชมแค่เพียงตัวบ้านด้านนอก สามารถเดินชมได้เพียงแค่แจ้งคนเฝ้าสถานที่ด้านหน้า แต่หากต้องการเข้าไปชมภายในตัวบ้านต้องขออนุญาติล่วงหน้า 

       
การวางผังและการใช้พื้นที่ภายในวังยะหริ่ง
             ถ้ามองผ่านกำแพงวังซึ่งอยู่ด้านหน้าของวังจะมีป้อมยามริมประตูรั้วทางด้านขวา ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันตก บนเนื้อที่ประมาณ ๑๐ ไร่ สำหรับอาณาเขตของวัง ทิศใต้ และทิศตะวันออกจรดถนนสาธารณะ ทิศตะวันตกจรดถนนหน้าวังทิศเหนือจรดบ้านเรือนผู้คน ถ้าเดินผ่านประตูรั๊วเข้าไปในวัง จะพบทางเดินตรงเข้าไปแล้วแยกเป็นทางซ้ายและขวาคล้ายรูปตัววาย (Y) โดยมีสวนหย่อมอยู่ตรงกลางสองข้างทางเดินจะมีไม้ยืนต้นนานาชนิดปกคลุมพื้นที่ มองดูร่มรื่นไปทั่ววังตลอดถึงมีทางเดินมาบรรจบกันบริเวณหน้าวังชั้นบน การใช้พื้นที่ภายในวังยะหริ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ชั้นล่างและชั้นบน

๑. ชั้นล่าง โดยแบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง
   - ส่วนหน้า ภายในอาคารมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย กล่าวคือเมื่อก้าวขึ้นบันไดวังด้านหน้า จะพบห้องโถงขนาดใหญ่มีประตูไม้ตรงกลางห้อง ซุ้มประตูตกแต่งด้วยไม้ฉลุเป็นลายพรรณพฤกษา1แบบศิลปะชวา เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปจะพบห้องอยู่ทางด้านซ้ายและขวาเช่นกัน ถัดจากนั้นจะเป็นฝาผนังก่ออิฐถือปูน มีประตูเพื่อใช้สำหรับติดต่อระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลัง
    - ส่วนหลัง แบ่งเป็นด้านซ้ายและด้านขวาทางเดินปู่ด้วยแผ่นอิฐยกระดับจากพื้นประมาณ ๑ ฟุต ส่วนหลังแบ่งแบ่งเป็นห้องด้านละ ๔ ห้อง รวมทั้งหมด ๘ ห้อง แต่ละห้องเป็นห้องทึบไม่มีหน้าต่าง ส่วนหลังของวังมีเนื้อที่ประมาณเศษสามส่วนสี่ของพื้นที่ วังชั้นล่างใช้เป็นที่อยู่อาศัยของข้าทาสบริวาร และบรรดาโจทก์ จำเลย ที่มารอฟังคำตัดสินคดี เนื่องจากต้องใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนบางคดีใช้เวลานานถึง ๓ เดือน โดยโจทก์และจำเลยจะต้องนำเสบียงอาหารมาเอง ซึ่งทางวังจะจัดพื้นที่บริเวณถัดจากส่วนหลังของตัววังออกไป สร้างเพิงไว้สำหรับหุงหาอาหาร นอกจากนั้นในปัจจุบันพื้นที่ที่เหลือทางด้านช้ายบางส่วนถูกขุดขึ้นเป็นบ่อปลา ส่วนที่เหลือได้ปลูกต้นไม้นานาชนิดปกคลุมไปทั่วทั้งวัง 
๒. ชั้นบน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนหน้าและส่วนหลัง
     - ส่วนหน้า เมื่อก้าวขึ้นบันไดทั้ง ๒ ด้าน จะพบระเบียงเหล็กดัด จากนั้นจะเป็นประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ขนาดของห้องโถงมีเนื้อที่ประมาณหนึ่งในสี่ของตัววัง ชั้นบนใช้เป็นลายพรรณพฤกษา ได้แก่ลวดลายที่นำเถาจากพืชมาขดเป็นลายประกอบด้วยช่อ ใบ ผล ดอก กิ่งก้าน นำมาจัดให้อยู่ในกรอบหรือนอกกรอบ โดยคำนึงถึงองค์ประกอบสมดุลย์จากศูนย์กลางและซ้ายขวาเป็นสำคัญ พืชที่นิยมใช้กันมากคือเถาองุ่นและพรรณไม้ชนิดต่าง ๆ สถานที่ออกว่าราชการและต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองของพระยายะหริ่ง มีเสากลางห้อง ๒ เสา ในปัจจุบันเจ้าของวังให้ทำการปรับปลี่ยนห้องโถงโดยนำฝากระดานมากันขึ้นเป็นเป็นอีก ๒ ห้อง ทางด้านซ้ายและด้านขวาของห้องโถงส่วนหน้าจึงมีทั้งหมด ๓ ห้อง เมื่อเดินไปถึงมุมห้องทั้ง ๒ ห้องจะพบประตูสำหรับผ่านเข้า-ออกระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลัง 
     - ส่วนหลัง แบ่งเป็นด้านซ้ายและด้านขวามีระเบียงเป็นหล็กตัดยาวโปโดยตลอดจนสุดพื้นที่ชั้นบน ทั้งด้านช้ายและด้านขวาแบ่งออกเป็นห้องเท่า ๆ กัน ด้านละ ๔ ห้อง รวมทั้งหมด ๘ ห้อง ใช้เป็นที่พักอาศัยของพระยาเมือง บรรดาภรรยา และบุตรหลาน ในปัจจุบันเจ้าของวังได้รวมห้องทางด้านขวา คือห้องที่ ๑ และห้องที่ ๒ เป็นห้องเดียวกัน ใช้สำหรับเป็นห้องนั่งเล่นและรับประทานอาหาร จึงเหลือห้องในส่วนหลังเพียง ๖ ห้อง ในปัจจุบันชั้นบนทั้งส่วนหน้าและส่วนหลัง มีทั้งหมด ๙ ห้อง อีกทั้งได้ต่อเติมส่วนหลังของบ้านเพื่อไช้เป็นห้องครัวและทำบันไดเพื่อขึ้นลงอีกทางหนึ่ง 

