ภาพจาก : https://link.psu.th/fCdaEG
วังจะบังติกอเป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตั้งอยู่ริมเม่น้ำปัตตานี กำเนิดของวังนี้สืบเนื่องมาจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ได้เกิดความขัดแย้งภายในเมืองกลันตัน ถึงชั้นสู้รบกันระหว่างพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสา ในปี พ.ศ. ๒๓๘๒ ด้วยเรื่องที่ตนกูปะสาน้อยใจพระยากลันตันที่ไม่กราบทูลขอเมืองอื่น ๆ ให้ตนได้ครอบครอง ตลอดจนเรื่องทรัพย์สมบัติบ่าวไพร่ของตนกูปะสา เหตุการณ์ได้ลุกลามมากขึ้น เมื่อตนกูปะสาได้ชักชวนพระยาบาโงยช่วยกันรวบรวมผู้คนตั้งค่ายสู้รบกับพระยากลันตัน ด้วยเหตุนี้กองทัพจากเมืองหลวงกรุงเทพฯ ซึ่งมีพระยาศรีพิพัฒน์ยกลงไปตั้งมั่น ณ เมืองสงขลา ได้มอบหมายให้พระยาไชยานอกราชการ ยกกองทัพเรือไปเมืองกลันตันบังคับให้พระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสารื้อค่ายเลิกรบกัน พร้อมทั้งนำตัวพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสา มาหาพระยาศรีพิพัฒน์ ณ เมืองสงขลา เพื่อไกล่เกลี่ยและสามารถประนีประนอมกันได้ จึงให้กลับไปเมืองกลันตัน ในปีต่อมาได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องพระยาจางวางกับตนกูศรีอินทิรา (รายามดา) ขัดคำสั่งพระยากลันตันถึงขั้นชุดสนามเพลาะจะรบกันอีก เมื่อความทราบถึงกรุงเทพฯ ทรงโปรดฯ ให้พระยานครฯ (น้อย) แต่งหนังสือลงไปว่ากล่าวข่มขู่ก็สงบกันไปได้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๔ ตนกูปะสาเดินทางมายังกรุงเทพฯ ได้ร้องเรียนเรื่องพระยาจางวางและตนกูศรีอินทิรา (รายามุดา) นำเรือกสวนทรัพย์สมบัติของตนไปทำประโยชน์ ในขณะเดียวกันพระยากลันตันได้มีใบบอกมายังกรุงเทพฯ กล่าวโทษตนกูปะสาว่าใช้คนไปชักชวนพระยาบาโงย และพรรคพวกที่เมืองตรังกานู เมืองลิงา ให้มาทำร้ายพระยากลันตัน การทะเลาะบาดหมางระหว่างพระยากลันตัน กับพระราชวงศ์หลายครั้งทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ความวุ่นวายต้องเกิดขึ้นไม่สิ้นสุด ประกอบกับตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีว่างลงจึงมีรับสั่งให้ย้ายพระยาหนองจิกลงเป็นพระยาปัตตานี แล้วโปรดฯ ให้ถามตนกูปะสาว่าจะให้ขึ้นมาเป็นผู้ว่าราชการเมืองหนองจิกจะเต็มใจหรือไม่ ตนกูปะสารับจะมาแต่จะขอลงไปรับครอบครัวบ่าวไพร่ที่เมืองกลันตันเพื่อนำมาเมืองหนองจิกด้วย จึงโปรดฯ ให้พระยาท้ายน้ำลงไปช่วยตนกูปะสารวบรวมผู้คนที่จะนำมาเมืองหนองจิก ตนกูปะสาได้ชักชวนพระยาบาโงย ตนกูหลงอาหมัด ให้มาอยู่หนองจิกแต่ได้รับการปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ตนกูปะสาจึงลังเลและได้ทำหนังสือมายื่นต่อพระยาท้ายน้ำว่าถ้าได้เป็นพระยากลันตันจะให้สินบน ๑๐,๐๐๐ เหรียญ พระยาท้ายน้ำจึงมีใบบอกมายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขัดเคืองพระทัยว่าเมืองกลันตันมีแต่การแก่งแย่งกันไม่รู้จักจบสิ้น จึงโปรดฯให้พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เกณฑ์กองทัพเมืองนครศรีธรรมราช ๒๐,๐๐๐ คน ให้พระเสน่หานตรีคุมกองทัพลงไปสมทบกับกองทัพเมืองสงขลาอีก ๒.