วัดกะพังสุรินทร์ (Wat Ka Phang Surin)
 
Back    09/04/2019, 15:28    3,003  

หมวดหมู่

สถานที่ทางศาสนา


ประวัติความเป็นมา

            วัดกะพังสุรินทร์ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ โดยชุมชนชาวจีนมีผู้นำชุมชนชื่อาเส เป็นคหบดีในละแวกนั้นเป็นผู้นำบริจาคโดยครั้งแรกจำนวน ๒๐ ไร่ ต่อมาได้ซื้อเพิ่มเติม เดิมชื่อวัดกะพังตามชื่อสระใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงและเนื่องจากพื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ชายเนินเตี้ย ๆ ลาดเอียงจากทิศเหนือไปสู่ทุ่งนาอยู่ใกล้หนองน้ำที่เรียกว่า "สระกะพัง” ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดกะพังสุรินทร์ ตามชื่อพระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต ผู้ปรับปรุงสระกะพังให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ วัดกะพังสุรินทร์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ วัดกะพังสุรินทร์ เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองตรัง ภายในวัดมีพระอุโบสซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เสาไม้ฝาก่ออิฐถือปูน หลังคาหน้าจั่วต่าง ๆ ระดับสองชั้น โดยได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒   วัดกะพังสุรินทร์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นสถานที่เปิดสอนพระปริยัติธรรมทั้งแผนกบาลีและนักธรรม ศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ศูนย์อบรมอุบาสกอุบาสิกาในวันธรรมสวนะและวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชน ทั้งในจังหวัดตรังและจังหวัดใกล้เคียงในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ มาตั้งแต่อดีต เช่น วันสารทเดือนสิบ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น   วัดกะพังสุรินทร์ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๒  กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐ มีเขตวิสุงคามสีมากว้าง  ๒๔ เมตร และยาว ๓๖ เมตร


โบราณสถาน/โบราณวัตถุ

อุโบสถหลังเก่า


อุโบสถหลังเก่า

       พระอุโบสถเก่าแก่นี้ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๐ มีพื้นที่ใช้งาน ๑ งาน ๙๔ ตารางวา ขนาดกว้าง ๑๙.๕๐ เมตร ยาว ๑๔.๕๐ เมตร เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมวัดแบบไทยประเพณีผสมสานกับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบจีน โครงสร้างอาคารเป็นระบบเสาและคานคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาภายในอาคารสร้างท่อนซุงทั้งต้นวางบนเสาตอม่อคอนกรีต ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในพื้นที่ภาคใต้เพื่อป้องกันเสาไม้ผุพังอันเนื่องมาจากความชื้นบนผิวดิน ผนังคอนกรีต (ซีเมนต์ผสมทรายและหินขนาดใหญ่) หล่อด้วยไม้แบบเป็นชั้น ๆ ซึ่งเทคนิคการก่อสร้างแบบจีนที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในคาบสมุทรมาลายู หลังคาทรงจั่วซ้อนกัน ๓ ชั้น ๒ ระดับ ประกอบหลังคาปีกนกบริเวณหน้าบันทุกชั้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระอุโบสถหลังนี้ หลังคาแต่ละขั้นมีความลาดเอียงไม่เท่ากัน เพื่อให้ความรู้สึกถึงหลังคาที่แอ่นโค้งแบบสถาปัตยกรรมไทย บริเวณหน้าจั่วไม่มีการประดับตกแต่งด้วยเครื่องลํายองตามประเพณีนิยม แต่เป็นหน้าจั่วเรียบแบบจีนซึ่งเป็นที่นิยมมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) หลังคาเดิมมุงกระเบื้องซีเมนต์ทรงว่าวหรือ กระเบื้องว่าว แต่เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์พระอุโบสถในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จึงเปลี่ยนเป็นกระเบื้องลอนเล็ก (ลอนเดี่ยว) หน้าต่างไม้เนื้อแข็งประกอบลูกฟักบานคู่เปิดออก ส่วนประตูเป็นบานเฟี้ยมไม้เนื้อแข็งประกอบลูกฟัก ซึ่งเป็นรูปแบบของประตูและหน้าต่างแบบจีน อิทธิพลของสถาปัตยกรรมจีนที่ปรากฏในพระอุโบสถวัดกะพังสุรินทร์นี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชุมชนชาวจีน ที่อพยพมาจากเมืองท่าสําคัญของมาเลเซีย ตั้งแต่ช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอุโบสถวัดกะพังสุรินทร์หลังเก่านี้เป็นสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นตัวแทนการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณีกับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมแบบจีน เทคนิคการก่อสร้างก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ในภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานในอุโบสถซึ่งนำมาจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ พระอุโบสถนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยพระอธิการแย้มเป็นเจ้าอาวาส และสร้างเรื่อยมาจนถึงพระอธิการเพื่อม ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีกุน อาคารหลังนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากร โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่มที่ ๑๑๖ ตอนพิเศษ ๑๗ง ลงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๒