    รูปทรงและวัสดุที่ใช้วังยะหริ่ง
            วังยะหริ่งสร้างโดยสถาปนิกชาวจีนและช่างในท้องถิ่น โดยเริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ใช้เวลาประมาณ ๕ ปี  ลักษณะรูปทรงของวังจะสร้างเป็นบ้านสองชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ แบบเรือนไทยมุสลิมผสมกับแบบบ้านแถบยุโรปและศิลปะชวาสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมของบรรดาข้าราชการชั้นสูง และผู้มีอันจะกินในสมัยนั้น ตัววังมีลักษณะคล้ายตัวยู (U) เนื่องจากวังได้สร้างมาเป็นเวลานานจึงชำรุดทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะส่วนที่ชำรุดได้รับการซ่อมแซมต่อเติมเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน โดยมีองค์ประกอบต่อไปนี้คือ

๑. กำแพงวัง
     กำแพงวังใช้แผ่นดีบุกกั้นเป็นรั้วโดยรอบ แต่เนื่องกาลเวลาประกอบกับสภาพดินฟ้าอากาศในแถบนั้น ทำให้แผ่นดีบุกชำรุดลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันเจ้าของวัง ได้สร้างกำแพงแบบก่อคอนกรีตเสริมเหล็ก ติดประตูเหล็กดัดตามแนวรั้วเดิมทางทิศเหนือ ส่วนแนวอื่น ๆ ใช้สังกะสีกั้นเป็นรั้วแทน
๒. เสา
     -  เสาชั้นล่าง ด้านหน้ามีเสา ๑๕ เสา หากมองจากทางเดินเข้าวังจะเห็น ๔ เสา รองรับน้ำหนักจากเสาไม้ชายคา บริเวณบันไดทางขึ้นเป็นเสาที่รับน้ำหนักระเบียงทั้งสองด้าน ๆ ละ ๕ เสา อีก ๑ เสา รับน้ำหนักต่อจากเสาไม้บริเวณห้องโถง เสาเหล่านี้สร้างแบบก่ออิฐถือปูนโบกทับด้วยปูนขาว ปัจจุบันปูนที่โบกทับได้กระเทาะหลุดอออกมาจนเห็นแผ่นอิฐ เจ้าของวังจึงได้ทำการซ่อมแชมโดยการใช้ปูนชีเมนต์โบกทับเข้าไปแทน
     - เสาชั้นบน ด้านหน้ามี ๑๔ เสา เป็นเสาที่รับน้ำหนักชายคา ๔ เสา เสาที่รับน้ำหนักหลังคาที่ระเบียงอีก ๔ เสา เสากลางห้องโถง ๒ เสา และเสาที่รับน้ำหนักหลังคาอีก ๔ เสา ส่วนด้านหลังเป็นเสาที่รับน้ำหนักของหลังคา ทั้งสองด้านอีก ๖ เสา นอกจากนั้นยังมีเสาที่ปรากฏอยู่ตามห้องต่าง ๆ อีก ๓๕ เสา เสาทั้งหมดนี้เป็นไม้ตะเคียน! ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมลบเหลี่ยมเสาเล็กน้อยเหมือนเสาบ้านทั่ว ๆ ไป
๓. บันได
