วังจะบังติกอ
 
Back    15/05/2025, 14:36    21  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา



ภาพจาก : https://link.psu.th/fCdaEG

         วังจะบังติกอเป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ริมเม่น้ำปัตตานี กำเนิดของวังนี้สืบเนื่องมาจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ได้เกิดความขัดแย้งภายในเมืองกลันตัน ถึงชั้นสู้รบกันระหว่างพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสา ในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ด้วยเรื่องที่ตนกูปะสาน้อยใจพระยากลันตันที่ไม่กราบทูลขอเมืองอื่น ๆ ให้ตนได้ครอบครอง ตลอดจนเรื่องทรัพย์สมบัติบ่าวไพร่ของตนกูปะสา เหตุการณ์ได้ลุกลามมากขึ้น เมื่อตนกูปะสาได้ชักชวนพระยาบาโงยช่วยกันรวบรวมผู้คนตั้งค่ายสู้รบกับพระยากลันตัน ด้วยเหตุนี้กองทัพจากเมืองหลวงกรุงเทพฯ ซึ่งมีพระยาศรีพิพัฒน์ยกลงไปตั้งมั่น ณ เมืองสงขลา ได้มอบหมายให้พระยาไชยานอกราชการ ยกกองทัพเรือไปเมืองกลันตันบังคับให้พระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสารื้อค่ายเลิกรบกัน พร้อมทั้งนำตัวพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสา มาหาพระยาศรีพิพัฒน์ ณ เมืองสงขลา เพื่อไกล่เกลี่ยและสามารถประนีประนอมกันได้ จึงให้กลับไปเมืองกลันตัน ในปีต่อมาได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องพระยาจางวางกับตนกูศรีอินทิรา (รายามดา) ขัดคำสั่งพระยากลันตันถึงขั้นชุดสนามเพลาะจะรบกันอีก เมื่อความทราบถึงกรุงเทพฯ ทรงโปรดฯ ให้พระยานครฯ (น้อย) แต่งหนังสือลงไปว่ากล่าวข่มขู่ก็สงบกันไปได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๔ ตนกูปะสาเดินทางมายังกรุงเทพฯ ได้ร้องเรียนเรื่องพระยาจางวางและตนกูศรีอินทิรา (รายามุดา) นำเรือกสวนทรัพย์สมบัติของตนไปทำประโยชน์ ในขณะเดียวกันพระยากลันตันได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ กล่าวโทษตนกูปะสาว่าใช้คนไปชักชวนพระยาบาโงย และพรรคพวกที่เมืองตรังกานู เมืองลิงา ให้มาทำร้ายพระยากลันตัน  การทะเลาะบาดหมางระหว่างพระยากลันตัน กับพระราชวงศ์หลายครั้งทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ความวุ่นวายต้องเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด ประกอบกับตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีว่างลงจึงมีรับสั่งให้ย้ายพระยาหนองจิกลงเป็นพระยาปัตตานี แล้วโปรดฯ ให้ถามตนกูปะสาว่าจะให้ขึ้นมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองหนองจิกจะเต็มใจหรือไม่ ตนกูปะสารับจะมาแต่จะขอลงไปรับครอบครัวบ่าวไพร่ที่เมืองกลันตันเพื่อนำมาเมืองหนองจิกด้วย จึงโปรดฯ ให้พระยาท้ายน้ำลงไปช่วยตนกูปะสารวบรวมผู้คนที่จะนำมาเมืองหนองจิก ตนกูปะสาได้ชักชวนพระยาบาโงย ตนกูหลงอาหมัด ให้มาอยู่หนองจิกแต่ได้รับการปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ตนกูปะสาจึงลังเลและได้ทำหนังสือมายื่นต่อพระยาท้ายน้ำว่าถ้าได้เป็นพระยากลันตันจะให้สินบน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ พระยาท้ายน้ำจึงมีใบบอกมายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขัดเคืองพระทัยว่าเมืองกลันตันมีแต่การแก่งแย่งกันไม่รู้จักจบสิ้น จึงโปรดฯให้พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกณฑ์กองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ๒๐,๐๐๐ คน ให้พระเสน่หานตรีคุมกองทัพลงไปสมทบกับกองทัพเมืองสงขลาอีก ๒.๐๐๐ คน พระสุนทรนุรักษ์ (สังข์) เป็นหัวหน้ามาสมทบกันยกลงไปเมืองกลันตัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตนกูปะสา พระยาบาโงย และตนกูหลงอาหมัดยอมอพยพไปอยู่เมืองหนองจิก ตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองหนองจิกได้ประมาณ ๓ ปี พระยาบาโงยและตนกูหลงอาหมัด ได้ถึงแก่กรรมที่เมืองหนองจิกทั้ง ๒ คน เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีว่างลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนแรกแห่งราชวงศ์กล้นต้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความบาดหมางระหว่างพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสาจึงยุติลง ตนกูปะสาเมื่อเดินทางมาถึงเมืองปัตตานีได้สร้างวังขึ้นเป็นครั้งแรกบริเวณชายทะเล ปัจจุบันคือหมู่บ้านตันหยงเรียกหมู่บ้านบริเวณนั้นว่าหมู่บ้านเต็งกูบือซาร์ชูเบอร์รัด ต่อมาตนกูปะสาเห็นว่าสถานที่นี่ไม่เหมาะสมในด้านภูมิศาสตร์จึงย้ายไปสร้างวังใหม่ที่ตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นที่เนินน้ำท่วมไม่ถึง และมีแม่น้ำไหลผ่าน ๓ ด้านไปออกปากอ่าวปัตตานี อันเป็นทำเลที่ตั้งที่เหมาะแก่การติดต่อค้าขายทางทะเลเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองปัตตานีจึงปกครองโดยราชวงศ์กลันตันซึ่งขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ วังจะบังติกอจึงเป็นที่ประทับของเจ้าเมืองปัตตานีเชื้อสายกลันตันหลายสมัย ตนกูปะสามีบุตรธิดาทั้งหมด ๖ คน ประกอบด้วย