๐๐๐ คน พระสุนทรนุรักษ์ (สังข์) เป็นหัวหน้ามาสมทบกันยกลงไปเมืองกลันตัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ตนกูปะสา พระยาบาโงย และตนกูหลงอาหมัดยอมอพยพไปอยู่เมืองหนองจิก ตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองหนองจิกได้ประมาณ ๓ ปี พระยาบาโงยและตนกูหลงอาหมัด ได้ถึงแก่กรรมที่เมืองหนองจิกทั้ง ๒ คน เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๘๘ ตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีว่างลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงแต่งตั้งตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนแรกแห่งราชวงศ์กล้นต้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาความบาดหมางระหว่างพระยากลันตันตุวันสนิ (ปากแดง) กับตนกูปะสาจึงยุติลง ตนกูปะสาเมื่อเดินทางมาถึงเมืองปัตตานีได้สร้างวังขึ้นเป็นครั้งแรกบริเวณชายทะเล ปัจจุบันคือหมู่บ้านตันหยงเรียกหมู่บ้านบริเวณนั้นว่าหมู่บ้านเต็งกูบือซาร์ชูเบอร์รัด ต่อมาตนกูปะสาเห็นว่าสถานที่นี่ไม่เหมาะสมในด้านภูมิศาสตร์จึงย้ายไปสร้างวังใหม่ที่ตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นที่เนินน้ำท่วมไม่ถึง และมีแม่น้ำไหลผ่าน ๓ ด้านไปออกปากอ่าวปัตตานี อันเป็นทำเลที่ตั้งที่เหมาะแก่การติดต่อค้าขายทางทะเลเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองปัตตานีจึงปกครองโดยราชวงศ์กลันตันซึ่งขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ วังจะบังติกอจึงเป็นที่ประทับของเจ้าเมืองปัตตานีเชื้อสายกลันตันหลายสมัย ตนกูปะสามีบุตรธิดาทั้งหมด ๖ คน ประกอบด้วย
๑. ตนกูปะสา หรือเต็งกูมูฮัมหมัด (เจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๒) |
๒. ตนกูบูลัค (ตนกูฮาญีตูวอร์) |
๓. ตนกูฮุเซ็น (ตนกูนิมันดาร์ฮัน) |
๔. ตนกูบอสู หรือตนกูสุไลมานซารีฟุดดิน (เจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๔) |
๕. ตนกูตัมบัล |
๖. ตนกูลาโบะฮ์ |
ตนกูปะสาได้ปกครองเมืองปัตตานีและถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๓๙๙ โดยนำศพไปฝังไว้ ณ สุสานตันหยงดาโต๊ะ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตั้งตนกูปูเตะซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตนกูปะสาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาณาเขตรประเทศราช ในช่วงที่ตนกูปูเตะปกครองเมืองปัตตานี ได้มีผู้คนเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองปัตตานีมากขึ้น โดยเฉพาะพ่อค้าชาวจีนซึ่งเข้ามาตั้งบ้านเรือนประกอบอาชีพค้าขาย สำหรับตนกูปูเตะนั้นได้ปกครองเมืองปัตตานีด้วยความสงบเรียบร้อยเป็นเวลา ๒๕ ปี จนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๒๔ โดยมีภรรยา ๒ คน คือตนฎรายา บุตรีสุลต่านเมืองกลันตัน และตนกูโวะ บุตรีตนภูคือเงาะ ที่ปรึกษาพระยาพิทักษ์เมืองปัตตานี ในบั้นปลายชีวิตของตนกูปูเตะ ได้เดินทางไปรักษาตัวและสิ้นชีวิตที่เมืองกลันตัน โดยมีบุตรธิดาทั้งหมด ๗ คนประกอบด้วย
๑. ตนกูบือซาร์ (ตนกูดีมุง) ต่อมาได้เป็นเจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๓ |
๒. ตนกูอามงร์ ชายาของรายาบันดอรอเมืองกลันตัน |
๓. ตนกูอัมปี ชายาตนกูมูฮัมหมัดเมืองกลันตัน |
๔. ตนกูคือเงาะ ชายาเจ้าเมืองยะลา |
๕. ตนกูปี ชายาตนกูมูฮัมหมัด บุตรรายาเบอร์รัส |
๖. ตนภูปัตตานิ ชายาตนภูเบอร์ชาร์อินดรา รายาเมืองกลันตันตัน |
๗. ตนกูมูฮัมหมัด เป็นอุปราชในสมัยของตนกูลไลมานชารีฟุดคืน |
หลังจากนั้น บุตรชายคนโตของตนกูปูเตะ ชื่อตนกูบือชาร์ (ตนกูตีมุง) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระยาวิชิตภักดีฯ เจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมา สำหรับตนกูบือชาร์ (ตนกูตีมุง) นี้เติบโตและแต่งงานที่เมืองกลันตัน ประกอบกับภรรยามีเชื้อสายในราชวงศ์กลันตัน และไม่ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองบัตตานี ตนกูตีมุงจึงเดินทางไปเมืองกลันตันเสมอ ๆ เมืองปัตตานีกับเมืองกลันตันมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสืบเนื่องมาจากทั้ง ๒ ฝ่ายมีเชื้อสายเดียวกัน และกระชับแน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อมีการแต่งงานในหมู่เครือญาติทั้ง ๒ ฝ่ายตลอดมา ทำให้เมืองปัตตานีได้รับการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมมาจากเมืองกลันตันมากมาย เช่น ประเพณีการละเล่น และการแต่งกายเป็นต้น ผู้สืบสกุลในรุ่นหลัง ๆ ได้ปฏิบัติสืบเนื่องต่อ ๆ กันมา ตนภูตีมุงถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาพสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงแต่งตั้งตนกูสุไลมานชารีฟุดดิน บุตรตนกูปะสา คนที่ ๔ เป็นเจ้าเมืองปัตตานี ในบรรดาศักดิ์พระยาวิชิตภักดีฯ ในสมัยการปกครองของตนกูสุไลมานชารีฟุดดินนี้ได้พยายามพัฒนาเมืองปัตตานีให้มีความเจริญก้าวหน้า เช่น มีการขุดและขยายคลองให้กว้างขึ้น สร้างมัสยิดขึ้นใหม่ใกล้วังคือมัสยิดจะบังติกอ ในขณะที่ตนกูสุไลมานชารีฟุดดินปกครองเมืองปัตตานีอยู่ประมาณ ๑๐ ปี แต่ไม่ได้พำนักในวังจะบังติกอ โดยได้สร้างวังใหม่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออกของวังจะบังติกอ หลังจากการถึงแก่กรรมของตนกูสุไลมานชารีฟุดดิน ตนกูอับดุลกอร์เดร์กามารุดดิน ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมาในตำแหน่งพระยาวิชิตภักดีฯ แทนบิดา และเป็นเชื้อสายราชวงศ์กลันตันองค์สุดท้ายที่ปกครองเมืองปัตตานี ในขณะปกครองเมืองปัตตานีตนกูอับดุลกอร์เคร์ ได้พำนักที่วังใหม่ซึ่งใกล้กับวังจะบังติกอ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่วังดังกล่าวสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง จึงไม่อาจทนทานต่อกาลเวลา ปัจจุบันบริเวณวังใหม่ดังกล่าวกลายเป็นที่รกร้างไม่มีร่องรอยของสิ่งก่อสร้างหลงเหลืออีกต่อไป เมื่ออังกฤษให้ความสนใจกับเจ็ดหัวเมืองในกาคได้ค่อนข้างมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง หวั่นเกรงว่าอังกฤษจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในหัวเมืองมลายู จึงทรงจัดการปฏิรูปการปกครองทั่วราชอาณาจักร โดยจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้นในดินแดนนี้เรียกว่ามณฑลบัตตานี ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องประสบกับปัญหาและอุปรรคมากมายในการปฏิรูปการปกครองในหัวเมืองมลายู นับตั้งแต่การยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง เนื่องจากตนกูอับดุลกอร์เดร์เจ้าเมืองปัตตานี และประชาชนชาวปัตตานีไม่ยอมรับการปฏิรูปการปกครองในครั้งนี้ ดังจะเห็นได้จากตนกูอับดุลกอร์เดร์ได้ทำหนังสือร้องทุกข์ไปถึงเซอร์แฟรังค์ สวิทเทนแฮม (Sir Frank Swettenham) ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษที่สิงคโปร์ว่าการกระทำของไทยเป็นการรบกวนความสงบของราษฎรของข้าพเจ้าในปัตตานี และนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองของข้าพเจ้า ต่อมาในเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๔๔๔ กระทรวงมหาดไทย ได้ส่งพระยาศรีสิงหเทพลงมาจัดการปกครองในภาคใต้ ตามพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองหัวเมือง ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐) และแต่งตั้งปลัดเมืองยกกระบัตรเมืองผู้ช่วยราชการเมือง พร้อมทั้งจัดส่งพนักงานสรรพากรไปเก็บภาษีอากร ส่วนข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑล ได้แก่พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) ด้วยเหตุนี้ตนกูอับกุลกอร์เดร์จึงปฏิเสธการลงนามในหนังสือสัญญา ซึ่งปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า... เมื่ออ่านสารตราถอดพระยาวิชิตภักดี ถึงคำว่าไปแล้ว มีกำนันผู้ใหญ่บ้านหน้าสลดมาก พระยาศรีสหเทพ เห็นว่าอัปดุลกาเดวิชิตรภักดียังจะมีพรรคพวกอยู่บางนั้น ได้ทราบแล้วตามที่พระยาศรีว่านั้นถูกแล้วต้องเตือนพระยาสุขุมให้รู้สึกไว้... ต่อมารัฐบาลไทยได้จับกุมตนกูอับดุลกอร์เดร์ แล้วนำไปคุมขังที่พิษณุโลกเป็นเวลาเกือบ ๒ ปี จึงได้รับการปล่อยตัวกลับมาปัตตานี
ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ รัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาลหรือระบบแบ่งเขตการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งมีมณฑลอยู่ ๑๙ แห่งครอบคลุมพื้นที่ ๗๒ เมือง (เปลี่ยนเป็นจังหวัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในส่วนของมณฑลปัตตานี ประกอบด้วยเมือง ๔ เมืองคือ
๑. เมืองปัตตานี ประกอบด้วยเมืองหนองจิก เมืองยะหริ่ง และเมืองปัตตานี |
๓. เมืองยะลา ประกอบด้วยเมืองรามันห์ และเมืองยะลา |
๔. เมืองสายบุรี |
๔. เมืองระแงะ โดยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบางนรา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๕๘ |
เจ้าเมืองทั้ง ๔ เมือง ขึ้นตรงต่อข้าหลวงเทศาภิบาล ซึ่งข้าหลวงเทศาภิบาลนั้นรับนโยบายมาจากส่วนกลางคือกรุงเทพฯ จนกระทั่งวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๙ รัฐบาลได้ยกเลิกการใช้คำว่า "เมือง" โดยเปลี่ยนมาเป็น "จังหวัด" คือจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดสายบุรี และจังหวัดนราธิวาส ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการปรับปรุงการปกครองส่วนภูมิภาคใหม่ โดยยกเลิกมณฑลปัตตานีและยุบจังหวัดสายบุรีลงเป็นอำเภอสายบุรีของจังหวัดปัตตานี โดยให้ทุกจังหวัดขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย
รูปแบบและสถาปัตยกรรมของวังจะบังติกอ
วังจะบังติกอ ตั้งอยู่ที่ตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี สร้างโดยสถาปนิกชาวจีน ตัวของวังล้อมด้วยกำแพงทึบก่ออิฐถือปูน รูปทรงของวังเป็นบ้านชั้นเดียวขนาดใหญ่ หลังคาทรงปั้นหยาหรือแบบลีมะ ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูง ๑ เมตร สร้างด้วยไม้ ภายในอาคารมีห้องโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ทำงานของเจ้าเมือง ส่วนด้านหลังของห้องโถงจะเป็นที่อยู่อาศัยของภรรยาและบริวาร วังจะบังติกอได้ใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองในท้องถิ่น และเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานีหลายสมัย จนกระทั่งถึงสมัยตนกูอับดุลกอร์เดร์ เจ้าเมืองคนสุดท้าย ได้มีการยุบเมืองรวมเป็นมณฑลปัตตานี ทำให้วังซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองก็เปลี่ยนสภาพไปกลายเป็นเพียงที่อยู่อาศัยของบุตรหลานสืบต่อมาถึงปัจจุบัน ภายในวังจะบังติกอมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อการใช้สอยออกเป็น ๒ ส่วน คือ
๑. ส่วนหน้าของวัง เริ่มจากกำแพงวังชั้นใน ซึ่งก่ออิฐถือปูน สูงประมาณ ๑ เมตร ส่วนใหญ่ปรักหักพังไป ยังคงทิ้งร่องรอยให้เห็นกำแพงวังเพียงบางส่วน ก่อนถึงตัวอาคารจะเป็นลานโล่งปูด้วยอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกว้างและยาวด้านละ 32 เซนติเมตร พื้นซึ่งปูด้วยอิฐนี้กว้างประมาณ 3 เมตร ยาวไปจดผนังของตัวอาคาร จากลักษณะรูปทรงและส่วนผสมของอิฐทำให้ทราบว่าเป็นอิฐตั้งเดิม หน้าลานโล่งมีบันไดไม้ขึ้นไปนตัวอาคารทั้ง ๒ ด้าน ตัวอาคารมีขนาดใหญ่ ตั้งเด่นอยู่กลางพื้นที่ทั้งหมด ภายในอาคารมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย มีห้องโถงขนาดใหญ่หรือซานซึ่ง ครอบคลุมเนื้อที่ ๒ ใน ๒ ของตัวอาคาร โดยส่วนที่เป็นพื้นของชานมีความสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร นอกจากนี้บริเวณชานยังมีความต่างระดับกันถึง ๒ ระดับ พื้นที่ดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการของเจ้าเมืองในสมัยนั้น ตัวชานชั้นบนสุดเป็นที่อยู่ของเจ้าเมือง ชั้นรองลงมาจัดให้ขุนนางข้าราชการเข้าพบ ชั้นล่างสุดสำหรับประชาชนรอเข้าพบ ด้านข้างของตัวชานทั้ง ๒ ด้าน ยกพื้นต่ำกว่าชาน และกั้นห้องด้วยไม้ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ จัดทำเป็นห้องสำหรับประดิษฐ์ต้นไม้เงินและต้นไม้ทอง ส่วนพื้นพื้นที่ที่เหลือเป็นชานกว้างสามารถเดินออกไปพบลานโล่งด้านหลังของตัวอาคาร ด้านหลังของตัวซานซึ่งใช้เป็นห้องทำงาม กั้นด้วยผนังแนวยาวไปจดห้องด้านข้างทั้ง ๒ ห้อง ตรงกลางฝาผนังมีประตูไม้ตกแต่งซุ้มประตู สันนิษฐานได้ว่าประตูกลางนี้เป็นประตูที่เจ้าเมืองออกว่าราชการ ด้านหลังของฝาผนังเป็นห้องโล่ง แต่ในปัจจุบันเจ้าของวังได้กั้นห้องเป็นที่อยู่อาศัย ถัดจากตัวอาคารเป็นลานโล่งปูด้วยอิฐขนาดเดียวกับด้านหน้ามีความกว้างประมาณ ๔ เมตร ยาวจดกำแพงวังชั้นในอีกทั้งยังมีบ่อน้ำในบริเวณลานโล่งทางทิศเหนือ รูปร่างเหมือนกับบ่อน้ำด้านหน้าวัง
๒. ส่วนหลังของวัง จากลานโล่งที่ปูด้วยอิฐหลังตัวอาคารเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูนกั้นแยกส่วนหน้าของวังกับส่วนหลังของวัง เป็นแนวยาวไปจดกำแพงชั้นนอกแต่สามารถติดต่อกันโดยใช้ประตูกลางเป็นหลัก ส่วนหลังของวังมีเนื้อที่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดและใช้เป็นที่ประทับของเจ้าเมืองและข้าราชบริพารฝ่ายในทั้งหมด ในปัจจุบันพื้นที่บางส่วนใช้เป็นที่อยู่อาศัยของญาติพี่น้องเจ้าของวัง นอกจากนั้นพื้นที่ที่เหลือส่วนใหญ่มีต้นไม้นานาชนิด ปกคลุมไปจนจดถนนหลังวัง
รูปทรงและวัสดุที่ใช้สร้างวัง
วังจะบังติกอสร้างโดยสถาปนิกชาวจีน โดยเวลาสร้างประมาณ ๓ เดือนจึงแล้วเสร็จ ตัววังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงทึบ ก่ออิฐถือปูนมองไม่เห็นอาคารด้านใน ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นบ้านชั้นเดียวชนาดใหญ่หลังคาทรงปั้นหยา (เป็นหลังคาของเรือนไทยมุสลิมในภาคใต้โดยใช้รูปสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมคางหมูเซียงไปชนกันมีเส้นกลางหลังคาเป็นตรง) หรือแบบลีมะตัวอาคารเป็นรูปลี่เหลี่ยมผืนผ้ายกพื้นสูงประมาณ ๑ เมตร เนื่องจากตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนทานต่อกาลเวลา ด้วยเหตุนี้รูปทรงตั้งเดิมของวังบางส่วนจึงเปลี่ยนไปโดยเฉพาะส่วนที่ชำรุด ได้รับการซ่อมแชมต่อเติมให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน โครงสร้างและองค์ประกอบของวังจึงผสมผสานกันระหว่างรูปทรงที่ไช้วัสดุเก่ากับรูปทรงที่ใช้วัสดุใหม่ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
๑. กำแพงวัง วังจะบังติกอ มีกำแพงวัง ๒ ชั้น ได้แก่
|
||
๒. ฐานเสา หน้าวังมีฐานเสา ๔ ฐาน ใช้รองรับหลังคาของระเบียง ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้วัสดุในปัจจุบันก่อสร้าง ลักษณะของฐานเสาใช้ปูนซีเมนต์ทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประมาณ ๖ นิ้ว วางบนพื้นดินที่ปรับระดับไว้เรียบ ฐานเสาเรือนที่ปรากฏให้เห็นมีเฉพาะด้านหน้าของตัววัง เพราะเจ้าของวังในปัจจุบันได้ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะทำเป็นฝ่าผนังปิดกั้นใต้ถุนวัง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นฐานเสาอื่น ๆ ได้ | ||
