เรือนราชา หรือวังระแงะ เรือนไม้บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำบางนรา
ภาพจาก : https://link.psu.th/c7qsvxo
เมืองระแงะปรากฏชื่อเมื่อครั้งปัตตานีถูกแบ่งออกเป็น ๗ หัวเมือง ในปี พ.ศ. ๒๓๕๙ แต่ในประวัติศาสตร์ของรัฐกลันตัน มีชื่อของเมืองระแงะมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๒๙๘ ระแงะเป็นคำภาษามลายูโดยเพี้ยนจาคำว่า LEGEH หมายถึงบริเวณที่เป็นที่สูง ในประวัติศาสตร์ของมืองกลันตันระบุว่า สุลต่านกลันตันสืบเชื้อสายมาจากเมืองปัตตานี เจ้าเมืองกลันตันบางท่านเป็นพ่อตา น้องเขย และบุตรเขย ของเจ้าเมืองระแงะ เจ้าเมืองกลันตันบางท่านนั้นทางเจ้าเมืองระแงะเป็นผู้แต่งตั้ง เช่น ในสมัยที่เชื้อสายเจ้าเมืองกลันตันเกิดขัดแย้งกันในเรื่องการสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมือง มีอยู่ท่านหนึ่งมาหลบภัยอยู่ที่บางนรา คือหลงญีนัล ตอนที่ตนกูปะสา (ตนกูบือซาร์/Tengku Besar) อพยพมาเป็นเจ้าเมืองหนองจิก โดยก็มีพลพรรคอพยพติดตามมาด้วยประมาณ ๖,๐๐๐ คน ไม่รวมที่อพยพมาภายหลัง โดยมาตั้งหลักแหล่งอยู่ริมทะเล ตั้งแต่ตากใบเรื่อยจนถึงปากน้ำบางนรา หรือเลยขึ้นไปอีก เช่น บ้านทอน สายบุรี จนถึงปัตตานี ในปี พ.ศ. ๒๒๖๔ เจ้าเมืองกลันตันที่มีนามว่าราชาอุมาร์ (Raja Umar) สิ้นชีวิตด้วยโรคชรา ต่อมาหลงบาฮาร์ซึ่งเป็นลูกเขยได้รับเลือกเป็นเจ้าเมืองกลันตันคนต่อมา หลงบาฮาร์นั้นมีบุตรชายคือหลงสุลัยมาน มีบุตรี ๒ คน กับบุตรชายอีก ๑ คน มีนามว่าต่วนเดวี ต่วนกึมบัง และหลงยูนุส ต่อมาต่วนเดวี บุตรีคนโตของหลงสุลัยมานได้แต่งงานกับหลงดือราห์มัน (เจ้าเมืองระแงะ) หลงบาฮาร์ปกครองเมืองกันตันมา ๑๓ ปี ก็เสียด้วยโรคชรา ในปี พ.ศ. ๒๒๗๖ เจ้่าเมืองกลันตันคนต่อมาคือหลงสุไลมานต่อมาท่านถูกฆ่าตายโดยหลงดือราห์มัน (เจ้าเมืองระแงะ) และหลงดือราห์มัน (เจ้าเมืองระแงะ) ก็ได้แต่งตั้งลูกพี่ลูกน้องของหลงสุไลมานชื่อหลงปาเนาะ บุตรของต่วนสุหลงเป็นเจ้าเมืองกลันตันแทน หลงปาเนาะนั้นมีฐานะเป็นเขยหลงดือราห์มัน (เจ้าเมืองระแงะ)
สำหรับอาณาเขตของเมืองระแงะที่ปรากฏในพงศาวดารเมืองปัตตานีความว่า..."เขตเมืองระแงะรอบตัว ฝ่ายเหนือมีภูเขาใหญ่ที่ขวางยาวไปตะวันออก ตะวันตกเป็นเขตแดนปักหลักบ้าง มีต้นไม้ใหญ่บ้างเรียงไปจนจดคลองตรวบ ฝ่ายเหนือเป็นเขตเมืองสายบุรี ฝ่ายใต้เป็นเขตระแงะ ฝ่ายตะวันตกเขาหลิยอเป็นแดน ลงมาแบ๊หงอปักหลักบ้าง มีต้นให้ใหญ่บ้าง มีสายน้ำหัวยน้ำตลอดขึ้นมาบ้านสุเปะ บ้านปอฆอหลอมีต้นไม้ใหญ่บ้างเรียงไปจนถึงคลองตามะหัน ต่อพรมแดนเมืองสายบุรี ฝ่ายตะวันออกคลองตรวบเป็นแดนตลอดขึ้นไปบ้านโต๊ะเดะ ปักหลักตั้งแต่บ้านโต๊ะเดะไปถึงพรุสิ้นพรุเป็นลำห้วยเรียกว่าอาเหอิหนอ เป็นคลองเขตแดนตลอดไปถึงตกหมกเหมืองทอง ฝ่ายตะวันออกต่อพรมแดนเมืองกลันต้น ฝ่ายใต้ไม่มีหลักลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ตลอดไปบะโสมจดคลองน้ำเมืองเประตั้งแต่หมกไป ฝ่ายตะวันออกเฉียงใต้เป็นป่าดงใหญ่ ตลอดไปไม่มีหลักไม่มีสำคัญ สิ้นเขตเมืองระแงะ"
ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอาณาเขตและสภาพภูมิประเทศของเมืองระแงะ ซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเชีย คือรัฐเปรัค และกลันตันตัน เป็นดินแดนทางตอนใต้ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากร แร่ธาตุ และป่าไม้ ภายหลังจากพระยาอภัยสงครามและพระยาสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) แบ่งเขตแดนเสร็จได้แต่งตั่งให้หนิเดะเป็นพระยาระแงะ โดยพระยาระแงะ (หนิเดะ) ตั้งวังอยู่ริมพรมแดนเมืองกลันตัน ต้นทางที่จะไปเหมืองทองโต๊ะโมะ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) พระยาระแงะ (หนิเดะ) ร่วมมือกับพระยายะลา (ตวันบางกอก) พระยาหนองจิก (ตวันกะจิ) และพระยาปัตตานี (ตวันสุหลง) ก่อการเป็นกบฏ พระยาเพชรบุรีและพระยาสงขลา (เถี้ยนเส้ง) ยกทัพไปปราบจนสำเร็จและได้ประหารชีวิตพระยายะลา พระยาหนองจิก และพระยาปัตตานี ส่วนพระยาระแงะ (หนิเดะ) หนีรอดไปได้ ต่อมาหนิบอสูชาวบางปู ซึ่งเป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะได้ย้ายไปตั้งวังอยู่ที่ตะหยงหนะ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังพระยาระแงะ (หนิเดะ) ห่างออกไปเป็นระยะทางเดินเท้าประมาณ ๑ วัน ต่อมาพระยาระแงะ (หนิบอสู) ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชากาลที่ ๔) จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระศิริรัตนพิศาล (ตวันโหนะ) บุตรพระยาระแงะ (หนิบอสู) เป็นพระยาภูผาภักดีศรีสุวรรณประเทศวิเศษวังษา เจ้าเมืองระแงะ และตั้งตวันแตะน้องชายเป็นพระยาศิริรัตนไพศาล เป็นผู้ช่วยราชการเมืองระแงะ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เกิดกรณีพิพาทเรื่องที่ดินระหว่างเมืองระแงะกับเมืองกลันตัน โดยปรากฎหลักฐานว่า... "เขตแดนเมืองกลันต้น เมืองระแงะ ข้างต้นและข้างปลาย ถูกต้องกัน แต่ที่โตะเดะวิวาทเยื้องกันอยู่ ฝ่ายเมืองกลันตันว่าคลองป่าสะเมะทางทิศเหนือเป็นเขตเขตแดน ฝ่ายเมืองระแงะว่า คลองลาจังทิศทักสินเป็นแดน ต่างคนต่างว่าไม่ยอมกัน".. ปัญหาเรื่องที่ดินดังกล่าวนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาสมบัตรพิรมย์ที่สองเมืองสงขลาอัญเชิญท้องตราฯ ลงไปตรวจดูแผนที่ของเมืองทั้ง ๒ พร้อมทั้งทรงให้แนวพระราชดำริในการตัดสิน ให้ใช้หลักฐานเป็นเกณฑ์และให้ทำเครื่องหมายให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทกันในภายหน้า ในที่สุดพระยาสมบัตรพิรมย์ที่สองแห่งเมืองสงขลา ได้ตัดสินแบ่งที่ดินที่โตะเดะเละป่าสะเมะเป็น ๒ ส่วน แก่พระยาระแงะและพระยากลันตันให้ครอบครองคนละครึ่ง เหตุการณ์จึงสงบลงได้ ต่อมาพระยาระแงะ (ตวันโหนะ) ถึงแก่กรรมลงในปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระยาสุนทรานุรักษ์ (ชม ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการรักษาการเมืองสงขลา ให้ตวันเหงาะบุตรตวันสุหลงซึ่งเป็นพี่ต่างมารดากับพระยาระแงะ (ตวันโหนะ) เป็นผู้รักษาราชการเมืองระแงะจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ซึ่งครบกำหนดที่หัวเมืองทั้ง ๗ ต้องนำต้นไม้เงินต้นไม้ทองเครื่องบรรณาการเข้าทูลเกล้าฯ ถวาย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรตั้งให้ตวันเหงาะเป็นพระยาภูผาภักดีศรีสวรรณประเทศวิเศษวังษา เจ้าเมืองระแงะ ในสมัยนี้พระอนันตสมบัติซึ่งเป็นผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาได้รับมอบหมายให้ไปตรวจราชการในเมืองระแงะ รายงานว่าราษฎรได้อพยพไปอยู่เมืองอื่นเป็นจำนวนมากด้วยเหตุ..."