๑. ตนกูปะสา หรือเต็งกูมูฮัมหมัด (เจ้าเมืองปัตตานี คนที่  ๒)
๒. ตนกูบูลัค (ตนกูฮาญีตูวอร์)
๓. ตนกูฮุเซ็น (ตนกูนิมันดาร์ฮัน)
๔. ตนกูบอสู หรือตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน (เจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๔)
๕. ตนกูตัมบัล
๖. ตนกูลาโบะฮ์

         ตนกูปะสาได้ปกครองเมืองปัตตานีและถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๙๙  โดยนำศพไปฝังไว้ ณ สุสานตันหยงดาโต๊ะ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตั้งตนกูปูเตะซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาณาเขตรประเทศราช ในช่วงที่ตนกูปูเตะปกครองเมืองปัตตานี ได้มีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองปัตตานีมากขึ้น โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีนซึ่งเข้ามาตั้งบ้านเรือนประกอบอาชีพค้าขาย สำหรับตนกูปูเตะนั้นได้ปกครองเมืองปัตตานีด้วยความสงบเรียบร้อยเป็นเวลา ๒๕ ปี จนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ โดยมีภรรยา ๒ คน คือตนฎรายา บุตรีสุลต่านเมืองกลันตัน และตนกูโวะ บุตรีตนภูคือเงาะ ที่ปรึกษาพระยาพิทักษ์เมืองปัตตานี ในบั้นปลายชีวิตของตนกูปูเตะ ได้เดินทางไปรักษาตัวและสิ้นชีวิตที่เมืองกลันตัน โดยมีบุตรธิดาทั้งหมด ๗ คนประกอบด้วย

๑. ตนกูบือซาร์ (ตนกูดีมุง) ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๓
๒. ตนกูอามงร์ ชายาของรายาบันดอรอเมืองกลันตัน
๓. ตนกูอัมปี ชายาตนกูมูฮัมหมัดเมืองกลันตัน
๔. ตนกูคือเงาะ ชายาเจ้าเมืองยะลา
๕. ตนกูปี ชายาตนกูมูฮัมหมัด บุตรรายาเบอร์รัส
๖. ตนภูปัตตานิ ชายาตนภูเบอร์ชาร์อินดรา รายาเมืองกลันตันตัน
๗. ตนกูมูฮัมหมัด เป็นอุปราชในสมัยของตนกูลไลมานชารีฟุดคืน

             หลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตนกูปูเตะ ชื่อตนกูบือชาร์ (ตนกูตีมุง) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาวิชิตภักดีฯ เจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมา สำหรับตนกูบือชาร์ (ตนกูตีมุง) นี้เติบโตและแต่งงานที่เมืองกลันตัน ประกอบกับภรรยามีเชื้อสายในราชวงศ์กลันตัน และไม่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองบัตตานี ตนกูตีมุงจึงเดินทางไปเมืองกลันตันเสมอ ๆ เมืองปัตตานีกับเมืองกลันตันมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสืบเนื่องมาจากทั้ง ๒ ฝ่ายมีเชื้อสายเดียวกัน และกระชับแน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการแต่งงานในหมู่เครือญาติทั้ง ๒ ฝ่ายตลอดมา ทำให้เมืองปัตตานีได้รับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมมาจากเมืองกลันตันมากมาย เช่น ประเพณีการละเล่น และการแต่งกายเป็นต้น ผู้สืบสกุลในรุ่นหลัง ๆ ได้ปฏิบัติสืบเนื่องต่อ ๆ กันมา ตนภูตีมุงถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาพสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงแต่งตั้งตนกูสุไลมานชารีฟุดดิน บุตรตนกูปะสา คนที่ ๔ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี ในบรรดาศักดิ์พระยาวิชิตภักดีฯ ในสมัยการปกครองของตนกูสุไลมานชารีฟุดดินนี้ได้พยายามพัฒนาเมืองปัตตานีให้มีความเจริญก้าวหน้า เช่น มีการขุดและขยายคลองให้กว้างขึ้น สร้างมัสยิดขึ้นใหม่ใกล้วังคือมัสยิดจะบังติกอ ในขณะที่ตนกูสุไลมานชารีฟุดดินปกครองเมืองปัตตานีอยู่ประมาณ ๑๐ ปี แต่ไม่ได้พำนักในวังจะบังติกอ โดยได้สร้างวังใหม่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออกของวังจะบังติกอ หลังจากการถึงแก่กรรมของตนกูสุไลมานชารีฟุดดิน ตนกูอับดุลกอร์เดร์กามารุดดิน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมาในตำแหน่งพระยาวิชิตภักดีฯ แทนบิดา และเป็นเชื้อสายราชวงศ์กลันตันองค์สุดท้ายที่ปกครองเมืองปัตตานี ในขณะปกครองเมืองปัตตานีตนกูอับดุลกอร์เคร์ ได้พำนักที่วังใหม่ซึ่งใกล้กับวังจะบังติกอ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่วังดังกล่าวสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง จึงไม่อาจทนทานต่อกาลเวลา ปัจจุบันบริเวณวังใหม่ดังกล่าวกลายเป็นที่รกร้างไม่มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างหลงเหลืออีกต่อไป เมื่ออังกฤษให้ความสนใจกับเจ็ดหัวเมืองในกาคได้ค่อนข้างมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง หวั่นเกรงว่าอังกฤษจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในหัวเมืองมลายู จึงทรงจัดการปฏิรูปการปกครองทั่วราชอาณาจักร โดยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นในดินแดนนี้เรียกว่ามณฑลบัตตานี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องประสบกับปัญหาและอุปรรคมากมายในการปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองมลายู นับตั้งแต่การยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง เนื่องจากตนกูอับดุลกอร์เดร์เจ้าเมืองปัตตานี และประชาชนชาวปัตตานีไม่ยอมรับการปฏิรูปการปกครองในครั้งนี้ ดังจะเห็นได้จากตนกูอับดุลกอร์เดร์ได้ทำหนังสือร้องทุกข์ไปถึงเซอร์แฟรังค์ สวิทเทนแฮม (Sir Frank Swettenham) ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่สิงคโปร์ว่าการกระทำของไทยเป็นการรบกวนความสงบของราษฎรของข้าพเจ้าในปัตตานี และนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองของข้าพเจ้า ต่อมาในเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๔๔๔ กระทรวงมหาดไทย ได้ส่งพระยาศรีสิงหเทพลงมาจัดการปกครองในภาคใต้ ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) และแต่งตั้งปลัดเมืองยกกระบัตรเมืองผู้ช่วยราชการเมือง พร้อมทั้งจัดส่งพนักงานสรรพากรไปเก็บภาษีอากร ส่วนข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑล ได้แก่พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) ด้วยเหตุนี้ตนกูอับกุลกอร์เดร์จึงปฏิเสธการลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า... เมื่ออ่านสารตราถอดพระยาวิชิตภักดี ถึงคำว่าไปแล้ว มีกำนันผู้ใหญ่บ้านหน้าสลดมาก พระยาศรีสหเทพ เห็นว่าอัปดุลกาเดวิชิตรภักดียังจะมีพรรคพวกอยู่บางนั้น ได้ทราบแล้วตามที่พระยาศรีว่านั้นถูกแล้วต้องเตือนพระยาสุขุมให้รู้สึกไว้... ต่อมารัฐบาลไทยได้จับกุมตนกูอับดุลกอร์เดร์ แล้วนำไปคุมขังที่พิษณุโลกเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี จึงได้รับการปล่อยตัวกลับมาปัตตานี
        ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลหรือระบบแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งมีมณฑลอยู่ ๑๙ แห่งครอบคลุมพื้นที่ ๗๒ เมือง (เปลี่ยนเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในส่วนของมณฑลปัตตานี ประกอบด้วยเมือง ๔ เมืองคือ

