วังพระยายะลา
 
Back    20/05/2025, 17:15    19  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา

 

        วังของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) หรือวังเจ้าเมืองยะลา ซึ่งมีอยู่ ๒ วัง คือวังยาลอหรือวังสามหลังคา เป็นวังของเจ้าเมืองยะลาคนที่ ๕ (ต่วนอับดุลเลาะ) ตั้งอยู่บริเวณหมู่ที่ ๑ ตำบลบ้านยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา บนเส้นทางยะลา-ยะหา ในปัจจุบัน และวังนาใหม่ สำหรับกำเนิดของวังยาลอหรือวังสามหลัง นั้นสืบเนื่องมาจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) พระยายะลา (เมือง) ซึ่งเป็นคนไทยถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง ต่อมาได้โปรดเกล้าให้ต่วนอับดุลเลาะ ซึ่งมีเชื้อลายมลายูดำรงตำแหน่งเป็นพระยายะลาต่อมา โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาณรงค์ฤทธิ์ศรีประเทศวิเศษวังษา ท่านได้สร้างวังขึ้นที่บ้านยาลอ (ปัจจุบันเรียกว่าบ้านยะลา) เมื่อพระยายะลา (ต่วนอับดุลเลาะ) ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งต่วนสาและบุตรพระยายะลา (ต่วนอับดุลเลาะ) เป็นเจ้าเมืองยะลาคนต่อมา ท่านปกครองเมืองยะลาด้วยความสงบเรียบร้อยจนถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ หลังจากนั้นบุตรชายของต่วนสาและ ชื่อต่วนสุไลมานได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยายะลาสืบต่อมา ได้บรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาณรงค์ฤทธีศรีประเทศวิเศษวังษา ท่านเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองมลายูคนสุดท้าย ก่อนจะการปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ในปี  พ.ศ. ๒๔๔๙
         สำหรับพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) บุตรของพระยายะลา (ต่วนสาและ) กับเจ๊ะทูวอ อะมีนะ  โดยที่ท่านมีภรรยาหลายคนแต่งงานแล้วหย่าร้างหลายครั้ง โดยได้สร้างวังใหม่แยกออกไปต่างหาก สำหรับภรรยาคนแรกอาศัยอยู่ในวังยาลอคือตนกูต่อเงาะ ธิดาคนที่ ๔ ของตนกูปูเตะ เจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๒ มีบุตรธิดา ๖ คน ประกอบด้วย

๑. ตนกูบือซาร์ รงโช๊ะ
๒. ตนกูอับดุลเลาะ รงโซ๊ะ
๓. ตนกูนะ รงโซ๊ะ
๔. ตนกูมะลอ รงโต๊ะ
๕. ตนกูโวะ รงโซ๊ะ
๖. ตนกูซง รงโต๊ะ

          ส่วนภรรยาใหม่อาศัยอยู่ในวังนาใหม่มีหลายคน ได้แก่ ตูแวฟอตีเมาะ ธิดาของเจ้าเมืองรามันห์ เจ๊ะฟาตีเมาะ และเจ๊ะมีโนะ ซึ่งเป็นชาวยะหา มีบุตรธิดาด้วยกันทั้งหมด ๕ คน คือ

๑. ตนกูบือชาร์ รงโต๊ะ 
๒. ตนกูปูเต๊ะ รงโช๊ะ บุตรของตูแวฟอตีเมาะ
๓. ตนกูงือมิ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะฟาตีเมาะ
๔. ตนกูมาโซ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะมิโนะ
๕. ตนกูมะ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะมิโนะ

     ในช่วงที่พระยายะลา (ตนกูสุไลมาน) เป็นเจ้าเมืองยะลา ไม่ปรากฎหลักฐานที่เป็นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เด่นชัด จนเป็นภาระให้กรุงเทพฯ ต้องมาแก้ไข จนกระทั่งพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งขณะนั้นท่านมีบุตรธิดารวมทั้งหมด ๑๑ คน จะเห็นได้ว่าลูกหลานเชื้อสายพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) มีมากมายหลายคน ปัจจุบันต่างก็มีครอบครัวและแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพตามจังหวัดต่าง ๆ แต่ส่วนหนึ่งยังคงรับใช้ชาติบ้านเมืองต่อมา เช่น ตนกูมะ มะหะหมัด เคยเป็นปลัดจังหวัดปัตตานี ตลอดจนลูกหลานในตระกูลเด่นอุดมบางท่านได้เข้ารับราชการในกรมตำรวจ เป็นต้น นอกจากนี้บุตรหลานของวังยะลายังมีความสัมพันธ์กับเชื้อสายวังอื่น ๆ ทั้งในรูปของการแต่งงานตลอดจนยังคงไปมาหาสู่กันตราบเท่าทุกวันนี้