เพราะถูกกดขี่จากเจ้าเมืองจนได้รับความเดือดร้อนหลายอย่าง อันที่จริงเมืองระแงะเป็นเมือง ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำมาหากินมีตำบลบ้านสิบห้าตำบล ทุ่งที่ทำนาก็มีมากแผ่นดินดินรับน้ำทั่วเมือง จะทำนาหรือปลูกผลไม้อื่น ๆ ก็ได้ผลทั้งสิ้น"... สำหรับปัญหาของเมืองระแงะนี้ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์กรกราบทูลให้ทรงถอดถอนพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) แล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่จงรักภักดีต่อรัฐบาลแทน แต่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยเนื่องจากทรงเกรงว่าพระยาระแงะ อาจก่อการไม่สงบขึ้นได้และเหตุการณ์อาจบานปลายจนนำไปสู่การกบฏโดยหัวเมืองอื่น ๆ เข้าร่วมด้วยกับเมืองระแงะ ซึ่งสามารถเปิดช่องทางให้อังกฤษเข้ามาแทรกแชงทางการเมืองในภูมิภาคนี้ได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้พระยาระแงะจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไป ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครองในบริเวณ ๗ หัวเมืองขึ้นเป็นมณฑลปัตตานี ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) นำสารตราคำสั่งไปเมืองระแงะ พระยาระแงะอ้างว่าป่วยไม่อาจเซ็นรับสารตราได้ ในครั้งนั้นสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มีเห็นว่าพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) เป็นคนหัวอ่อนตามแต่พระยาปัตตานีกับพระยาสายบุรี จะชักจูงไป จึงทรงสั่งให้พระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) ตั้งข้าราชการไทยขึ้นเป็นข้าหลวงรักษาราชการแทนพระยาระแงะชั่วคราว ทว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าผ่อนปรนเกินไป นอกจากนั้นการที่พระยาระแงะยังอยู่ในตำแหน่งย่อมมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงในหมู่ราษฎรอยู่ หากพระยาระแงะออกคำสั่งที่ชัดต่อข้าหลวงและฝ่ายราษฎรปฏิบัติตามพระยาระแงะ ฝ่ายไทยจะรู้สึกเสียหน้า จึงทรงเร่งรัดให้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพคิดแก้ไขใหม่ให้รัดกุม ด้วยเหตุนี้เมื่อพระยาศักดิ์เสนี (หนา บุนนาค) นำสารตราไปให้พระยาระแงะเซ็นรับทราบอีกครั้ง แต่พระยาระแงะแสดงท่าทีไม่ยอมรับ จึงให้พระยาระแงะทำหนังสือสมัครไปศึกษาราชการที่สงขลา พระยาระแงะเห็นว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการเด็ดขาดจึงยอมแต่โดยดี การแก้ปัญหาเมืองระแงะจึงสิ้นสุดลงโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างโด จนกระทั้งปี พ.