๑. เมืองปัตตานี ประกอบด้วยเมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง และเมืองปัตตานี
๓. เมืองยะลา ประกอบด้วยเมืองรามันห์ และเมืองยะลา
๔. เมืองสายบุรี
๔. เมืองระแงะ โดยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบางนรา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘

            เจ้าเมืองทั้ง ๔ เมือง ขึ้นตรงต่อข้าหลวงเทศาภิบาล ซึ่งข้าหลวงเทศาภิบาลนั้นรับนโยบายมาจากส่วนกลางคือกรุงเทพฯ จนกระทั่งวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้คำว่า "เมือง" โดยเปลี่ยนมาเป็น "จังหวัด" คือจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสายบุรี และจังหวัดนราธิวาส ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคใหม่ โดยยกเลิกมณฑลปัตตานีและยุบจังหวัดสายบุรีลงเป็นอำเภอสายบุรีของจังหวัดปัตตานี โดยให้ทุกจังหวัดขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย 
       
        
รูปแบบและสถาปัตยกรรมของวังจะบังติกอ
          
          
วังจะบังติกอ ตั้งอยู่ที่ตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี สร้างโดยสถาปนิกชาวจีน ตัวของวังล้อมด้วยกำแพงทึบก่ออิฐถือปูน รูปทรงของวังเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยาหรือแบบลีมะ ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ๑ เมตร สร้างด้วยไม้ ภายในอาคารมีห้องโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าเมือง ส่วนด้านหลังของห้องโถงจะเป็นที่อยู่อาศัยของภรรยาและบริวาร วังจะบังติกอได้ใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองในท้องถิ่น และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานีหลายสมัย จนกระทั่งถึงสมัยตนกูอับดุลกอร์เดร์ เจ้าเมืองคนสุดท้าย ได้มีการยุบเมืองรวมเป็นมณฑลปัตตานี ทำให้วังซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองก็เปลี่ยนสภาพไปกลายเป็นเพียงที่อยู่อาศัยของบุตรหลานสืบต่อมาถึงปัจจุบัน ภายในวังจะบังติกอมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อการใช้สอยออกเป็น ๒ ส่วน คือ
          ๑. ส่วนหน้าของวัง เริ่มจากกำแพงวังชั้นใน ซึ่งก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ ๑ เมตร ส่วนใหญ่ปรักหักพังไป ยังคงทิ้งร่องรอยให้เห็นกำแพงวังเพียงบางส่วน ก่อนถึงตัวอาคารจะเป็นลานโล่งปูด้วยอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างและยาวด้านละ 32 เซนติเมตร พื้นซึ่งปูด้วยอิฐนี้กว้างประมาณ 3 เมตร ยาวไปจดผนังของตัวอาคาร จากลักษณะรูปทรงและส่วนผสมของอิฐทำให้ทราบว่าเป็นอิฐตั้งเดิม หน้าลานโล่งมีบันไดไม้ขึ้นไปนตัวอาคารทั้ง ๒ ด้าน ตัวอาคารมีขนาดใหญ่ ตั้งเด่นอยู่กลางพื้นที่ทั้งหมด ภายในอาคารมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย มีห้องโถงขนาดใหญ่หรือซานซึ่ง ครอบคลุมเนื้อที่ ๒ ใน ๒ ของตัวอาคาร โดยส่วนที่เป็นพื้นของชานมีความสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร นอกจากนี้บริเวณชานยังมีความต่างระดับกันถึง ๒ ระดับ พื้นที่ดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการของเจ้าเมืองในสมัยนั้น ตัวชานชั้นบนสุดเป็นที่อยู่ของเจ้าเมือง ชั้นรองลงมาจัดให้ขุนนางข้าราชการเข้าพบ ชั้นล่างสุดสำหรับประชาชนรอเข้าพบ ด้านข้างของตัวชานทั้ง ๒ ด้าน ยกพื้นต่ำกว่าชาน และกั้นห้องด้วยไม้ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ จัดทำเป็นห้องสำหรับประดิษฐ์ต้นไม้เงินและต้นไม้ทอง ส่วนพื้นพื้นที่ที่เหลือเป็นชานกว้างสามารถเดินออกไปพบลานโล่งด้านหลังของตัวอาคาร ด้านหลังของตัวซานซึ่งใช้เป็นห้องทำงาม กั้นด้วยผนังแนวยาวไปจดห้องด้านข้างทั้ง ๒ ห้อง ตรงกลางฝาผนังมีประตูไม้ตกแต่งซุ้มประตู สันนิษฐานได้ว่าประตูกลางนี้เป็นประตูที่เจ้าเมืองออกว่าราชการ ด้านหลังของฝาผนังเป็นห้องโล่ง แต่ในปัจจุบันเจ้าของวังได้กั้นห้องเป็นที่อยู่อาศัย ถัดจากตัวอาคารเป็นลานโล่งปูด้วยอิฐขนาดเดียวกับด้านหน้ามีความกว้างประมาณ ๔ เมตร ยาวจดกำแพงวังชั้นในอีกทั้งยังมีบ่อน้ำในบริเวณลานโล่งทางทิศเหนือ รูปร่างเหมือนกับบ่อน้ำด้านหน้าวัง
         ๒. ส่วนหลังของวัง จากลานโล่งที่ปูด้วยอิฐหลังตัวอาคารเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนกั้นแยกส่วนหน้าของวังกับส่วนหลังของวัง เป็นแนวยาวไปจดกำแพงชั้นนอกแต่สามารถติดต่อกันโดยใช้ประตูกลางเป็นหลัก ส่วนหลังของวังมีเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดและใช้เป็นที่ประทับของเจ้าเมืองและข้าราชบริพารฝ่ายในทั้งหมด ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้องเจ้าของวัง นอกจากนั้นพื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่มีต้นไม้นานาชนิด ปกคลุมไปจนจดถนนหลังวัง

       รูปทรงและวัสดุที่ใช้สร้างวัง
     
วังจะบังติกอสร้างโดยสถาปนิกชาวจีน โดยเวลาสร้างประมาณ ๓  เดือนจึงแล้วเสร็จ  ตัววังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงทึบ ก่ออิฐถือปูนมองไม่เห็นอาคารด้านใน ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นบ้านชั้นเดียวชนาดใหญ่หลังคาทรงปั้นหยา (เป็นหลังคาของเรือนไทยมุสลิมในภาคใต้โดยใช้รูปสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมคางหมูเซียงไปชนกันมีเส้นกลางหลังคาเป็นตรง) หรือแบบลีมะตัวอาคารเป็นรูปลี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูงประมาณ ๑ เมตร เนื่องจากตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนทานต่อกาลเวลา ด้วยเหตุนี้รูปทรงตั้งเดิมของวังบางส่วนจึงเปลี่ยนไปโดยเฉพาะส่วนที่ชำรุด ได้รับการซ่อมแชมต่อเติมให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน โครงสร้างและองค์ประกอบของวังจึงผสมผสานกันระหว่างรูปทรงที่ไช้วัสดุเก่ากับรูปทรงที่ใช้วัสดุใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