     บันไดทำจากไม้และทำมาจากปูนโดยเฉพาะบันไดด้านหน้าวัง ที่จะขึ้นไปสู่ชั้นบนเป็นบันไดก่ออิฐถือปูนแบบทึบโบกทับด้วยปูนชาว มีอยู่ทั้งสองด้านของตัววัง เพื่อให้เหมาะกับฝาผนังชั้นล่าง ราวบันไดจึงก่ออิฐถือปูนแบบทึบเช่นกันทั้งขั้นและราวบันไดมีลักษณะโค้งมนตามแบบศิลปะตะวันตกมี ๒๑ ขั้นเท่ากันทั้งสองด้าน บันไดแต่ละชั้นยาว ๑ เมตร ๔๕ เซนติเมตร เป็นที่น่าลังเกตว่าการทำขั้นบันไดให้มีจำนวนเท่ากันทุกด้าน อาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องการสร้างบ้าน ต้องทำชั้นบันไดเป็นเลขคี่ ตามแบบชาวไทยพุทธที่เชื่อว่าบันไดคู่คือบันไดผีบันไดคี่คือบันไดคน จึงจะเป็นศิริมงคลแก่ผู้อาศัย ด้านหลังเป็นบันไดไม้แต่ละขั้นบันได ใช้ไม้เนื้อแข็งแผ่นเดียวไม่มีรอยต่อ เป็นบันไดที่เพิ่งต่อเติมขึ้นมาภายหลัง
๔. พื้นวัง
     - ชั้นล่าง พื้นวังปูด้วยอิฐขนาตกว้างและยาวด้านละ ๓๐ เชนติเมตร พื้นวังยกระดับจากพื้นดินประมาณ ๓๐ เซนตินมตร บริเวณพื้นพื้นนั้นนั้นปูด้วยอิฐขนาดเดียวกัน
     - ชั้นบน ซึี่งทำด้วยไม้ตะเคียนโดยตลอดเป็นแผ่นขนาดใหญ่และยาวมีรอยต่อของไม้น้อยมาก ปัจจุบันพื้นไม้ยังอยู่ในสภาพดีแม้ว่าจะผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานานก็ตาม
๕. ประตู
      ประตูวังยะหริ่งมีประตู ๒ ประตู ได้แก่ ประตูห้องต่าง  ๆ ทั้งชั้นล่างและชั้นบน และประตูทางเข้าห้องโถง ประกอบด้วย
      ๕.๑ ประตูบานเปิดธรรมดาทำจากไม้ตะเคียนไม่มีลวดลาย แต่ละบานแบ่งออกเป็น ๓ ช่องไม่เท่ากันช่องกลางมีขนาดใหญ่สุดกว้าง ๓๐ เซนติเมตร ขนาดรองลงมา คือช่องล่างกว้าง ๓๐ เซนติเมตร สูง ๔๐ เชนติเมตร และเล็กสุด คือช่องบน กว้าง และสูงด้านละ ๓๐ เซนติเมตร ประตูแต่ละห้องมีขนาดกว้าง ๑ เมตร สูง ๒ เมตร ๔๐ เซนติเมตร ประตูชั้นล่างทาด้วยสีเขียวไข่กาตลอดทั้งบาน ชั้นบนแต่ละช่องทาสีขาว ส่วนบริเวณกรอบประตูทาสีเทา
      ๕.๒ ประตูห้องโถงชั้นบน มีลักษณะแตกต่างจากประตูทั่วไปเป็นประตูบานเปิดแบ่งออกเป็น ๒ ช่องเท่ากัน ขนาดกว้างและสูงด้านละ ๑ เมตร ช่องล่างเป็นไม้ส่วนช่องบนเป็นกระจกสีขาวขุ่นมีลวดลายคล้ายดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ตีกรอบด้วยไม้