   การใช้พื้นที่ของวังยะลา
         วังของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) มี ๒ แห่ง คือวังยาลอหรือวังสามหลังคา และวังนาใหม่ สำหรับไปเดินทางไปวังยาลอหรือวังสามหลังคานั้น โดยใช้เส้นทางยะลา-ยะหา ผ่านสามแยกบ้านเนียงไปประมาณ ๓ กิโลเมตร ตัววังตั้งอยู่ทางขวามือ บริเวณบ้านเลขที่ ๖ หมู่ที่ ๑ ตำบลยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา  ตัววังจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกบนพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ มีกำแพงดินกั้นอาณาบริเวณทั้งหมด (กำแพงชั้นนอก) ทิศเหนือและทิศใต้ จดบ้านเรือนประชาชน ส่วนทิศตะวันออกจดถนนหน้าวัง ในบริเวณที่ดินทางทิศใต้แต่เดิมเป็นมัสยิดสำหรับประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม ปัจจุบันมัสยิดถูกรื้อออกและสร้างใหม่ในบริวณอื่นแล่้ว สำหรับวังนาใหม่นั้นอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวังยาลอ บนเส้นทางยะลา-ยะหา โดยเมื่อถึงสามแยกบ้านเนียงเลี้ยวซ้ายผ่านถนนสายเล็ก ๆ มุ่งตรงไปยังวังนาใหม่ จะมองเห็นด้านหลังของตัววังอยู่ทางขวามือ ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก บนเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๓๔๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา อาณาเขตทิศเหนือจดสวนยางของนายยูโซ๊ะ แยนา ทิศใต้จดคลองยะหา ทิศตะวันออกจดสวนยางของนายวาเงาะ แยนา ทิศตะวันตกจดถนนทางเข้าวัง หากเดินจากถนนผ่านไปทางขวามือหรือทางใต้ของตัววังจะพบยุ้งข้าวขนาดเล็กที่สร้างเป็นเรือนยกใต้ถุนสูง มีชานยื่นออกไปทางทิศตะวันตก หลังคาทรงลีมะหรือทรงปั้นหยา ใช้ไม้เป็นโครงหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ ประตูยุ้งข้าวหันหน้าเข้าหาตัววัง ส่วนหน้าต่างหันไปทางด้านหลังหรือทิศตะวันตก ฝาผนังมีลักษณะเป็นฝายืน เสายุ้งมีลักษณะกล มีทั้งหมด ๖ เสา มีความสูงประมาณ ๗๓ เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานชีมนต์ เมื่อเดินผ่านยุ้งข้าวเลียบด้านข้างของตัววังไป จนถึงบริเวณเฉลี่ยงด้านหน้ามีบันไดไม้สำหรับขึ้นวัง ซึ่งอยู่ทางซ้ายของเฉลียง แต่บันไดของเดิมได้ผุพังไปและได้มีการสร้างบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นในบริเวณด้านหน้าของตัววังแทน สำหรับในอดีตบันไดที่สำคัญจะอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวซาน ซึ่งเชื่อมระหว่างเรือนใหญ่ (ตัววังใหญ่) และเรือนรับประทานอาหาร ปัจจุบันยังคงมองเห็นประตูทางเข้าและบันไดขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารณดินผ่านเข้าออกได้ ถัดจากเรือนรับประทานอาหารไปในอดีตจะมีทางเชื่อมระหว่างเรือนรับประทานอาหารและเรือนครัวซึ่งอยู่ถัดไป ปัจจุบันบริเวณทางเชื่อมได้พังลงมาเหลือเพียงเรือนครัวซึ่งถูกยกไปต่อเติมกับบ้านเลขที่ ๓๓ ในบริเวณเดียวกัน สำหรับกำแพงไม้ไผ่ซึ่งเคยกั้นอาณาเขตทั้งหมดของวัง ขณะนี้ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แม้แต่น้อย

  การใช้พื้นที่ของวังยะลา
         
ในอดีตการใช้พื้นที่ของวังยาลอแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนรับประทานอาหาร และเรือนครัว