๑. กำแพงวัง วังจะบังติกอ มีกำแพงวัง ๒ ชั้น ได้แก่

๑.๑ กำแพงชั้นนอก ก่ออิฐถือปูนโดยใช้อิฐรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบัน ขอบกำแพงวังก่ออิฐสูง ๓ ชั้น โดยเรียงอิฐชั้นที่ ๑ ตามความยาวของอิฐ ชั้นที่ ๒ เรียงอิฐตามความกว้างของอิฐ และชั้นที่ ๓ เรียงอิฐตามความยาวของอิฐ จากนั้นใช้ปูนชีเมนต์โบกทับทำให้มองเห็นขอบกำแพงวังเป็นลายนูนสามเส้น กำแพงวังทางทิศตะวันออกและทิศใต้ยังคงรูปร่างค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วนกำแพงวังทางด้านตะวันตกไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่คงมีเพียงถนนหลังวังเป็นเส้นกำหนดอาณาเขตของวัง นอกจากนี้กำแพงวังทางทิศเหนือยังมีซากปรักหักพังของกำแพงบางช่วงและเจ้าของวังในปัจจุบันได้ใช้สังกะสีกั้นเป็นรั้วแทน
๑.๒ กำแพงชั้นใน ก่อธิฐถือปูนเช่นเดียวกับกำแพงวังชั้นนอก ปัจจุบันกำแพงดังกล่าวได้รับการซ่อมแชมใหม่ทางทิศเหนือและทิศใต้ ซึ่งเป็นกำแพงด้านที่ติดกับตัววัง ส่วนกลางและส่วนท้ายของตัวกำแพงทั้ง ๒ ด้าน ทำเป็นประตูไม้ข้างละ ๒ ประตู ด้านบนกำแพงมีช่องระบายอากาศข้างละ ๒ ช่อง กำแพงวังชั้นในทางทิศตะวันออกคงเหลือซาก กำแพงให้เห็นเพียงเล็กน้อย ตรงมุมของบริเวณวังทั้ง ๒ ด้าน และอยู่ห่างจากตัวอาคารประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร นอกจากนี้กำแพงวังชั้นในทางทิศตะวันตกยังคงความสมบูรณ์ และอยู่ห่างจากตัวอาคารประมาณ ๓ เมตร
๒. ฐานเสา หน้าวังมีฐานเสา ๔ ฐาน ใช้รองรับหลังคาของระเบียง ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้วัสดุในปัจจุบันก่อสร้าง ลักษณะของฐานเสาใช้ปูนซีเมนต์ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ ๖ นิ้ว วางบนพื้นดินที่ปรับระดับไว้เรียบ ฐานเสาเรือนที่ปรากฏให้เห็นมีเฉพาะด้านหน้าของตัววัง เพราะเจ้าของวังในปัจจุบันได้ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะทำเป็นฝ่าผนังปิดกั้นใต้ถุนวัง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นฐานเสาอื่น ๆ ได้
๓. เสา ด้านหน้าของตัววังมีเสาที่ใช้รับน้ำหนักของหลังคาที่เป็นระเบียง เสาทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนเสาของบ้านทั่ว ๆ ไป มีทั้งหมด ๔ เสา เสาดังกล่าวทำด้วยไม้เนื้อแข็ง วางบนฐานเสาโดยใช้ปูนซีเมนต์เป็นตัวยึดระหว่างเสากับฐานเสาเรือน ระเบียงของวังในส่วนที่จัดไว้เป็นที่สำหรับราษฎรเข้าพบเจ้าเมือง มีเสากลม ๖ เสา มีขนาดใหญ่ก่ออิฐถือปูนมั่นคงแข็งแรงดี โบกทับด้วยส่วนผสมที่ทำขึ้นจากข้าวเหนียว ไข่ไก่ น้ำผึ้ง ผสมกับสีขาว ส่วนผสมนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวประสานและเพิ่มความทนทานให้กับสิ่งก่อสร้างได้ สำหรับระเบียงซึ่งใช้เป็นบริเวณที่ขุนนางเข้าพบเจ้าเมืองมี ๔ เสา ใช้ไม้เนื้อแข็งทำเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมลบเหลี่ยมเสาเล็กน้อยเพื่อวางรับน้ำหนักของหลังคาควบคู่กันไปกับเสากลม