๓. เสา ด้านหน้าของตัววังมีเสาที่ใช้รับน้ำหนักของหลังคาที่เป็นระเบียง เสาทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนเสาของบ้านทั่ว ๆ ไป มีทั้งหมด ๔ เสา เสาดังกล่าวทำด้วยไม้เนื้อแข็ง วางบนฐานเสาโดยใช้ปูนซีเมนต์เป็นตัวยึดระหว่างเสากับฐานเสาเรือน ระเบียงของวังในส่วนที่จัดไว้เป็นที่สำหรับราษฎรเข้าพบเจ้าเมือง มีเสากลม ๖ เสา มีขนาดใหญ่ก่ออิฐถือปูนมั่นคงแข็งแรงดี โบกทับด้วยส่วนผสมที่ทำขึ้นจากข้าวเหนียว ไข่ไก่ น้ำผึ้ง ผสมกับสีขาว ส่วนผสมนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวประสานและเพิ่มความทนทานให้กับสิ่งก่อสร้างได้ สำหรับระเบียงซึ่งใช้เป็นบริเวณที่ขุนนางเข้าพบเจ้าเมืองมี ๔ เสา ใช้ไม้เนื้อแข็งทำเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมลบเหลี่ยมเสาเล็กน้อยเพื่อวางรับน้ำหนักของหลังคาควบคู่กันไปกับเสากลม | ||
๔. บันได ลักษณะของบันไดมี ๒ ประเภท
|
||
๕. พื้นวัง เนื่องจากตัววังทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ พื้นวังทั้งหมดทำด้วยไม้กระดามเนื้อแข็งทั้งแผ่นขนาดใหญ่และยาว มีรอยต่อของไม้น้อยมาก พื้นวังแบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ จากบันไดวังถึงพื้นวังระดับที่หนึ่ง เป็นบริเวณที่ราษฎรเข้าพบเจ้าเมือง ระดับที่ ๒ เป็นบริเวณที่ขุนนางเข้าพบเจ้าเมือง ส่วนระดับที่ ๓ เป็นบริเวณที่เจ้าเมืองออกว่าราชการ ในปัจจุบันพื้นวังระดับที่ ๓ ถูกปิดด้วยผนังกั้นห้อง และใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของวังในปัจจุบัน นอกจากนี้พื้นวังด้านหลังผนังกั้นห้องและด้านข้างของตัวทั้งทั้ง ๒ ด้าน ลดระดับต่ำเท่ากับพื้นวังระดับที่หนึ่งเป็นที่นำเสียดายที่ไม้พื้นวังได้ผุพังไปตามกาลเวลา เจ้าของวังจึงทำการปรับปรุงเปลี่ยนไม้แผ่นใหม่ไปบ้างเป็นบางส่วน | ||
๖. ชาน เมื่อเดินเข้าประตูวังจะบังติกอประมาณ ๑๐๐ เมตร จะถึงบริเวณด้านหน้าของวังซึ่งเป็นชานยกพื้นสูงประมาณ ๑ เมตร มีบันไดขึ้นไปยังซาน ในอดีตใช้เป็นที่ให้ราษฎรเข้าพบมีลักษณะเป็นชานกว้าง ทำด้วยไม้เนื้อแข็งแผ่นใหญ่ตามความยาวของต้นไม้ทั้งต้น แต่ในปัจจุบันซานดังกล่าวล้อมรอบด้วยลูกกรงไม้ ในแต่ละช่องของลูกกรงตกแต่งด้วยลวดลายรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ๔ รูป มาประกอบกันเข้าเป็นรูปลี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นลวดลายเดียวกับราวบันไดด้านหน้า ถัดจากลูกกรงไม้เป็นม้านั่งยาวขนานไปกับชานวัง โดยยึดติดกับลูกกรงมีความยาวเท่ากับราวลูกกรงด้านหน้า ม้านั่งทำขึ้นจากไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ ๒ แผ่น สำหรับนั่งพักผ่อนและใช้รับแขก | ||
๗. ประตู มีประตู ๒ ประเภท ได้แก่
|
||
๘. กรอบประตู ถ้าแบ่งลักษณะของกรอบประตูโดยใช้วัสดุเป็นหลัก วังจะบังติกอจะมีกรอบประตูอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
|
||
๙. ซุ้มประตู เท่าที่ปรากฏให้เห็นซุ้มประตูวังมี ๒ ประนาท ได้แก่
|
||
๑๐. ฝ่าผนัง สำหรับผนังด้านหน้าของวังใช้ไม้เนื้อแข็งแผ่นใหญ่ทำเป็นช่วง ๆ และสลักลวดลายลูกฟักในรูปแนวนอนตรงช่วงล่างสุดและช่วงบนสุด ตรงกลางแกะเป็นสวดลายลูกพักแนวตั้ง ๒ ช่อง ซึ่งเป็นศิลปะจีน ช่วงบนสุดแกะสลักเป็นลายลูกกรงเรียงกันแนวยวยาวตลอดฝาผนัง เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศได้สะดวก และช่วยให้แสงสว่างลอดผ่านได้ดี ด้านบนสุดของผนังกั้นห้องตีไม้ระแนงทับกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ทำขึ้นเป็นของใหม่ไม่ประณีตเหมือนฝาผนังกั้นห้อง แต่มีประโยชน์ในการใช้เป็นช่องลมระบายอากาศ ส่วนฝาผนังด้านข้างของวังที่แบ่งกั้นเป็นห้องต่าง ๆ เป็นฝาผนังตีทับซ้อนกันไป แบบบ้านชาวไทยมุสลิมทั่วไป นอกจากนี้ฝ่าผนังบางส่วนผุพังไป เจ้าของวังในปัจจุบันจึงใช้สังกะสีตีทับส่วนที่หายไป | ||