๑. เรือนใหญ่
    เรือนใหญ่ แบ่งเป็นส่วนหน้า และส่วนหลัง
   - ส่วนหน้า ก่อนถึงอาคารเป็นลานโล่งด้านหน้าและด้านข้าง จากลานด้านข้าง มีบันไดไม้ขึ้นไปบนตัวอาคาร ภายในอาคารมีการแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยกล่าวคือ เมื่อก้าวขึ้นบันไดวังด้านข้างสู่เฉลียง เดินผ่านประตูบานแรก จะพบห้องโถงซึ่งใช้สำหรับต้อนรับแขกที่ไปมาหาสู่ และเป็นสถานที่ปรึกษาหารือเรื่องราชการกับกรมการเมืองต่าง ๆ ด้านขวามีประตูเปิดออกสู่ชานซึ่งเชื่อมระหว่างเรือน ๑ บาน 
  -  ส่วนหลัง มีประตูกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังอยู่ ๓ บาน เป็นประตูโค้งขนาดใหญ่ ๑ บาน และประตูโค้งขนาดเล็กขนาบทั้ง ๒ ด้าน อย่างละบาน ส่วนหลังเป็นพื้นยกระดับสูงกว่าส่วนหน้า หากเดินผ่านประตูดังกล่าวจะเป็นห้องโล่ง ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าเมืองขณะพักอยู่ที่วังนาใหม่ ส่วนด้านขวามีประตูออกสู่ตัวซาน ๒ บาน เมื่อเดินผ่านประตูออกมาจากส่วนหลังของเรือนใหญ่ลงสู่ตัวซานซึ่งลดระดับพื้นต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ ด้านซ้ายมีบ่อน้ำ ด้านขวาของบ่อจะมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ ๓ บ่อ และจากบ่อน้ำ จะมองเห็นอาคารส่วนหลังสุดของเรือนใหญ่ซึ่งเป็นห้องโล่งใช้เป็นที่พักของลูกหลานและเครือญาติ
๒. เรือนรับประทานอาหาร
   เรือนรับประทานอาหาร ถ้ามองจากตัวซานจะเห็นประตูทางเข้าเรือนรับประทานอาหารอยู่ ๒ บาน คือประตูด้านช้ายและด้านขวา ซึ่งเป็นประตูใหญ่ผ่านประตูบานนี้เข้าไปในเรือนรับประทานอาหาร ซึ่งยกระดับสูงกว่าตัวซาน ส่วนหน้าเป็นห้องโถงกว้างใช้สำหรับรับประทานอาหารร่วมกัน ส่วนหลังเมื่อเดินผ่านประตูกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนส่วนหลัง มีประตูซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังอยู่ ๒ บาน เป็นประตูโค้งขนาดใหญ่ ๑ บาน และประตูโค้งขนาดเล็กขนาบทั้ง ๒ ด้านอย่างละบาน ส่วนหลังเป็นพื้นยกระดับสูงกว่าส่วนหน้า หากเดินผ่านประตูดังกล่าวจะเป็นห้องโล่ง ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าเมืองขณะพักอยู่ที่วังนาใหม่ ส่วนด้านขวามีประตูออกสู่ตัวซาน ๒ บาน เมื่อเดินผ่านประตูออกมาจากส่วนหลังของเรือนใหญ่ ลงสู่ตัวซานซึ่งลดระดับพื้นต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ ด้านซ้ายมีบ่อน้ำ ด้านขวาของบ่อจะมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ ๒ บ่อ และจากบ่อน้ำจะมองเห็นอาคารส่วนหลังสุดของเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องโล่งใช้เป็นที่พักของลูกหลานและเครือญาติหลังเข้าไปจะมีห้องเล็ก ๆ ๑ ห้อง ใช้เป็นที่พักอาหารก่อนนำไปจัดในห้องอาหาร 
๓. เรือนครัว
    เรือนครัว เมื่อเดินจากเรือนรับประทานอาหารผ่านชานเล็ก ๆ ซึ่งใช้เป็นเส้นทางเดินเชื่อมเรือนทั้งสอง จะเป็นห้องครัวเล็ก ๆ ๑ ห้อง แยกออกจากเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหาร

      ในปัจจุบันการใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของวังยาลอ มีดังนี้

๑. เรือนใหญ่ (ตัววังใหญ่)
     เรือนใหญ่ แบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง
   - ส่วมหน้า บันไดทางขึ้นเดิมซึ่งอยู่ทางช้ายของตัวอาคารได้พังลง จึงสร้างบันใดก่ออิฐถือปูนบริเวณด้านหน้าของวังแทน สำหรับห้องโถงส่วนหน้าของเรือนใหญ่ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ประตูโค้งที่ใช้ระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลัง ๒ บาน จะถูกปิดตายเหลือเพียงบานใหญ่ที่อยู่ตรงกลางซึ่งยังคงใช้ประโยชน์ได้อยู่ และประตูซึ่งเปิดสู่ชานด้านขวาทั้งหมดของเรือนใหญ่ปิดตายลงเช่นกัน เนื่องจากตัวซานได้พังลง
  - ส่วนหลัง บริเวณห้องที่เจ้าเมืองใช้สำหรับพักผ่อนไม่ได้มีการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลง แต่ส่วนที่เป็นเรือนพักของเครือญาตินี้พังลง จึงเจาะช่องประตูและสร้างห้องครัวเพิ่มเติมขึ้นด้านหลัง ๑ ห้อง นอกจากนี้ยังมีเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหารยังคงเหลือสภาพให้เห็นชัดเจน ทั้งฐานบ่อและตัวบ่อน้ำ และบ่อปลา
๒. เรือนรับประทานอาหาร ทรุดโทรมและผุพังลงไปมากจนไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้
๓. เรือนครัว ได้ย้ายไปต่อเติมเป็นห้องครัวของบ้านหลังอื่น และยังคงอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของเดิมและสามารถใช้ประโยชน์ได้

   รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังยะลา
       วังยาลอสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระยายะลา (ต่วนสาแสะ) หรือพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) โดยสถาปนิกชาวปัตตานี ชื่อหะยีนิมะ ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง ซึ่งมี ๓ หลังคาติดต่อกันไป และมีบ้านบริวารซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลาน และเครือญาติอยู่บริเวณด้านหลังของบ่อน้ำ ทางขึ้นวังมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก ภายในตัววังด้านหลังกำแพงซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลัง มีบ่อน้ำอยู่ ๑ บ่อ แต่ตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลาได้ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงแทบไม่เหลือร่องรอยของตัววังเดิมให้เห็น แต่ได้มีการนำส่วนประกอบของวังบางส่วน เช่น ฝาผนัง และเสา มาสร้างใหม่โดยการคร่อมทับบริเวณบ่อน้ำ และบางส่วนของวังเดิม ทำให้มองเห็นลักษณะองค์ประกอบและวัสดุที่ใช้สร้างวังบางส่วน ได้แก่

๑. ฝาผนัง ใช้ไม้กระดานตีทับซ้อนเป็นเกล็ดมีลักษณะเป็นผ่านอน แต่ช่วงล่างสุดของผนัง มีการสลักลวดลายลูกพักในแนวนอน
๒. ประตู กรอบประตูทำด้วยไม้เนื้อแข็ง สลักลวดลายลูกพักฟักในแนวดังส่วนกรอบประตูด้านบน เป็นการสลักลายลูกพักในแนวนอนเช่นเดียวกับผนังช่วงล่าง ปัจจุบันประตูส่วนนี้ถูกปิดตาย เนื่องจากมีการนำฝาผนังและประตูมาประกอบเป็นผนังด้านข้างของบ้าน
๓. เสา ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นเสาสี่เหลี่ยมวางบนฐานคอนกรีตโดยมีการบากเสาและอาศัยโครงสร้างที่ยึดกันกับน้ำหนักเรือนทำให้เรือนวางอยู่บนเสาได้ เสามีความสูง  ๑  เมตร ๔๗ เซนติเมตร กว้าง ๑๘ เซนติเมตร แต่ไม่อาจทราบจำนวนเสาที่เหลือทั้งหมดได้เนื่องจากมีการใช้เสาเก่าและเสาใหม่คละกัน
๔. ฐานเสา ใช้ปูนชีเมต์ทำเป็นรูปลี่เหลี่ยมจตุรัส สูงประมาณ ๒๙ เชนติ กว้างประมาณ ๒๓ เซนติเมตร วางบนพื้นดินที่ปรับระดับไว้เรียบไม่ฝังในดินตามแบบเรือนไทยมุสลิมในภาคใต้ของไทย
๕. บ่อน้ำ ซึ่งอยู่ส่วนหลังของวังเป็นบ่อก่ออิฐถือปูนโดยใช้อิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบันเล็กน้อย มีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘๘ เซนติเมตร สูง ๖๗ เซนติเมตร ขอบบ่อกว้างประมาณ ๒๐ เชนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานลี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ  ๓ เมตร  ๓๑ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๖ เมตร ๔๘ เซนติเมตร ถัดออกไปด้านหน้าของบ่อน้ำเป็นกำแพง ซึ่งทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ใช้อิฐโบราณขนาดใหญ่ แต่ละแผ่นหนา ๕ เซนติเมตร กว้าง ๒๐ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร
๖. กำแพงวังชั้นใน ไม่ปรากฎร่องรอยให้เห็นนอกจากพุ่มไม้และบำไผ่ซึ่งแทรกเต็มพื้นที่อยู่ด้านหลังของวัง คงเหลือเพียงกำแพงชั้นนอกบางส่วนบริเวณทิศตะวันตก กว้างประมาณ ๒ เมตร สูง ๕๐ เชนติเมตร มีลักษณะขาดเป็นช่วง ๆ แต่ที่เหลืออยู่ยังมองเห็นสภาพของแนวเนินดิน ซึ่งเคยเป็นกำแพงวังชั้นนอก

           สำหรับวังนาใหม่นั้นสร้างโดยสถาปนิกคนเดียวกับวังยาลอ ลักษณะรูปทรงของวังมีการสร้างแบบเรือนแฝด ๓ หลัง โดยมีชานเชื่อมระหว่างกันยกใต้ถุนสูง หลังคาช้อนกัน ๒ ชั้น เป็นแบบผสมระหว่างทรงมนิลาหรือบลานอกับทรงหน้าจั่ว ทางขึ้นวังมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก เนื่องจากตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลา ด้วยเหตุนี้รูปทรงตั้งเดิมของวังบางส่วนจึงเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะส่วนที่ชำรุดได้รับการซ่อมแซมต่อเติม ให้เหมาะสมกับการใช้สอยในปัจจุบัน
    