๔. บันได ลักษณะของบันไดมี ๒ ประเภท

๔.๑ บันใดตั้งอยู่ด้านข้างของระเบียงวัง สามารถเดินขึ้นไปบนระเบียงวังใด้  ๒ ทาง แต่ละขั้นบันไดใช้ไม้เนื้อแข็งแผ่นเดียว ไม่มีรอยต่อ มีทั้งหมด ๓ ขั้น และที่หน้าบันไดมีแท่งซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กว่าชั้นบันไดเพียงเล็กน้อย ใช้ปูแทนขั้นบันไดไม้ขั้นแรก นอกจากนี้ยังมีราวบันไดทั้ง ๒ ด้าน ซึ่งมองจากภายนอกจะเห็นเนื้อไม้ยังใหม่อยู่ อีกทั้งลวดลายของราวบันไดทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ๔ รูป นำมาเรียงต่อกันเป็นรูปข้าวหลามตัดชนาดใหญ่ ซึ่งลวดลายดังกล่าวเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่าราวบันไดดังกล่าวน่าจะจัดทำขึ้นใหม่
๔.๒ บันไดปูนซีเมนต์อยู่ด้านข้างของตัววังทางทิศเหนือและทิศใต้ มี ๓ ชั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าการทำขั้นบันไดวังให้มีจำนวนเท่ากันทุกด้าน อาจเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องการสร้างบ้านต้องทำขั้นบันไดเป็นเลขคี่ ตามแบบชาวไทยพุทธที่เชื่อว่าบันไดคู่คือบันไดผี บันไดคี่คือบันไดคน จึงจะเป็นศิริมงคลแก่ผู้อาศัย

 

๕. พื้นวัง เนื่องจากตัววังทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ พื้นวังทั้งหมดทำด้วยไม้กระดามเนื้อแข็งทั้งแผ่นขนาดใหญ่และยาว มีรอยต่อของไม้น้อยมาก พื้นวังแบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ จากบันไดวังถึงพื้นวังระดับที่หนึ่ง เป็นบริเวณที่ราษฎรเข้าพบเจ้าเมือง ระดับที่ ๒ เป็นบริเวณที่ขุนนางเข้าพบเจ้าเมือง ส่วนระดับที่ ๓ เป็นบริเวณที่เจ้าเมืองออกว่าราชการ ในปัจจุบันพื้นวังระดับที่ ๓ ถูกปิดด้วยผนังกั้นห้อง และใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของวังในปัจจุบัน นอกจากนี้พื้นวังด้านหลังผนังกั้นห้องและด้านข้างของตัวทั้งทั้ง ๒ ด้าน ลดระดับต่ำเท่ากับพื้นวังระดับที่หนึ่งเป็นที่นำเสียดายที่ไม้พื้นวังได้ผุพังไปตามกาลเวลา เจ้าของวังจึงทำการปรับปรุงเปลี่ยนไม้แผ่นใหม่ไปบ้างเป็นบางส่วน
๖. ชาน เมื่อเดินเข้าประตูวังจะบังติกอประมาณ ๑๐๐ เมตร จะถึงบริเวณด้านหน้าของวังซึ่งเป็นชานยกพื้นสูงประมาณ ๑ เมตร มีบันไดขึ้นไปยังซาน ในอดีตใช้เป็นที่ให้ราษฎรเข้าพบมีลักษณะเป็นชานกว้าง ทำด้วยไม้เนื้อแข็งแผ่นใหญ่ตามความยาวของต้นไม้ทั้งต้น แต่ในปัจจุบันซานดังกล่าวล้อมรอบด้วยลูกกรงไม้ ในแต่ละช่องของลูกกรงตกแต่งด้วยลวดลายรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ๔ รูป มาประกอบกันเข้าเป็นรูปลี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลวดลายเดียวกับราวบันไดด้านหน้า ถัดจากลูกกรงไม้เป็นม้านั่งยาวขนานไปกับชานวัง โดยยึดติดกับลูกกรงมีความยาวเท่ากับราวลูกกรงด้านหน้า ม้านั่งทำขึ้นจากไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ ๒ แผ่น สำหรับนั่งพักผ่อนและใช้รับแขก