ศ. ๒๔๔๖ รัฐบาลหันกลับมาใช้นโยบายผ่อนปรนด้วยการปล่อยเจ้าเมืองระแงะกลับเมืองตามเดิม และได้เพิ่มผลประโยชน์แก่เจ้าเมือง โดยได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ภาษีต่าง ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมได้รับปีละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท จะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะปรับเปลี่ยนการปกครอง ให้เหมาะกับสถานการณ์ในขณะนั้นโรนั้น โดยใช้ทั้งมาตรการอ่อนและแข็งควบคู่กันไป ในที่สุดรัฐบาลได้ยุบเมืองระแงะรวมกับเมืองบางนาราโดยเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบางนารา ซึ่งต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็นจังหวัดนราธิวาส และเมืองระแงะเปลี่ยนเป็นอำเภอระแงะจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ในด้านความเป็นอิสระในการปกครองของเมืองระแงะนั้นได้ถูกรัฐบาลเข้าแทรกแซงอย่างชัดเจน ในที่สุดเจ้าเมืองระแงะก็หมดอำนาจลง
พระยาภูผาภักดีศรีสุวรรณประเทศวิเศษวังษา (ตวันเหงาะ) เจ้าเมืองระแงะคนสุดท้ายนั้นท่านเกิดในปี พ.ศ. ๒๔๑๒ และถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นบุตรของพี่ชายเจ้าเมืองระแงะ (ตวันโหนะ) เนื่องจากเจ้าเมืองระแงะ (ตวันโหนะ) ไม่มีทายาท ท่านจึงได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าเมืองระแงะคนต่อมา ด้านครอบครัวได้แต่งงานกับเจ๊ะแมะโวะ มีบุตร ๑ คน คือตนกูกือแม เมื่อเจ๊ะแมะโวะถึงแก่กรรม ได้แต่งงานใหม่แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ส่วนตนกูกือแมบุตรชายได้แต่งงานกับรายามุดา ซึ่งเป็นบุตรของน้องสาวเจ้าเมืองระแงะ (ตวันเหงาะ) และมีบุตร ๑ คน คือตนกูมะ ได้แต่งงานกับเจ๊ะสง มีบุตรี ๒ คน คือตนกูนะและตนกูเยาะ สำหรับพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) ได้ย้ายเมืองระแงะมาสร้างเป็นเมืองใหม่ที่บางนรา (จังหวัดนราธิวาสในปัจจุบัน) เนื่องจากรัฐบาลเปลี่ยนศูนย์กลางของเมืองระแงะไปไว้ที่เมืองบางนรา การสร้างวังใหม่นั้่นใช้ช่างก่อสร้างจากรัฐตรังกานู ประเทศมาเลเชีย ทั้งนี้เพราะพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) มีความชื่นชอบในสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมแบบตรังกานู ปัจจุบันวังนี้ตั้งอยู่บริเวณฝั่งซ้ายแม่น้ำบางนรา ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนกุยาลินี สนิทวาที ผู้เป็นหลานสาวของพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ)
การใช้พื้นที่ภายในวังวังระแงะ
การใช้พื้นที่ภายในวังระแงะหลังเดิมที่ตำบลตันหยงมัส อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โดยสภาพวังเก่าในปัจจุบันกลายเป็นสวนยาง แทบไม่เหลือร่องรอยของวังในอดีตให้เห็นอีกเลยมีเพียงเสาไม้เล็ก ๆ ผุพังเกือบหมดแล้ว สำหรับคูเมืองซึ่งในอดีตใช้แทนกำแพงวังในปัจจุบันคูวังมีสภาพตื้นเขิน มีต้นไม้ขึ้นรกทึบ โดยที่ประตูวังในอดีตมีความสวยงามมากเป็นประตูทำด้วยแผ่นไม้ใหญ่ ๒ บาน แกะสลักเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ขนาดของประตูวังใหญ่มากจนช้างสามารถลอดผ่านได้อย่างสบาย