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังนาใหม่
          
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังนาใหม่ ประกอบด้้วย

๑. เสา แบ่งเป็น ๓ ประเกท ได้แก่
    ๑.๑ เสาเรือนใหญ่ มี ๓ แบบ คือ
           - แบบที่ ๑ เป็นเสาลี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนบริเวณส่วนหน้าติดกับเฉลียง มีทั้งหมด ๔ เสา กว้าง ๑๗.๕ เซนติเมตร สูง ๗๘ เชนติเมตร
           - แบบที่  ๒ เป็นเสาลี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนระหว่างบริเวณส่วนหน้าและส่วนหลัง มีทั้งหมด ๑๒ เสา กว้าง ๑๗ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๒๓ เซนติเมตร
           - แบบที่ ๓ เป็นเสาสี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนบริเวณส่วนหลังของตัวอาคาร มีทั้งหมด ๔ เสา กว้าง ๑๖ เชนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘.๓ เชนติเตร นอกจากนี้ยังมีเสาภายนอกและภายในตัวเรือน บริเวณห้องโถงส่วนหน้าและส่วนหลัง ยังมีเสาสี่เหลี่ยมรับน้ำหนักหลังคาส่วนละ ๒ เสา
    ๑.๒ เสาเรือนรับประทานอาหาร เป็นเสาลักษณะกลม สูง ๑ เมตร ๑๓ เซนติเมตร มีทั้งหมดประมาณ ๑๕ เสา
    ๑.๓ ส่วนเสารือนครัว เป็นเสาลี่เหลียม สูงประมาณ ๑ เมตร  ๒๐ เซนติเมตร มีทั้งหมดประมาณ ๘ เสา
๒. ฐานเสา ใช้ฐานเป็นคอบกรีตรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับเสาของวัง ฐานที่รองรับเสาวังจะวางบนพื้นซึ่งปรับไว้เรียบไม่ฝังในดิน แบ่งเป็น  ๓ ประเภท คือ
      ๒.๑ ฐานเสาของเรือนใหญ่ มี ๓ แบบ คือ
              - แบบที่  ๑ เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม บริเวณฐานเสาจะกว้างกว่าและทำขอบลายนูนเป็น ๒ ชั้น ส่วนบนของฐานเสาคอดเล็ก มีขนาดเท่ากับเสากว้าง ๔๐ เชนติเมตร สูง ๙๖ เซนติเมตร
              - แบบที่  ๒ เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนบนจะสอบเข้าหาตัวเสา มีขนาดเท่ากับเสา กว้าง ๔๐ เซนติเมตร สูง ๕๒ เซนติเมตร
              - แบบที่ ๓  เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนบนสอบเข้าหาตัวเสาเพียงเล็กน้อย กว้าง ๔๐ เชนติเมตร สูง ๓๐ เซนติเมตร
      ๒.๒ ฐานเสาเรือนรับประทานอาหาร เป็นฐานอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลายนูนตรงขอบด้านบน กว้าง ๑๘ เซนติเมตร สูง ๒๓ เชนติเมตร
      ๒.๓ ฐานเสาเรือนครัว เป็นฐานชีเนต์สี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ๒๓ เซนติเตร สูงประมาณ  ๓๐ เซนติเมตร
๓. บันได ลักษณะบันไดของวังนาใหม่ มีทั้งบันไดที่ทำจากไม้และบันไดก่ออิฐถือปูน ไม่มีราวบันได คือ