ภายในอุโบสถหลังเก่า

อุโบสถหลังใหม่


พระอุโบสถหลังใหม่

        อุโบสถหลังใหม่นี้ได้เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๔๙  โดยพระเดชพระคุณสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ)  เป็นผู้ริเริ่มให้ได้บริจาคเงินจำนวน ๕ ล้านบาทเป็นประเดิมในการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถหลังใหม่ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น ๘๐ ล้านบาท


ภายในพระอุโบสถหลังใหม่


ภายในพระอุโบสถหลังใหม่


ภายในพระอุโบสถหลังใหม่


ปูชนียบุคคล

        วัดกะพังสุรินทร์มีเจ้าอาวาสรูปแรกคือพระครูวิเชียร ปัจจุบันมีพระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ) เป็นเจ้าอาวาสและดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ 


พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปญฺญาวุโธ
ภาพจาก : https://www.pinterest.com/pin/748512400543345297/

         พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปัญฺญาวุโธ) ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนใต้ และเจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง มีนามเดิมว่า สงัด ลิ่มไทย เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ ที่บ้านหนองไทร ตำบลนาโยงเหนือ อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง มีโยมบิดาชื่อเปลี่ยน โยมมารดาชื่อทองอ่อน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดจอมไตร อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง โดยมีพระครูสังวรโกวิท เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูพิบูลธรรมสาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระผุด มหาวีโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้เปรียญธรรม ๗ ประโยค พระพรหมจริยาจารย์ (สงัด ปัญฺญาวุโธ) เป็นพระเถระรูปหนึ่งที่สร้างคุณูปการต่อวงการสงฆ์แห่งแดนใต้และประเทศไทยอย่างเอนกอนันต์เป็นที่โจษจันเลื่องลือไปไกล ทุ่มแรงกายแรงใจให้งานแบบถวายชีวิต ตั้งอยู่ในศีล ดำรงตนตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนาในภาคใต้ของประเทศไทย
          สมณศักด์

พ.ศ.  ๒๕๑๔ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญที่ พระปิฎกคุณาภรณ์
พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชปริยัตยาภรณ์ สุนทรธรรมานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๓๖ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิมลเมธี ศรีปริยัติดิลก ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้รับพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมรัตนากร สุนทรพรหมปฏิบัติ ปริยัติธรรมสาธก ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้น เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏที่ พระพรหมจริยาจารย์ สุวิธานวรกิจจานุกิจ วินิฐศีลาจารวิมล โสภณทักษิณคณาทร ตรีปิฎกวราลงกรณ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

        เกียรติคุณ

พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้รับถวายปริญญาพุทธศาสตรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้รับถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยหาดใหญ่
พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้รับถวายปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
พ.ศ.  ๒๕๕๔ ได้รับถวายปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา

ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วัดกะพังสุรินทร์ (Wat Ka Phang Surin)
ที่อยู่
เลขที่ ๒๘ ถนนเวียนกะพัง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง
จังหวัด
ตรัง
ละติจูด
7.576669
ลองจิจูด
99.624796



วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

กรมทรัพยากรธรณี. การจำแนกเขตเพื่อการจัดการด้านธรณีวิทยาและทรัพยากรธรณีจังหวัดตรัง. กรุงเทพฯ: หจก. ไอเดีย สแควร์,2550.

กรมศิลปากร. "วัดกะพังสุรินทร์" ระบบภูมิสารสนเทศ แหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรม. (ออนไลน์). เข้าถึงเมื่อ 15 มกราคม 2565. เข้าถึงจาก http://gis.finearts.go.th/fineart/

ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์, ศิริพร สังข์ศิริ,  และธวัชชัย ชั้นไพศาลศิลป์. 247 โบราณสถานภาคใต้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วและข้อมูลหลักฐานใหม่ทางโบราณคดี. นครศรีธรรมราช : สำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช, 2561.

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ระบบทะเบียนวัด. (ออนไลน์). เข้าถึงเมื่อ 15 มกราคม 2565. เข้าถึงจาก http://binfo.onab.go.th/Temple/Temple-List-view.aspx


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024