๗. ประตู มีประตู  ๒ ประเภท ได้แก่

๗.๑ ประตูวังบริเวณกำแพงชั้นนอกมีประตูเดียวตรงกลางกำแพง บานประตูทำด้วยไม้สูงประมาณ ๒ เมตร เปิดคู่เข้าด้านในตัววัง ช่วงบนของบานประตูทำเป็นช่องลูกกรง ส่วนช่วงล่างของบานประตูทึบทำลวดลายแบบลูกฟัก โดยใช้เดือยไม้เป็นตัวยึด ปัจจุบันประตูนี้ชำรุดเจ้าของวังจึงซ่อมแชม โดยใช้ไม้ตอกประตูพาดทะแยงบริเวณลูกกรงของ ประตูช่วงบนและใช้ประตูแหล็กสมัยใหม่ควบคู่ไปกับบานประตู 
๗.๒ ประตูภายในตัววัง มีลักษณะเด่นและเป็นของตั้งเดิมได้แก่ ประตูช่องกลางซึ่งติดกับผนังกันห้องเพื่อแยกส่วนระหว่างเฉลียงกับตัวห้องด้านในของวัง และประตูด้านข้างของวังทั้ง ๒ ด้าน บานประตูเปิดคู่เข้าด้านในสู่ห้องต่าง ๆ ได้ บานประตูแต่ละบานใช้ไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่แผ่นเดียว ไม่มีรอยต่อของไม้ ถึงแม้บานประตูจะไม่มีลวดลาย แต่มีความงดงามเพราะเป็นไม้เนื้อแข็ง ลายไม้ที่ผ่านการชัดเงาทำให้มองดูสวยงาม

๘. กรอบประตู ถ้าแบ่งลักษณะของกรอบประตูโดยใช้วัสดุเป็นหลัก วังจะบังติกอจะมีกรอบประตูอยู่ 2 ประเภท ได้แก่

๘.๑ กรอบประตูที่กำแพงชั้นนอก ไช้วิธีก่ออิฐถือปูนเป็นกรอบตัวตั้งที่มีความาเท่ากับผนังกำแพง กรอบตัวนอกทำด้วยไม้เนื้อแข็ง กรอบประตูแบบกำแพงชั้นนอกนี้ยังคงปรากฎให้เห็นตามบ้านชาวจีนในปัตตานีทั่ว ๆ ไป
๘.๒ กรอบประตูภายในตัววัง ใช้ไม้ทั้งตั้วตั้งและตัวนอน โดยตัวนทำเป็นทำเป็นรูปโค้ง ตรงมุมโค้งทั้ง ๒ ด้าน แกะสลักเป็นรูปห้าเหลี่ยมซ้อนกัน ๒ ชั้น ภายในรูปห้าเหลี่ยมแกะเป็นรูปดอกไม้ขนาดเล็ก

๙. ซุ้มประตู เท่าที่ปรากฏให้เห็นซุ้มประตูวังมี ๒ ประนาท ได้แก่

๙.๑ ซุ้มประตูก่ออิฐถึงปูน ตรงกำแพงชั้นนอกทำลวดลายปูนปั้นปั้นตามแบบศิลปะจีน คือก่ออิฐเป็นรูปโค้ง ๓ ตอน ตรงกลางซุ้มประตูเป็นโค้งขนาดใหญ่ ด้านข้างซุ้มใช้โค้งขนาดเล็กทั้ง ๒ ด้าน การก่อซุ้มประตูเป็นรูปโค้งนี้ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบจีน ทั้งนี้เพราะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขายและอาศัยอยู่ในเมืองปัตตานีจะปลูกสร้างบ้านเรือนของตนตามแบบอย่างในประเทศจีน จึงเป็นผลทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมท้องถิ่นและจีน ดังปรากฏให้เห็นตามอาคารทั่ว ๆ ไป
๙.๒ ซุ้มประตูในตัววัง สร้างโดยใช้ไม้ทำเป็นซุ้มแกะสลักลวดลายดอกไม้ไม่ไม้เป็นลายนูน ซุ้มประตูโค้งดังกล่าวมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากซุ้มประตูในปัจจุบัน เพราะเน้นความงดงามด้วยเส้นโค้งรวมทั้งลวดลายแกะสลักที่มีความประณีต

 