     ๓.๑ บันไดที่ทำจากไม้ มี ๒ ประเภท คือบันไดแบบโปร่งและบันไดแบบทึบ ซึ่งบันไดแบบโปร่ง ได้แก่บันไดขึ้นเฉลียงด้านช้ายของเรือนใหญ่ ที่ปัจจุบันพังลง บันไดขึ้นตัวชานเชื่อมระหว่างเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหาร มี  ๔ ขั้น และบันไดส่วนหลังของเรือนใหญ่ซึ่งต่อเติมใหม่ มี ๓ ขั้น ส่วนบันได้แบบทึบ ได้แก่บันไดบริเวณประตูที่กั้นระหว่างส่วนหน้า และส่วนหลัง มี ๒ ขั้น และบันได้ขึ้นลงชานระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหารซึ่งมี ๒ ขั้น
      ๓.๒ บันไดที่ก่ออิฐถือปูน ได้แก่บันไดขึ้นวังด้านหน้าซึ่งเป็นส่วนต่อเติมใหม่ ๕ ขั้น และบันไดขึ้นลงด้านหลังของบ่อมี ๑ ชั้น
๔. ชาน มี ๒ แห่ง คือชานกว้างที่เชื่อมระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร และซานแคบ ๆ ซึ่งเชื่อมระหว่างเรือนรับประทานอาหารและเรือนครัว สำหรับชานกว้าง ด้านหลังจดบ่อน้ำและบ่อเลี้ยงปลา มีประตูขึ้นชาน  ๑ บาน ซึ่งสามารถแยกเข้าออกเรือนต่าง ๆ ตามต้องการ ในอดีตส่วนชานด้านนี้ใช้ต้อนรับแขก ซึ่งเป็นผู้หญิงให้แยกขึ้นบันไดส่วนหน้าของชาน เพื่อไม่ให้ปะปนกับฝ่ายชายซึ่งใช้บันไดเรือนใหญ่ ส่วนชานแคบ ๆ ซึ่งเชื่อมกับเรือนครัวเป็นเส้นทางที่ใช้เดินผ่านครัวเท่านั้น ปัจจุบันซานทั้ง ๒ ส่วน ได้พังลงจนไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น 
๕. พื้นวัง ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งทั้งหมด แต่การปูพื้นต่างกันในบางส่วน คือพื้นเรือนใหญ่ส่วนหน้าปูเป็น ๒ แบบ คือตามขวางและตามยาว พื้นเฉลียงด้านหน้าและพื้นครัวปูตามแนวขวาง พื้นเรือนใหญ่ส่วนหลังและพื้นเรือนรับประทานอาหารปูตามแนวยาวสำหรับพื้นวังแบ่งเป็น ๔ ระดับ ได้แก่
     - ระดับที่ ๑ จากบันไดถึงพื้นเฉลียง
     - ระดับที่ ๒ เริ่มจากบริเวณห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นที่เจ้าเมืองใช้รับแขกและปรึกษาข้อราชการเมืองกับกรมการเมือง พื้นบริเวณนี้จะยกระดับสูงกว่าพื้นระดับที่ ๑
      - ระดับที่  ๓ คือห้องส่วนหลังของเรือนใหญ่ เป็นห้องที่พักของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) และภรรยา บริเวณนี้ยกพื้นสูงกว่าพื้นระดับที่ ๒
      - ระดับที่ ๔ เป็นชานทั้ง ๒ แห่ง ซึ่งลดระดับต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ เรือนรับประทานอาหารและเรือนครัว  
๖. เฉลียง อยู่ด้านหน้าสุดของวัง มีราวเฉลียงเป็นไม้สี่เหลี่ยมแบน ๆ สั้น ๆ  โดยรอบบันไดทางขึ้นอยู่บริเวณด้านหน้าของเฉลียง แต่ปัจจุบันบริเวณที่เป็นบันได้ได้ฟังลงเหลือเพียงราวเฉลียงเป็นบางส่วน
๗. ประตูบริเวณวังนาใหม่ มีประตู ซึ่งจำแนกออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
      ๗.๑ ประตูบานพับ มี ๑ บาน คือประตูทางเข้าห้องโถง ลักษณะบานพับแบบนี้เป็นศิลปะจีน กว้าง ๑ เมตร ๗๕ เซนติเมตร สูง ๒ เมตร ๒๑ เซนติเมตร