ประตูวังใหญ่จะเปิดเมื่อมีงานหรือในเทศกาลสำคัญ ๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบันไม่เหลือร่องรอยของสภาพประตูให้เห็ฯแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังมีบ่อน้ำที่ถูกทิ้งร้างหลายบ่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในบริเวณนี้เคยเป็นชุมชนชนาดใหญ่ที่มีผู้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากมาก่อน สำหรับวังระแงะหลังใหม่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๒ ถนนจาตุรงค์รัศมี ตำบลนาค อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ตัววังหันหน้าไปทางทิศตะวันตก สำหรับอาณาเขตของวัง ทิศตะวันตก และทิศเหนือ จดบ้านเรือนประชาชน ทิศตะวันออกจดโรงงานยางนูชันตารา ทิศใต้จดถนนจาตุรงค์รัศมี โดยมีการใช้พื้นที่ภายในวังในอดีต แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนชั้นล่างและส่วนชั้นบน
๑. ส่วนชั้นล่างของวัง
ส่วนชั้นล่างของวังแบ่งออกเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง
- ส่วนหน้า ก่อนถึงตัวอาคารจะเป็นลานดินโล่งบริเวณด้านหน้า และด้านข้าง ส่วนลานดินด้านหน้ามีบันไดไม้ขึ้นไปบนตัวอาคาร ภายในอาคารมีการจัดแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอย โดยเมื่อก้าวขึ้นบันไดวังจากด้านหน้าเดินผ่านประตู จะพบห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งใช้สำหรับพิจารณาคดีความ จ
- ส่วนหลัง หากเดินผ่านประตูซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังเข้าไป ด้านซ้ายมีห้องพัก ๑ ห้องเป็นห้องของเจ้าเมืองระแงะ ด้านขวามีห้องพักอีก ๑ ห้อง เป็นห้องน้องชายเจ้าเมืองระแงะ เมื่อเดินผ่านประตูบานต่อไปจะมีห้องโล่งและมีบันไดอยู่ทางขวา ซึ่งใช้สำหรับขึ้นไปชั้นบน ส่วนบันไดทางซ้ายเป็นบันไดที่เจ้าเมืองระแงะใช้ลงมาอาบน้ำโดยมีประตูไม้เปิดออกจากตัวอาคาร ๒ บาน หากเดินผ่านประตูออกไปทางด้านหลังจะเป็นที่อยู่ของเหล่าบริวาร ด้านขวามือมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ๒ แห่ง ด้านซ้ายมือมีอีก ๑ แห่ง เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส กว้าง ๑ เมตร ๘ เซนติเมตร สูง ๕๘ เซนติเมตร ใช้กักเก็บน้ำแทนโอ่ง
๒. ส่วนชั้นบนของวัง ด้านขวามีห้องใหญ่ ๑ ห้อง เป็นห้องของเจ้าเมืองระแงะ ด้านหน้าของห้องเป็นที่โล่ง มีเสาไม้ ๒๒ เสา และช่องลม ๒๒ ช่อง ด้านซ้ายมีบันไดสำหรับลงไปอาบน้ำ
ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ในวัง โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ
๑. ชั้นล่างของวัง แบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง
- ส่วนหน้า ในปัจจุบันส่วนที่เป็นห้องโถงไปส่วนหนึ่งจึงมีการต่อเติมบันไดทางขึ้นและเฉลียงใหม่ สำหรับห้องโถงเดิมที่เหลืออยู่ ใช้ไม้กั้นเป็นห้องพักจำนวน ๕ ห้อง และห้องครัว ๑ ห้อง ทั้งยังมีการต่อเติมชานระหว่างห้องครัวกับห้องพัก ซึ่งอยู่ทางด้านขวาอีก ๑ แห่ง ด้านซ้ายเป็นห้องพัก ๓ แห่ง ด้านขวาเป็นห้องพัก ๒ ห้อง และห้องครัว ๑ ห้อง โดยเว้นทางเดินไว้ตรงกลาง