๖. หน้าต่าง
   
สำหรับหน้าต่างของวังยะหริ่งมี  ๒ ประเภท คือ
    ๖.๑ หน้าต่างบานใหญ่มีขนาดมาตราส่วนเท่ากับประตู และที่พิเศษศว่าตรงช่องกลางซึ่งตีเป็นบานเกล็ดสำหรับระบายลมแต่ไม่สามารถพับขึ้น-ลงอย่างบานเกล็ดในปัจจุบัน
    ๖.๒ หน้าต่างบานเปิดธรรมดาไม่มีลวดลาย แบ่งออกเป็น ๒ ช่อง อยู่บริเวณฝ่าผนังชั้นบน ทางด้านนอกของตัววังช่องบนมีขนาดกว้างและยาวด้านละ ๓๐ เซนติเมตร ช่องล่างมีขนาดกว้าง ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๑ เมตร สูงจากระดับพื้น ๑ เมตร

๗. ซุ้มประตู
      ซุ้มประตูเป็นซุ้มประตูที่ทำด้วยไม้อยู่บริเวณห้องโถงชั้นล่าง ส่วนโค้งซุ้มประตูทางด้านบนฉลุเป็นลายพรรณพฤกษา อย่างประณีตเพิ่มความงดงามแก่ซุ้มประตูเป็นอย่างยิ่งยิ่ง
๘. ระเบียง
      พื้นระเบียงปูด้วยไม้ส่วนรั๊วระเบียงเป็นลูกกรงเหล็กหลอมสีขาว มีลวดลายขมวดม้วนกลมแบบศิลปะชวา เป็นเหล็กหลอมที่สั่งซื้อมาจากประเทศสิงคโปร์ ในขณะที่กำลังสร้างวังรั้วระเบียงเหล็กหลอมนี้ ได้มีการซ่อมแชมมาแล้วหลายครั้ง โดนการเคาะและทาสีใหม่จากเดิมสีไข่ไก่เป็นสีขาวและต่อมาได้มีการซ่อมแซมอีก ๒ ครั้งโดยพ่นสีขาวเช่นเดิม
๙. ฝาผนัง
     - ชั้นล่าง เป็นการก่ออิฐถือปูนแบบทึบ อิฐที่ใช้มีขนาดเล็กแต่หนากว่าอิฐปูพื้น ฝาผนังฉาบด้วยปูนขาว ปัจจุบันฝาผนังชั้นล่างเกิดชำรุดทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ปูนที่ฉาบกระเทาะหลุดออกเป็นชิ้น ๆ เจ้าของวังได้ทำการซ่อมแซมโดยการใช้ปูนชีเมนต์โบกทับในบริเวณที่ปูนกระเทาะ
    - ชั้นบน ฝาผนังใช้ไม้ตะเคียนแผ่นใหญ่ตีเรียงกันขึ้นไปตลอดทั้งชั้น
๑๐. ช่องแสง
      ช่องแสงเป็นส่วนประกอบด้านบนของหน้าต่างและประตู มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลมแบ่งออกเป็น ๕ ช่อง คล้ายกลีบดอกไม้ ประดับด้วยกระจกสีเขียว แดง และน้ำเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นการนำธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบในการตกแต่งอาคารบ้านเรือน
๑๑. ช่องระบายอากาศเป็นสิ่งที่ปรากฎต่อเมืองกันไปตลอดฝาผนังตัววังชั้นบนทำด้วยไม้มีความงดงามในด้านการฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษาแบบศิลปะชวา 
๑๒. เชิงชาย
        เชิงชายปรากฏอยู่ ๒ บริเวณ คือริมหลังคาและทางตอนในของหลังคา ทำด้วยไม้ฉลุลวดลายด้วยการวางแบบซ้ำ ๆ กัน สำหรับเชิงชายที่ปรากฎทางตอนในของหลังคามีลักษณะโค้งแบบโดมประดับเสาไม้ชั้นบนเพื่อรับกับระเบียงทางเดินโดยตลอด
๑๓. หน้าจั่ว
       หน้าจั่วของวังประดับด้วยไม้ ฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ตรงกลางของลวดลายเป็นรูปคล้ายมงกุฎเป็นลักษณะของศิลปะชวา 
๑๔. หลังคา
       หลังคาของวังยะหริงเป็นทรงปั้นหยาแบบหลังคาของชาวไทยมุสลิมที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ใช้ไม้เป็นโครงของหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบรูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ สันหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาเช่นกันแต่แตกต่างกันที่รูปทรงและความหนาวางเรียงซ้อนกันเป็นแนว บริเวณชายคาเป็นส่วนที่เพิ่งต่อเติมมุงด้วยกระเบื้องที่ใช้กันยุคปัจจุบัน