      ๗.๒ ประตูโค้ง มี ๕ บาน คือประตูซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังมี ๓ บาน แต่ประตูโค้งบานตรงกลางไม่มีบานประตูปิด กว้างประมาณ ๗๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๗๕ เซนติเมตร ส่วนโค้งสูงประมาณ ๓๒ เซนติเมตร ส่วนประตูโค้งอีก  ๒ บาน ซึ่งอยู่ด้านข้างมีบานประตูทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ๒ บานมีลายนูนตรงกลาง แต่ปัจจุบันประตู ๒ บานนี้ปิดตายลง เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อไป สำหรับประตูโค้งอีก ๒ บานที่เหลือ ได้แก่ประตูที่อยู่ส่วนหลังของเรือนใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อกับซาน ทำด้วยไม้เนื้อแข็งมีบานประตูปิด ๒ บาน มีลายนูนตรงกลางเช่นเดียวกับประตูโค้งเล็ก ซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังของเรือนใหญ่ แต่ที่แตกต่างคือบานประตูทั้ง ๒ มีห่วงขนาดเล็กคล้องอยู่ที่บานปิดเปิด ประตูละ ๒ ห่วง ลักษณะห่วงเช่นนี้เป็นศิลปะแบบจีน แต่รูปทรงโค้งของประตูเป็นศิลปะอิสลาม ซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามมัสยิดต่าง ๆ 
      ๗.๓ ประตูสี่เหลี่ยม มี ๕ บาน ได้แก่ประตูด้านขวาของห้องโถงส่วนหน้าเรือนใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อกับชาน และประตูทางขึ้นชานระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร มีบานประตูปิด ๒ บาน ด้านในใช้กระดานอัด มีลายนูนบริเวณด้านบนและด้านล่าง กว้าง ๘.๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘๕ เซนติเมตร ส่วนประตูของเรือนรับประทานอาหารด้านข้าง ที่ต่อกับชานมีบานประตูปิดบานเดียวไม่มีลวดลาย ประตูด้านในของเรือนรับประทานอาหารซึ่งเชื่อมระหว่างห้องรับประทานอาหารและห้องครัวเล็ก ๆ ที่อยู่ทางด้านหลัง เป็นประตูบานเล็กมีบานประตูปิด ๒ บาน ไม่มีลวดลายเช่นกัน สำหรับประตูบานสุดท้ายคือประตูห้องครัวซึ่งต่อเติมใหม่ เป็นประตูสี่เหลี่ยมไม่มีบานปิด
๘. กรอบประตู ใช้ไม้ทำกรอบนูนตามรูปทรงของประตู ซึ่งมีทั้งประตูโค้ง และประตูที่เหลี่ยม เป็นต้น กรอบประตูแบบนี้เป็นลักษณะทั่วไปรองศิลปะอิสลาม
๙. ฝ่าผนัง ใช้ไม้กระดานตีทับซ้อนเป็นเกล็ดแบบฝ่ายืน ยกเว้นฝาผนังซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังสลักลวดลายลูกพักเป็นรูปแมวตั้งตลอดอดผ่านนัง
๑๐ หลังคา รูปทรงของหลังคาใช้ทรงมนิลาผสมกับทรงหน้าจั่ว ซ้อนกัน 2 ชั้นส่วนหลังคาเรือนครัวเป็นทรงสี่มะหรือทรงปั้นหยา ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างกันในหมู่ชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ของไทยใช้ไม้เป็นโครงหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยม ช่วยผ่อนคลายความร้อน ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกจึงไม่จำเป็นต้องมีฝ้าเพดาน
๑๑. เชิงชาย ใช้ไม้กระดานแผ่นเดียวเป็นเชิงชายไม่มีการสลักลวดลาย ยกเว้นบริเวณหลังคาด้านบนที่ใช้กระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยม หันส่วนแหลมเป็นเชิงชายยื่นออกมา
๑๒. หน้าต่าง เป็นบานปิด ๒ บานต่อ ๑ ช่อง หน้าต่างมีซี่ลูกกรงเหล็กทุกบาน ๆ ละ ๕ ซี่ แต่ละบานกว้าง ๖๐ เชนติเมตร สูง ๗๙ เชนติเมตร มีทั้งหมด ๔ บาน
๑๓. หน้าจั่ว เรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหารประดับหน้าจั่วด้วยไม้ ออกแบบเป็นแฉกคล้ายแสงอาทิตย์ ส่วนยอดหลังคาประดับดับตั้งไม้รูปเหลี่ยมงามแต่น่าเสียดายที่ลวดลาย ที่ใช้ในการตกแต่งดังกล่าวหลุดพังไปจนแทบไม่เห็นลวดลายเดิม
๑๔. ช่องลม โดยทั่วไปช่องลมของวังนาใหม่ จะใช้ไม้ระแนงซ้อนทับกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด แต่ส่วนที่ต่างออกไป คือช่องคมบริเวณด้านบนของผนัง ซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังของเรือนรับประทานอาหาร ใช้ไม้ระแนงตีเป็นช่อง และตีทับอีกครั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม
๑๕. บ่อน้ำ อยู่บริเวณด้านหลังของเรือนรับประทานอาหาร และชานกว้าง ซึ่งเชื่อมเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน มีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง กว้าง ๔ เมตร ๕๐ เชนติเมตร สูง ๑ เมตร ๔ เซนติเมตร ยาว ๗ เมตร ๕๐ เซนติเมตร มีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ด้านซ้าย ๓ บ่อ มีความสูงเท่ากันประมาณ ๖๐ เชนติเมตร บ่อเล็กประมาณ ๘๐ เชนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๔ เชนติเมตร บ่อกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง ๑ เมตร ๔ เซนติเมตร สำหรับบ่อใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าบ่อเล็กประมาณ  ๑ เท่า บ่อปลาใหญ่นี้บางส่วนใช้ปูนฉาบทับของเก่าที่แตกหักขึ้นใหม่ บ่อน้ำเป็นบ่อก่ออิฐถือปูน ใช้อิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบัน และมีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙๐ เซนติเมตร ขอบบ่อกว้าง ๑๘ เซนติเมตร สูง ๕๖ เซนติเมตร