- ส่วนหลัง ด้านขวามือมีการต่อเติมห้องพักใหม่อีก ๑ ห้อง ด้านซ้ายมีการต่อเติมห้องพัก ๓ ห้อง ด้านขวามีห้องเก็บของซึ่งต่อเติมใหม่ ๑ ห้อง ทำให้ประตูและบันไดที่เจ้าเมืองระแงะใช้ลงมาอาบน้ำต้องปิดตาย ด้านหลังตัวอาคารปัจจุบันยังคงปรากฏบ่อน้ำอ่างเก็บน้ำ และแนวกำแพงวังเดิม แต่ส่วนที่ต่อเติมใหม่คือห้องน้ำ ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของตัวอาคาร
๒. ส่วนชั้นบนของวัง ได้รื้อห้องพักชั้นบนของพระยาระแงะ เพื่อนำไม้มาต่อเติมเป็นห้องพักชั้นล่าง ทำให้ชั้นบนกลายเป็นที่โล่งไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร(
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังระแงะ
วังระแงะนั้นสร้างโดยสถาปนิกจากรัฐตรังกานูที่มีฝีมือดีมาก ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นเรือนไม้ ๒ ชั้น ยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงมนิลาหรือบลานอ ทางขึ้นของวังจะมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากตัววังนั้นสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลาได้ ด้วยเหตุนี้รูปทรงดั้งเดิมของวังจึงปลี่ยนแปลงไป ต่อมาได้ซ่อมแชมต่อเติมส่วนที่ชำรุดให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน โครงสร้างและองค์ประกอบของวังจึงผสมผสานกัน ระหว่างรูปทรงที่ใช้วัสดุเก่ากับรูปทรงที่ใช้วัสดุใหม่ ประกอบด้วย
๑. กำแพงวัง กำแพงวังเป็นกำแพงชั้นใน ซึ่งไช้วิธีการก่ออิฐถือปูน ปัจจุบันหลือเพียงบางส่วนอยู่บริเวณด้านขวาของด้านหลังวัง ขอบกำแพงวังมีลายนูน ไม่มีร่องรอยกำแพงวังชั้นนอก |
๒. เสา เสาด้านหน้าตัววังทำด้วยไม้ตะเคียน หลุมพอ และไม้แดง โดยสร้างเป็นเสาเหลี่ยมวางบนฐานคอนกรีตโดยไม่ได้มีการบากเสา แต่อาศัยโครงสร้างที่ยึดกันและน้ำหนักของตัวอาคารที่ได้สัดส่วน จึงทำให้เสาวางอยู่บนฐานได้ เสามีทั้งหมด ๓๐ เสา กว้าง ๑๖.๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๗๖ เซนติเมตร ด้านหลังของวังใช้เสาก่ออิฐถือปูนค้ำยันตัววังกว้างประมาณ ๕.๓ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๕๙ เซนติเมตร มีทั้งหมด ๒๙ ต้น |
๓. ฐานเสา ฐานเสานั้นจะทำแบบปักลงดินแต่ใช้ฐานคอนกรีตรองรับ โดยเสาของฐานที่รองกับเสาวังจะวางบนพื้นที่ดิน ซึ่งปรับให้เรียบไม่ฝังในดิน |
๔. บันได ลักษณะบันไดของวังระแงะ ล้วนแต่เป็นบันไดที่ทำด้วยไม้ เป็นบันไดแบบโปร่ง ชั้นของบันไดทำด้วยไม้กระดาน ด้านหน้ามีบันไดขึ้นเฉลียง ๕ ขั้น และบันไดเข้าวัง ๑ ขั้น ด้านขวาเป็นบันไดลงจากวังสู่ตัวชานอีก ๑ ขั้น ส่วนหลังของวังมีบันได้ขึ้นชั้นบน ๒ แห่ง แห่งละ ๑๑ ขั้น |
๕. พื้นวัง พื้นวัง ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งปูตามแนวขวางของวังชั้งชั้นบนและชั้นล่าง |
๖. ชาน ชานเป็นส่วนซึ่งต่อเติมใหม่ พื้นชานปูด้วยไม้เนื้อแข็ง โดยจะลดระดับให้ต่ำกว่าระดับพื้นในวัง มีลักษณะเล็กและแคบ อยู่ระหว่างห้องครัวกับห้องพักในส่วนหน้าของวัง |