๑๑. หลังคา ลักษณะหลังคาของวังจะบังติกอเป็นรูปทรงปั้นหยาหรือทรงชื่นหลังคาบ้านของชาวไทยมุลลิมที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป ใช้ไม้เป็นโครงของหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ หลังคาบริเวณเฉลียงของวังเป็นหลังคาชั้นเดียว ส่วนหลังคาที่ปกคลุมห้องต่าง ๆ เป็นหลังคาช้อนกัน ๒ ชั้น สันหลังคาก่ออิฐถือปูนเป็นแนวยาวตลอดหลังคาระหว่างหลังคาชั้นเดียวกับหลังคา ๒ ชั้น จะมีรางน้ำทำควยไม้เนื้อแข็งใช้ไช้ไม้กระดานแผ่นใหญ่ ๓ แผ่น ต่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู เป็นที่น่าเสียดายที่รางน้ำดังกล่าว ชำรุดเจ้าของวังจึงจึงถออกแล้วใช้รางน้ำสังกะสีแทน ส่วนด้านหลังวังตรงบริเวณลานโล่งนั้นเป็นหลังคาที่ทำขึ้นใหม่ใช้ไม้ระแนงเป็นโครงหลังคามุงด้วยสังกะสี จะเห็นได้ว่ารูปทรงหลังคาแบบปั้นหยาหรือทรงลิมะนี้เหมาะกับท้องถิ่นภาคใต้ซึ่งฝนตกซุก สามารถระบายน้ำได้ละดวกจึงเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป | ||
๑๒. ช่องระบายอากาศ เนื่องจากวังจะบังติกอนั้นสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบจีนเป็นหลัก ตัวอาคารแบบสถาปัตยกรรมจีนจะไม่นิยมทำหน้าต่างเนื่องจากประเทศจีนตั้งอยู่ในเขตอากาศหนาว ส่วนใหญ่จะใช้ช่องระบายอากาศแทนหน้าต่าง ด้วยเหตุนี้อาคารของวังจะบังติกอจึงใช้ช่องระบายอากาศแทนหน้าต่างเป็นช่องระบายอากาศซึ่งมีขนาดใหญ่อยู่ตามผนังอาคาร และในแต่ละช่องจะปั้นปูนลวดลายดอกไม้และใบไม้เป็นกรอบรูปลี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนกัน ๒ ชั้น ภายในกรุด้วยกระเบื้องปรุเคลือบสีเขียวลายดอกไม้ บางช่องระบายอากาศใช้กระเบื้องปรุเคลือบลายเรชาคณิต ช่องระบายอากาศดังกล่าวจึงมีความงดงามในด้านลวดลายปูนปั้นเข้ากับกระเบื้องปรุเคลือบสีเขียว ในปัจจุบันตัวอาคารทรุดโทรมเจ้าของวังจึงตัดแปลงซ่อมแชมและต่อเติมตัวอาคารบางส่วน ทำให้ช่องระบายอากาศถูกโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปต่อเติมในอาคารส่วนอื่น ๆ ของวัง |
สิ่งของเครื่องใช้ในวังจะบังติกอ
การที่วังจะบังติกอเป็นวังที่อยู่อาศัยของเจ้าเมืองปัตตานี ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองมาในอดีตและสืบต่อ ๆ กันมาหลายสมัย มีข้าราชบริพารอาศัยอยู่ในวังประมาณ ๒๐๐ คน และยังเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและออกว่าราชการของเจ้าเมือง ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังอยู่ที่วังจะบังติกอในความครอบครองของนายสุริยะ แวดอเลาะห์ ซึ่งเป็นเจ้าของวัง นอกจากนี้ยังกระจัดกระจายอยู่ตามบ้านของเครือญาติเจ้าของวังอีกส่วนหนึ่ง สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ที่สำคัญและยังปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน ได้แก่