๑๐. ฝ่าผนัง สำหรับผนังด้านหน้าของวังใช้ไม้เนื้อแข็งแผ่นใหญ่ทำเป็นช่วง ๆ และสลักลวดลายลูกฟักในรูปแนวนอนตรงช่วงล่างสุดและช่วงบนสุด ตรงกลางแกะเป็นสวดลายลูกพักแนวตั้ง ๒ ช่อง ซึ่งเป็นศิลปะจีน ช่วงบนสุดแกะสลักเป็นลายลูกกรงเรียงกันแนวยวยาวตลอดฝาผนัง เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศได้สะดวก และช่วยให้แสงสว่างลอดผ่านได้ดี ด้านบนสุดของผนังกั้นห้องตีไม้ระแนงทับกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ทำขึ้นเป็นของใหม่ไม่ประณีตเหมือนฝาผนังกั้นห้อง แต่มีประโยชน์ในการใช้เป็นช่องลมระบายอากาศ ส่วนฝาผนังด้านข้างของวังที่แบ่งกั้นเป็นห้องต่าง ๆ เป็นฝาผนังตีทับซ้อนกันไป แบบบ้านชาวไทยมุสลิมทั่วไป นอกจากนี้ฝ่าผนังบางส่วนผุพังไป เจ้าของวังในปัจจุบันจึงใช้สังกะสีตีทับส่วนที่หายไป
๑๑. หลังคา ลักษณะหลังคาของวังจะบังติกอเป็นรูปทรงปั้นหยาหรือทรงชื่นหลังคาบ้านของชาวไทยมุลลิมที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ใช้ไม้เป็นโครงของหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ หลังคาบริเวณเฉลียงของวังเป็นหลังคาชั้นเดียว ส่วนหลังคาที่ปกคลุมห้องต่าง ๆ เป็นหลังคาช้อนกัน ๒ ชั้น สันหลังคาก่ออิฐถือปูนเป็นแนวยาวตลอดหลังคาระหว่างหลังคาชั้นเดียวกับหลังคา ๒ ชั้น จะมีรางน้ำทำควยไม้เนื้อแข็งใช้ไช้ไม้กระดานแผ่นใหญ่ ๓ แผ่น ต่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เป็นที่น่าเสียดายที่รางน้ำดังกล่าว ชำรุดเจ้าของวังจึงจึงถออกแล้วใช้รางน้ำสังกะสีแทน ส่วนด้านหลังวังตรงบริเวณลานโล่งนั้นเป็นหลังคาที่ทำขึ้นใหม่ใช้ไม้ระแนงเป็นโครงหลังคามุงด้วยสังกะสี จะเห็นได้ว่ารูปทรงหลังคาแบบปั้นหยาหรือทรงลิมะนี้เหมาะกับท้องถิ่นภาคใต้ซึ่งฝนตกซุก สามารถระบายน้ำได้ละดวกจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป
๑๒. ช่องระบายอากาศ เนื่องจากวังจะบังติกอนั้นสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบจีนเป็นหลัก ตัวอาคารแบบสถาปัตยกรรมจีนจะไม่นิยมทำหน้าต่างเนื่องจากประเทศจีนตั้งอยู่ในเขตอากาศหนาว ส่วนใหญ่จะใช้ช่องระบายอากาศแทนหน้าต่าง ด้วยเหตุนี้อาคารของวังจะบังติกอจึงใช้ช่องระบายอากาศแทนหน้าต่างเป็นช่องระบายอากาศซึ่งมีขนาดใหญ่อยู่ตามผนังอาคาร และในแต่ละช่องจะปั้นปูนลวดลายดอกไม้และใบไม้เป็นกรอบรูปลี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน ๒ ชั้น ภายในกรุด้วยกระเบื้องปรุเคลือบสีเขียวลายดอกไม้ บางช่องระบายอากาศใช้กระเบื้องปรุเคลือบลายเรชาคณิต ช่องระบายอากาศดังกล่าวจึงมีความงดงามในด้านลวดลายปูนปั้นเข้ากับกระเบื้องปรุเคลือบสีเขียว ในปัจจุบันตัวอาคารทรุดโทรมเจ้าของวังจึงตัดแปลงซ่อมแชมและต่อเติมตัวอาคารบางส่วน ทำให้ช่องระบายอากาศถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปต่อเติมในอาคารส่วนอื่น ๆ ของวัง

      สิ่งของเครื่องใช้ในวังจะบังติกอ
         การที่วังจะบังติกอเป็นวังที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานี ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีตและสืบต่อ ๆ กันมาหลายสมัย มีข้าราชบริพารอาศัยอยู่ในวังประมาณ ๒๐๐ คน และยังเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและออกว่าราชการของเจ้าเมือง ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังอยู่ที่วังจะบังติกอในความครอบครองของนายสุริยะ แวดอเลาะห์ ซึ่งเป็นเจ้าของวัง นอกจากนี้ยังกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านของเครือญาติเจ้าของวังอีกส่วนหนึ่ง สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ที่สำคัญและยังปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่