๗. เฉลียง เฉลียงเป็นส่วนซึ่งต่อเติมใหม่ อยู่ด้านหน้าสุดของวังภายใต้หลังคา ใช้เป็นที่พักผ่อนและพื้นที่เอนกประสงค์ มีม้านั่งเป็นกระดานวางอยู่ริมเฉลียงทอดยาวตามลักษณะของเฉลียง มีราวลูกกรงเป็นไม้กลึงแบบลูกกรง พื้นเป็นไม้กระดานลดระดับต่ำกว่าระดับพื้นวัง |
๘. ประตู ประตูวังระแงะนั้นประกอบด้วยประตูโค้งจะแกะสลักลวดลายพรรรณพฤกษา ตามแบบศิลปะชวาอยู่ด้านบน เป็นประตูทางเข้าห้องโถง กว้าง ๑ เมตร ๑๕.๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๙๕ เซนติเมตร ส่วนโค้งด้านบนยาว ๑ เมตร กว้าง ๓๘ เซนติเมตร ประตูนี้ต่อเติมขึ้นใหม่ภายหลังจากห้องโถงส่วนหน้าพังลง สำหรับประตูที่มีลวดลายฉลุด้านบน มีทั้งหมด ๔ บาน เป็นประตูภายในวัง ๒ บาน และประตูทางออก ๒ บาน บานประตูทำด้วยไม้ กว้าง ๑ เมตร ๘ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘๖.๕ เซนติเมตร ส่วนบนของบานประตูทำเป็นช่องลมฉลุลวดลายแบบต่าง ๆ ได้แก่ ลายพรรณพฤกษา ลายเรขาคณิต และลายอักษรอาหรับประดิษฐ์ ประตูบานที่ ๒ ซึ่งอยู่ภายในตัววังลวดลายฉลุผสมระหว่างลายเรขาคณิตกับลายพรรณพฤกษา ประตูบานที่ ๓ ซึ่งอยู่ภายในตัววัง และประตูทางออกด้านขวาฉลุลายพรรณพฤกษา ส่วนประตูทางออกด้านซ้ายมีบานประตูเป็นลายลูกพักแบบจีน ด้านบนฉลุลายอักษรอาหรับประดิษฐ์ ปัจจุบันประตูนี้ได้ปิดตายลงเพราะมีการสร้างห้องขึ้นใหม่ |
๙. ฝาผนัง ฝาผนังของวังระแงะใช้ไม้กระดานทำเป็นฝายืน ส่วนบนสุดของฝาผนังที่ติดกับโครงหลังคา มีการฉลุลวดลายแบบเรขาคณิต |
๑๐. หลังคา ลักษณะหลังคาของวังระแงะเป็นรูปทรงมนิลาหรือทรงบลานอ แบบหลังคาเรือนไทยมุสลิม ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ใช้ไม้เป็นโครงของหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ สำหรับโครงหลังคาด้านในสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน เนื่องจากไม่มีฝ้าเพดาน |
๑๑. หน้าต่าง หน้าต่างเป็นแบบบานเปิดออกทั้ง ๒ บาน ต่อ ๑ ช่อง เหนือขึ้นไปมีช่องลมฉลุลวดลายพรรณพฤกษา และดาว บานหน้าต่างทั้ง ๒ บานเป็นลายลูกฟัก |
๑๒. ยอดจั่ว ปลายมุมแหลมของยอดจั่วทำเสาขนาดเล็ก ตกแต่งด้วยลวดลายฉลุไม้งดงาม แต่ในปัจจุบันยอดจั่วส่วนหลังของวังชำรุดเป็นบางส่วน |
๑๓. เชิงชาย เชิงชายใช้ไม้กระดานเป็นเชิงชายแผ่นเดียว แต่ด้านล่างฉลไม้ทำลวคลายแบบเรขาคณิตรอบตัวเรือน ลักษณะลวดลายผสมผสานระหว่างรูปโค้ง และรูปเหลี่ยมต่าง ๆ |
๑๔. ช่องลม ช่องลมจะประดับด้วยไม้ฉลุลวดลายต่าง ๆ ปรากฏตามหน้าต่าง ช่องประตูเหนือบานประตูและใต้หลังคา ช่องลมบริเวณส่วนหน้าของวังเหนือขอบหน้าต่างเป็นลวดลายเรขาคณิต ช่องลมภายในตัววังล้วนใช้ลวดลายพรรณพฤกษา ยกเว้นช่องลมชั้นบนใต้หลังคาตรงส่วนหลังเป็นลวดลายผสมระหว่างลายพรรณพฤกษาและลายเรขาคณิต |
๑๕. บ่อน้ำ บ่อน้ำจะอยู่ด้านหลังของวัง ห่างจากตัววังไปประมาณ ๑๕ เมตร รอบ ๆ บ่อน้ำใช้แผ่นซีเมนต์ปูพื้น ซึ่งทำขึ้นใหม่เป็นที่อาบน้ำ บ่อน้ำแบ่งเป็น ๒ ประบาท คือ - บ่อใหม่ขอบบ่อจะสูง ๓๕ เซนติมเตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗๘ เซนติเมตร - บ่อเก่าขอบบ่อสูง ๒๓ เซนติเมตร ต่อมาได้ต่อเติมจนมีความสูงทั้งหมด ๕๙ เซนติเมตร |