     สิ่งของและเครื่องใช้ในวัง 
      
การที่วังยะหรั่งเป็นวังที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงานของพระยามืองยะหริ่ง ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีตสืบต่อ ๆ กันมาหลายสมัย มีข้าราชบริพารอาศัยอยู่มากมาย ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเหล่านี้ในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังอยู่ที่วังยะหริ่งในความครอบครองของนางสวาสดิ์ พิพิธภักดี ซึ่งเป็นเจ้าของวัง นอกจากนี้ยังกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านของเครือญาติเจ้าของวังอีกส่วนหนึ่ง สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ที่ยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบันได้แก่

๑. เครื่องพระราชทาน ซึ่งพระยาพิพิธเสนามาดบาธิบดีศรีสุรสงคราม ได้รับพระราชทานในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนที่เหลืออยู่ในวังยะหริ่งคือ
     - เชี่ยนหมาก
ประกอบด้วย ตัวเชี่ยนหมาก ของใส่พลู กระปุกใส่ขึ้ง และเต้าปูนทรงลูกมะยม ทั้งหมดนี้เป็นทองลงยาลายพรรณพฤกษาและกรรไกรคีีบหมากเป็นรูปหัวสิงห์ 
     -  กาน้ำ เป็นทองลงยา ลายพรรณพฤกษา
๒. ตลับใส่บุหรี่ ทำด้วยเงิน คุนเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ซึ่งสุลต่านรัฐปะลิศได้ประทานแด่พระยาพิพิธเสนามาตย์ฯ ขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นพระยายะหริ่ง
๓. ตลับใส่เครื่องประทิน (โถปริก) ทรงลูกแพร์ คุนเป็นลายกระจังกลีบบัว
๔. กริซ แบบยาวเป็นลักษณะกริชทางอินโดนีเซีย
๕. มีดปลายเชียง ทั้งกริชและมีดปลายเชียง สั่งทำขึ้นโดยช่างชาวพื้นเมือง ตั้งแต่สมัยพระยาพิพิธเสนามาตย์ฯ ดำรงตำแหน่งเป็นพระยายะหริ่ง สิ่งของเครื่องใช้ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยังคงใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมในวัง เช่น พิธีโกนผมไฟ พิธีเข้าสุนัต
๖. เครื่องกระเบื้อง จำพวกถ้วยชาม ชุดดินเนอร์ เป็นเซรามิคเขียนสี ลงลายน้ำทอง อายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี ในขณะที่พระพิพิธภักดีฯ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้จัดซื้อไว้เพื่อรับแขกหรือใช้ในงานเลี้ยงรับรองข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีจำนวนมากประมาณ ๕๐ ชุดต่อหนึ่งลวดลายแต่เมื่อใช้สอยเป็นเวลานานบรรดาเครื่องกระเบื้องเหล่านี้ได้ชำรุดแตกหักไปตามกาลเวลา
๗. เครื่องแก้วเจียระไน คริสตัลลงสีและลายน้ำทอง ตกแต่งด้วยโลหะเงินเงินเป็นของคุณย่าของนางสวาลดิ์ พิพิธภักดี ซึ่งได้สะสมไว้และได้มอบให้นางสวาลดิ์เมื่ออายุ ๒๒ ปี  เครื่องแก้วเจียระไนเหล่านี้น่าจะมีอายุประมาณ ๑๐๐ กว่าปี และมีเครื่องแก้วอีกบางส่วนเป็นสินค้ามาจากชาอุดิอาระเบียซึ่งพระพิพิธภักดีได้จัดซื้อไว้มีอายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี
๘.. เครื่องโลหะ เป็นภาชนะสำหรับใส่อาหารอายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี ส่วนใหญ่ทางวังได้ซื้อไว้ แต่มีถาดรูปกลมทำขอบเป็นรูปกลีบดอกไม้ดุนเป็นลวดลาย ได้รับจากสุลต่านรัฐกลันตัน (ตนกูอิสมาแอ) ในช่วงที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน 