๑. โต๊ะไม้กลมแบบจีน ทำด้วยหินอ่อนสีขาวมีลวดลายในตัวหินอ่อนเป็นสีน้ำตาล พื้นโต๊ะทำด้วยหินอ่อนประกบไม้ ไช้กรรมวิธีแบบฝังหินในเนื้อไม้ บนไม้ประดับเป็นลายเครือเถารูปดอกบ๊วยห่างกันเป็นช่อง ๆ กลีบดอกก้านและใบ โค้งตัดเส้นกันอย่างประณีต ขอบโต๊ะสลักลายดอกไม้ลบเหลี่ยมขอบ โครงสร้างของโต๊ะทำด้วยไม้ทาลีดำโดยเฉพาะขอบโต๊ะมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือขอบของโต๊ะส่วนที่ติดกับหินอ่อนทำเป็นขอบไม้บาง ๆ แกะสลักเป็นวงโค้งเล็ก ๆ เป็นช่อง ๆ รอบโต๊ะ ถัดไปเป็นขอบไม้กว้างประมาณ ๔ เซนติเมตร ฉลุลวดลายเป็นเส้นโค้งช้อน ๆ กันหลายชั้น ทำให้ขอบล่างของโต๊ะมีลักษณะโค้งเป็นลายลูกคลื่น ลวดลายขอบโต๊ะนี้แสดงให้เห็นถึงความชำนาญของช่างในการจัดวางช่วงจังหวะของส่วนโค้งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ลักษณะการแบ่งเนื้อที่ลวดลายของโต๊ะเป็นรูปโค้งสี่แฉก อันเป็นสัญลักษณ์ของฤดูทั้ง ๔ ส่วน ขาโต๊ะมีลักษณะโค้งแบบตัวเอสมี ๖ ขา ด้านนอกสุดแกะสลักเป็นเส้นขวางแบ่งเป็น ๓ ช่วง ปลายขาตั้งอยู่บนฐานกรอบไม้รองรับจับปลายขาโต๊ะเป็นรูปโค้งหยักเล็กน้อยในลักษณะกลีบดอกไม้ และมีขาส่วนฐานรับน้ำหนักต่อเนื่องถึงพื้นอีกชั้นหนึ่ง รูปทรงของโต๊ะตลอดจนลวดลายในการประดิษฐ์เป็นศิลปะแบบจีนหรือสันนิษฐานว่าคงนำเข้ามาจากประเทศจีน
๒. โต๊ะกลมสไตล์วิคตอเรียน พื้นโต๊ะทำด้วยหินอ่อนสีขาว โครงรับพื้นทำด้วยไม้ชอบโต๊ะทำด้วยไม้แกะสลักเป็นรูปครึ่งวงกลมต่อ ๆ กันไปรอบขอบ เป็นโต๊ะขาเดียวส่วนฐานรองรับขาแยกน้ำหนักเป็นสามแฉก มีการแกะสลักแบบลวดลายเถางวง (Spira) Pattern)  ลวดลายแบบผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันคลาสสิค (Roman Classic Art) และศิลปะโรโคโค ขาโต๊ะทาสีน้ำตาลเข้มตัดกับหินอ่อนสีขาว
๓. โต๊ะหินอ่อนสีขาว มีลวดลายในตัวหินอ่อนเป็นสีเทา ขอบโต๊ะตัดเป็นเส้นตรงรูปแปดเหลี่ยมแบบโรมัน รองรับด้วยขาโต๊ะกลมสีดำ ส่วนล่างสุดของขาโต๊ะเป็นโครงไม้ขาเดียวฐานทำแยกเป็น ๓ แฉกแกะสลักลวดลายเป็นรูปโค้งเถางวง (Spiral Pattern) ปัจโต๊ะดังกล่าวเป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด
๔. กระจกเงารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๖๐ เซนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร กรอบกระจกทำด้วยไม้ทาสีน้ำตาลเข้ม แกะเป็นกรอบนูน ๒ ชั้น ภายในกรอบไม้วาดลวดลายโดยใช้เส้นโค้งรูปครึ่งวงกลมคล้ายลายดอกไม้ ปัจจุบันกระจกนี้เป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด
๕. โอ่งใส่น้ำ โอ่งใบนี้เป็นโอ่งดินเผามีความสูงประมาณ ๑ เมตร สีน้ำตาลเคลือบผิวมัน ทำลวดลายนูนเป็นเส้นบาง ๆ ตลอดทั้งใบ ปัจจุบันโอ่งดังกล่าวเป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด
๖. ตะเกียงโลหะสำหรับแขวนเพดาน แกนฉลุลวดลายแบบจีน รับแกนรอบขาวงนอก ครอบด้วยโคมแก้วทรงครึ่งวงกลมสีขาว ประดับยอดลักษณะรูปทรงเหมือนถ้วยแก้วทรงคว่ำ ลวดลายตกแต่งรูปดอกไม้ลายตวัดพู่กันแบบจีน 

       การเดินทางไปวังจะบังติกอ   
       
 เส้นทางไปวังจะบังติกอเมื่อข้ามสะพานเดชานุชิตเลี้ยวขวา ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำปัตตานีตรงสามแยกจะบังติกอ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ซึ่งตั้งต้นจากที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ปัตตานี เลียบแม่น้ำปัตตานีไปต่อกับถนนยะรัง เป็นเส้นทางรถยนต์เชื่อมระหว่างปัตตานีกับจังหวัดยะลา เป็นถนนลาดยางเลียบแม่น้ำปัตตานี ถนนนี้เชื่อมระหว่างตัวเมืองใกล้ปากทางเข้าจะติดสะพานเฉลิมพระเกียรติเทศบาลเมืองปัตตานี ตรงไปยังถนนกะลาพอซอย ๑๐ (จะบังติกอ) ก่อนเข้าตลาดจะผ่านบนเส้นทางถนนหน้าวังซอย ๒ เข้าสู่ถนนหน้าวังซอย ๒/๑ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายเล็ก ๆ มุ่งตรงไปยังวังจะบังติกอ เป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันออกบนเนื้อที่ ๗ ไร่ สำหรับอาณาเขตของวังนั้นทิศเหนือและทิศใต้จดถนนสาธารณะ ทิศตะวันออกจดถนนหน้าวัง ทิศตะวันตกจดถนนหลังวัง ถ้าเดินผ่านประตูรั้ว (เดิมเป็นกำแพง) เข้าไปในวังจะเห็นบริเวณลานกว้างเต็มไปด้วยทราย


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วังจะบังติกอ
ที่อยู่
ถนนหน้าวัง อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี
จังหวัด
ปัตตานี


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025