๑๖. อ่างเก็บน้ำ สำหรับอ่่างเก็บน้ำในอดีตนั้นจะใช้แทนโอ่งสำหรับเก็บน้ำและกักน้ำฝน มีอยู่ทั้งหมด ๓ แห่ง อยู่บริเวณด้านหลังของวัง อ่างก่ออิฐถือปูน อ่างเล็กเป็นรูปสี่หลี่ยมจตุรัส มีขนาดกว้าง ๑ เมตร ๘ เซนติเมตร สูง ๕๘ เซนติเมตร สำหรับอ่างใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าอ่างเล็กประมาณ ๑ เท่า ซึ่งอ่างดังกล่าวล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้นไม่มีการต่อเติมใด ๆ |
สิ่งของเครื่องใช้ในวังระแงะ
จากการที่วังระแระเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานของเจ้าเมืองระแงะ ตลอดถึงท่านมีลูกหลานบริวารมากมาย ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากพอสมควร อย่สิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ในปัจจุบันได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามบ้านของเครือญาติต่าง ๆ ส่วนสิ่งของเครื่องใช้ที่เหลืออยู่ภายในวังประกอบด้วยตู้เซฟเก่าที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่เก็บทรัพย์สินสิ่งของมีค่าของท่านเจ้าเมือง ตูเซฟนี้ทำด้วยเหล็ก เมื่อเปิดต้องใช้รหัส ปัจจุบันตั้งอยู่หน้าห้องเจ้าเมืองระแงะซึ่งอยู่ชั้นล่าง นอกจากนี้ยังมีสิ่งของเครื่องใช้ที่บ้านตนกูเยาะ นาเซ (ภูผาภักดี) ซึ่งเป็นหลานของพระยาระแงะ (ตวันเหงาะ) ประกอบด้วย
๑. จานลายมังกรเหินอยู่เหนือเกลียวคลื่น เป็นลวดลายที่พบมากที่สุดในภาชนะของจีน ลักษณะเกลียวคลื่นและก้อนเมฆเป็นลวดลายแบบจีน มังกรคือสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ์และความเมตตาอ่อนโยน จึงนิยมใช้ตกแต่งสิ่งต่าง ๆ ขอบจานประดับด้วยลวดลายดอกไม้ชนิดต่าง ๆ เช่น รูปอาคารและเก๋งจีน เป็นต้น |
๒. จานลายปลา มี ๒ ชนิด ๒.๑ จานลายปลา ตรงกลางเป็นลายปลาและเก๋งจีนสีน้ำเงิน ขอบจานเขียนลายเส้นเป็นรูปดอกไม้ ใบไม้ นกยูง และนกนางแอ่น ๒.๒ จานลายปลา ตรงกลางเป็นลายปลาลีแดงชอบจานเป็นลายเมฆและมังกรสีน้ำเงิน |
๓. จานลายดอกไม้ เป็นจานที่ประดับด้วยลวดลายดอกไม้และใบไม้ สีแดงน้ำเงิน เหลืองเขียว สลับกันไปมา |
๔. เครื่องทองเหลือง ได้แก่ ๔.๑ กาน้ำ แบบมีหูหิ้วไม่มีลวดลาย ๔.๒ เครื่องเชี่ยนมากทองเหลืองประกอบด้วยกระปุกเล็ก ๆ สำหรับใส่เครื่องประกอบการรับประทาน พร้อมด้วยที่ตำหมาก เครื่องใช้ประเกททองเหลืองคงนำมาจากวังระแงะเดิมที่ตันหยงมัส เนื่องจากตันหยงมัสเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตเครื่องทองเหลือง |
๕. โถ มีขนาดเล็กลักษณะป้อมเตี้ย มีลวดลายดอกไม้สีน้ำเงินบนพื้นพื้นขาวเป็นศิลปะแบบจีน |
ถึงแม้ว่าวังระแงะในปัจจุบันจะเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา แต่สถาปัตยกรรมของวังที่หลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงการนำศิลปกรรมของชวา เข้ามาผสมผสานกับศิลปกรรมของท้องถิ่นภาคใต้ได้อย่างดี จนเกิดเป็นความสง่างามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ในอดีตของเมืองระแงะ จังหวัดนราธิวาส
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.
วังเก่าเจ้าพระยาระแงะ. (2560). สืบค้น 21 พ.ค. 68, จาก https://link.psu.th/eGwfXS