     สิ่งของเครื่องใช้ในวัง             
              สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในวังพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) การที่วังพระยายะลา เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้ามืองยะลา ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีต บุตรภรรยาและบริวาร อาศัยอยู่ภายในวังมากมาย ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ ปัจจุบันนั้นได้กระจัดกระจายอยู่ตามบ้านญาติของเชื้อสายพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) เช่น สิ่งของเครื่องใช้ซึ่งอยู่ภายในบ้านของตนกูปูก็เยาะ เด่นอุดม ประกอบด้วย

๑. เตืองเหล็ก ที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ ของเดิมเป็นสีดำ ปัจจุบันทาสีเทาทึบ เป็นเตียงแบบจีน กว้าง ๑ เมตร ๕๐ เชนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๘๘ เซนติเมตร มีเสาสูง ๒ เมตร ๑๐ เซนติเมตร โดยยึดติดกับโครงสี่เหลี่ยมด้านบน สำหรับใส่มุ้งด้านหัวนอนและปลายเท้าทำเป็นลูกกรงเหล็กเตี้ย ๆ มีลายหยักแบนคล้ายดอกไม้ บริเวณส่วนบนด้านละ ๙ ซี่
๒. หีบเหล็กใส่เสื้อผ้า ซื้อมาจากสิงโปร์ เป็นรูปที่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง  ๔๕ เซนติเมตร ยาว ๘๓ เซนติเมตร สูง ๒๙ เชนติเมตร มีหูจับทั้ง ๒ ข้าง 
๓. พานทองเหลือง มีอยู่ ๓ แบบ ได้แก่
     ๓.๑ พานขนาดใหญ่ เป็นรูปวงกลมมีลวดลายฉลุอย่างสวยงาม ด้านนอกสุดเป็นลายนูนรูปวงกลมเล็ก ๆ ส่วนด้านในถัดมาเป็นลายฉลุรูปสามเหลี่ยม ๒ ชั้น ตรงกลางเป็นลายพรรณพฤกษา อยู่ในกรอบวงกลมช้อนกัน ๔ ชั้น
     ๓.๒ พานขนาดกลาง เป็นรูปวงกลม ไม่มีลวดลายมีเพียงรอยหยักรูปกลีบบัว
     ๓.๓ พานขนาดเล็ก มีรูปร่างหมือนกับพานขนาดกลางแต่ขนาดเล็กกว่า
๔. เชิงเทียนทองเหลือง เป็นรูปทรงกลม มีลายนูนระหว่างฐานและด้านบนส่วนบนซึ่งใช้สำหรับรองรับเทียนไข มีลายหยักรูปกลีบดอกไม้ รอบขอบจาน
๕. ถาดทองเหลือง ใช้สำหรับเป็นสำรับใส่กับข้าว มีฝาครอบเป็นรูปทรงกลมบนฝ่าครอบตรงกลางเป็นลายเส้นนูนรูปวงกลม ส่วนรอบ ๆ มีลายนูนทรงเรียวเรียงติดต่อกันโดยตลอด
๖. ถาดทองเหลืองรูปแปดเหลี่ยม ตัวถาดเป็นรูปแปดเหลี่ยม ไม่มีลาดลายใด ๆ บนถาด

              สำหรับสิ่งของเครื่องไช้ที่อยู่ในบ้านของตนกูแซะเลาะ มะหะหมัด ประกอบด้วย

๑. ปิ่นโตทองเหลือง ลักษณะภายนอกคล้ายกับปิ่นโตทั่วไป มี ๒ ชั้น ฝาปิดมีหูหิ้วและขาใช้ยึดกับตัวปิ่นโตชั้นล่างสุด เมื่อต้องการเปิดยกขาปิ่นโตส่วนล่างขึ้น ปิ่นโตมีลวดลายโดยรอบแต่เนื่องจากกาลเวลาทำให้ลวดลายจางลง จนไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่ามีลวดลายอะไรบ้าง
๒. จานกระเบื้องเคลือบ มี ๒ แบบ คือ
     ๒.๑ จามรูปแปดเหลี่ยม มีฝ่าปิด ตัวจานบริเวณชอบด้านในมีเส้นบุนรูปวงกลมส่วนฝาปิดเป็นรูปกลมมีที่จับเป็นปุ่มเล็ก ๆ รูปแปดเหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยลายเส้นเขียนสีรูปแปดเหลี่ยม และมีลายเส้นนูนเป็นแฉกออกมาแปดแฉก ระหว่างลายนูนมีลายเส้นเขียนสีชมพู และสีทองเป็นรูปพัด
     ๒.๒ จานวงกลม มีฝาปิด ตัวจานบริเวณขอบด้านในมีลายเส้นเขียนสีน้ำเงินรูปวงกลม ส่วนฝาปิด มีที่จับเขียนลายไบไม้สีทอง ถัดออกไปเป็นขอบวงกลมสีทอง และสีน้ำเงินสลับกันจานทั้ง ๒ แบบดังกล่าว เป็นศิลปะแบบจีนโดยนำมาจากประเทศ
๓. กาน้ำซากระเบื้องเคลือบรูปหกเหลี่อม มีสีเขียวเคลือบผิวมัน ลายเห็นสีเข้มตามแนวขวาง ๒-๓ เส้น จากรูปทรงของกาน้ำ เป็นรูปทรงที่นิยมใช้ใช้ในประเทศจีน อาจสันนิษฐานได้ว่ากาน้ำชาใบนี้น้ำเข้ามาจากประเทศจีน
๔. โม่หิน สำหรับโม่แป้งทำขนม ส่วนฐานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๔๙ เชนติเมตร สูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร และส่วนบนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๑ เซนติเมตร สูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร

               ในอดีตวังพระยายะลา (ต่วนสุไรมาน) มีสิ่งของเครื่องใช้ที่มีคุณค่าและความงามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณวัตถุที่นำเข้ามาจากประเทศจีน และสิงคโปร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คุณค่าของโบราณวัตถุเหล่านี้แสดงให้เห็นความสำคัญของเมืองยะลา ซึ่งได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาจากเมืองที่อยู่ภายในแผ่นดินยากที่จะติดต่อกับต่างประเทศได้ มาเป็นเมืองซึ่งมีการติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างชาติมากขึ้น มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าชาวต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากหีบเหล็ก เตียงเหล็ก ซึ่งซื้อมาจากสิงคโปร์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้วังพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) จึงเป็นแหล่งสะสมผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม อันเป็นโบราณวัตถุล้ำค่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวััดยะลา 


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วังพระยายะลา
ที่อยู่
หมู่ที่ ๑ ตำบลยะลา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา
จังหวัด
ยะลา


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025