             ความสำคัญของเมืองยะหริ่งในฐานะเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองปัตตานี ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของไทยมาแต่กรุงศรีอยุธยา ส่งผลให้เมืองยะหริ่งมีความผูกพันทางการเมืองกับกรุงรัตนโกลินทร์ตอนต้นในฐานะ 1 ใน 7 หัวเมืองประเทศราช ซึ่งปรากฏในรูปการส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่เมืองหลวง เมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยผนวกเมืองยะหริงไว้ในมฑลบัตตานีมีข้าหลวงเทศาภิบาลปกครองแทนตำแหน่งพระยาเมือง ยังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ต่อมาได้รับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ในยุคปัจจุบันวังยะหริ่งยังไม่ได้หมดความสำคัญแต่ยังคงความเป็นศูนย์กลางของท้องถิ่นเหมือนแต่ก่อนเชื้อสายของวังยะหริ่งคือนายวัยโรจน์ พิพิธภักดี นายมานพ พิพิธภักดี และนายทวีศักดิ์อับดุลบุตร ได้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งยังคงได้รับความไว้วางใจจากชาวยะหริ่งและประชาชนเรื่อยมา วังยะหริ่งยังต้อนรับคนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือบรรดาเชื้อสายที่ตกยากมาขอความช่วยเหลืออยู่เสมอสถาปัตยกรรมของวังสะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลศิลปกรรมจากประเทศตะวันตกและประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซียที่เข้ามาผสมสานกับศิลปกรรมของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืนตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้กายในวังสะท้อนให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับรัฐกลันต้น ประเทศมาเลเชีย เป็นความสัมพันธ์อย่างแนบแน่ที่มีมาตั้งแต่อดีตด้วยการแต่งงานกับเชื้อสายราชวงศ์กลันตันมาโดยตลอด แม้แต่ในปัจจุบันเชื่อสายตระกูลพิพิพิธภักดีได้แก่ ตนกูอานิส สมรสกับสุลต่านอิสมาแอในรัฐกลันตันองค์ปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ความเจริญรุ่งเรืองในอดีตของวังยะหริ่งย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความสำคัญของวังได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ ความสง่างามของวังยะหริ่งสร้างความประทับใจให้ปรากฏอยู่ในความคิดคำนึงของผู้มาเยือน ต่างเล่าขานกันต่อๆไปด้วยความชื่นชม สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวยะหริ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสนใจต่อประวัติความเป็นมาของวังยะหริ่งของนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีและนักวิชาการต่างๆ ก่อให้เกิดความรู้สึกปลื้มปิติต่อเจ้าของวังและชาวยะหริ่งเป็นอย่างยิ่ง เป็นการประสานรอยต่อทางประวัติศาสตร์ในอดีตและปัจจุบันที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเพื่อสืบค้นคุณค่าและความสำคัญของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเมืองยะหริ่งต่อไป อดีตวังยะหริ่งเป็น 1 ใน 7 ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของไทย ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้แก่ไทย 3 ปี ต่อ 1 ครั้ง ทั้ง 7 หัวเมืองประกอบไปด้วย หัวเมืองยะหริ่ง หัวเมืองสายบุรี หัวเมืองหนองจิก หัวเมืองจะบังตีกอ หัวเมืองรามัน หัวเมืองยาลอ และหัวเมืองระแงะในอดีตวังยะหริ่งเป็น 1 ใน 7 ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของไทย ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ให้แก่ไทย 3 ปี ต่อ 1 ครั้ง ทั้ง 7 หัวเมืองประกอบไปด้วย หัวเมืองยะหริ่ง หัวเมืองสายบุรี หัวเมืองหนองจิก หัวเมืองจะบังตีกอ หัวเมืองรามัน หัวเมืองยาลอ และหัวเมืองระแงะ สำหรับวังยะหริ่งพระยาพิพิธเสนาบดีสงคราม ท่านเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนที่ 3 ท่านได้มอบหมายช่างเชื้อสายจีนที่มาจากกรุงเทพ เป็นผู้สร้างวัง เมื่อปี พ.ศ. 2438 ถึงปัจจุบันอายุ 124 ปี ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ ส่วนลายที่แกะสลักภายในวังเป็นลายชวา ซึ่งใช้ช่างจากอินโดนีเซีย สถาปัตยกรรมของวัง ได้รับแนวคิด 3 สไตล์รวมกัน ประกอบไปด้วย มลายู ชวา และยุโรปตัววังจะสร้างด้วยไม้ตะเคียนทองทั้งหลัง แบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูน ชั้นบนเป็นไม้ ชั้นบนจะเป็นที่ทำการของเจ้าเมืองไว้ตัดสินคดีความและรับแขกบ้านแขกเมือง โดยเจ้าเมืองกับลูกหลานจะอาศัยอยู่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างจะเป็นที่อยู่อาศัยของทาสหรือเครือญาติ ภายในวังจะสร้างเป็นรูปตัวยู ปัจจุบันวังแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลานไม่ใช่พิพิธภัณฑ์วังยะหริ่ง เป็นวังของพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสงคราม (นิโวะ) เจ้าเมืองยะหริ่ง ในสมัยการปกครองแบบเจ็ดหัวเมืองประเทศราช ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานีวังยะหริ่งสร้างโดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสงคราม (นิโวะ) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนที่7และเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งคนสุดท้ายก่อนมีการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล ตัววังสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2438[1] ในปลายรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้สร้างเป็นที่พำนักและใช้เป็นที่ว่าราชการเมือง วังยะหริ่งหลังนี้ได้เป็นมรดกสืบทอดและเป็นที่อยู่อาศัยของทายาทจนถึงรุ่นปัจจุบัน


ภาพจาก : https://link.psu.th/Asz8HA


                 


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วังยะหริ่ง
ที่อยู่
หมู่ที่ 2 ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี
จังหวัด
ปัตตานี
ละติจูด
6.864394
ลองจิจูด
101.371163



บรรณานุกรม

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
Pattani Heritage City. (2563). วังเจ้าเมืองโบราณ : ยะหริ่ง. สืบค้น 11 เม.ย. 68, https://link.psu.th/Asz8HA


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025