๑. โต๊ะไม้กลมแบบจีน ทำด้วยหินอ่อนสีขาวมีลวดลายในตัวหินอ่อนเป็นสีน้ำตาล พื้นโต๊ะทำด้วยหินอ่อนประกบไม้ ไช้กรรมวิธีแบบฝังหินในเนื้อไม้ บนไม้ประดับเป็นลายเครือเถารูปดอกบ๊วยห่างกันเป็นช่อง ๆ กลีบดอกก้านและใบ โค้งตัดเส้นกันอย่างประณีต ขอบโต๊ะสลักลายดอกไม้ลบเหลี่ยมขอบ โครงสร้างของโต๊ะทำด้วยไม้ทาลีดำโดยเฉพาะขอบโต๊ะมีลักษณะพิเศษ กล่าวคือขอบของโต๊ะส่วนที่ติดกับหินอ่อนทำเป็นขอบไม้บาง ๆ แกะสลักเป็นวงโค้งเล็ก ๆ เป็นช่อง ๆ รอบโต๊ะ ถัดไปเป็นขอบไม้กว้างประมาณ ๔ เซนติเมตร ฉลุลวดลายเป็นเส้นโค้งช้อน ๆ กันหลายชั้น ทำให้ขอบล่างของโต๊ะมีลักษณะโค้งเป็นลายลูกคลื่น ลวดลายขอบโต๊ะนี้แสดงให้เห็นถึงความชำนาญของช่างในการจัดวางช่วงจังหวะของส่วนโค้งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ลักษณะการแบ่งเนื้อที่ลวดลายของโต๊ะเป็นรูปโค้งสี่แฉก อันเป็นสัญลักษณ์ของฤดูทั้ง ๔ ส่วน ขาโต๊ะมีลักษณะโค้งแบบตัวเอสมี ๖ ขา ด้านนอกสุดแกะสลักเป็นเส้นขวางแบ่งเป็น ๓ ช่วง ปลายขาตั้งอยู่บนฐานกรอบไม้รองรับจับปลายขาโต๊ะเป็นรูปโค้งหยักเล็กน้อยในลักษณะกลีบดอกไม้ และมีขาส่วนฐานรับน้ำหนักต่อเนื่องถึงพื้นอีกชั้นหนึ่ง รูปทรงของโต๊ะตลอดจนลวดลายในการประดิษฐ์เป็นศิลปะแบบจีนหรือสันนิษฐานว่าคงนำเข้ามาจากประเทศจีน |
๒. โต๊ะกลมสไตล์วิคตอเรียน พื้นโต๊ะทำด้วยหินอ่อนสีขาว โครงรับพื้นทำด้วยไม้ชอบโต๊ะทำด้วยไม้แกะสลักเป็นรูปครึ่งวงกลมต่อ ๆ กันไปรอบขอบ เป็นโต๊ะขาเดียวส่วนฐานรองรับขาแยกน้ำหนักเป็นสามแฉก มีการแกะสลักแบบลวดลายเถางวง (Spira) Pattern) ลวดลายแบบผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันคลาสสิค (Roman Classic Art) และศิลปะโรโคโค ขาโต๊ะทาสีน้ำตาลเข้มตัดกับหินอ่อนสีขาว |
๓. โต๊ะหินอ่อนสีขาว มีลวดลายในตัวหินอ่อนเป็นสีเทา ขอบโต๊ะตัดเป็นเส้นตรงรูปแปดเหลี่ยมแบบโรมัน รองรับด้วยขาโต๊ะกลมสีดำ ส่วนล่างสุดของขาโต๊ะเป็นโครงไม้ขาเดียวฐานทำแยกเป็น ๓ แฉกแกะสลักลวดลายเป็นรูปโค้งเถางวง (Spiral Pattern) ปัจโต๊ะดังกล่าวเป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด |
๔. กระจกเงารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๖๐ เซนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตร กรอบกระจกทำด้วยไม้ทาสีน้ำตาลเข้ม แกะเป็นกรอบนูน ๒ ชั้น ภายในกรอบไม้วาดลวดลายโดยใช้เส้นโค้งรูปครึ่งวงกลมคล้ายลายดอกไม้ ปัจจุบันกระจกนี้เป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด |
๕. โอ่งใส่น้ำ โอ่งใบนี้เป็นโอ่งดินเผามีความสูงประมาณ ๑ เมตร สีน้ำตาลเคลือบผิวมัน ทำลวดลายนูนเป็นเส้นบาง ๆ ตลอดทั้งใบ ปัจจุบันโอ่งดังกล่าวเป็นสมบัติของตระกูลระเด่นอาหมัด |
๖. ตะเกียงโลหะสำหรับแขวนเพดาน แกนฉลุลวดลายแบบจีน รับแกนรอบขาวงนอก ครอบด้วยโคมแก้วทรงครึ่งวงกลมสีขาว ประดับยอดลักษณะรูปทรงเหมือนถ้วยแก้วทรงคว่ำ ลวดลายตกแต่งรูปดอกไม้ลายตวัดพู่กันแบบจีน |
การเดินทางไปวังจะบังติกอ
เส้นทางไปวังจะบังติกอเมื่อข้ามสะพานเดชานุชิตเลี้ยวขวา ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำปัตตานีตรงสามแยกจะบังติกอ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ซึ่งตั้งต้นจากที่ตั้งของที่ทำการไปรษณีย์ปัตตานี เลียบแม่น้ำปัตตานีไปต่อกับถนนยะรัง เป็นเส้นทางรถยนต์เชื่อมระหว่างปัตตานีกับจังหวัดยะลา เป็นถนนลาดยางเลียบแม่น้ำปัตตานี ถนนนี้เชื่อมระหว่างตัวเมืองใกล้ปากทางเข้าจะติดสะพานเฉลิมพระเกียรติเทศบาลเมืองปัตตานี ตรงไปยังถนนกะลาพอซอย ๑๐ (จะบังติกอ) ก่อนเข้าตลาดจะผ่านบนเส้นทางถนนหน้าวังซอย ๒ เข้าสู่ถนนหน้าวังซอย ๒/๑ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนสายเล็ก ๆ มุ่งตรงไปยังวังจะบังติกอ เป็นวังโบราณของเจ้าเมืองปัตตานี ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันออกบนเนื้อที่ ๗ ไร่ สำหรับอาณาเขตของวังนั้นทิศเหนือและทิศใต้จดถนนสาธารณะ ทิศตะวันออกจดถนนหน้าวัง ทิศตะวันตกจดถนนหลังวัง ถ้าเดินผ่านประตูรั้ว (เดิมเป็นกำแพง) เข้าไปในวังจะเห็นบริเวณลานกว้างเต็มไปด้วยทราย
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.