วังของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) หรือวังเจ้าเมืองยะลา ซึ่งมีอยู่ ๒ วัง คือวังยาลอหรือวังสามหลังคา เป็นวังของเจ้าเมืองยะลาคนที่ ๕ (ต่วนอับดุลเลาะ) ตั้งอยู่บริเวณหมู่ที่ ๑ ตำบลบ้านยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา บนเส้นทางยะลา-ยะหา ในปัจจุบัน และวังนาใหม่ สำหรับกำเนิดของวังยาลอหรือวังสามหลัง นั้นสืบเนื่องมาจากในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) พระยายะลา (เมือง) ซึ่งเป็นคนไทยถูกปลดออกจากตำแหน่ง เพราะไม่เอาใจใส่ในราชการบ้านเมือง ต่อมาได้โปรดเกล้าให้ต่วนอับดุลเลาะ ซึ่งมีเชื้อลายมลายูดำรงตำแหน่งเป็นพระยายะลาต่อมา โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาณรงค์ฤทธิ์ศรีประเทศวิเศษวังษา ท่านได้สร้างวังขึ้นที่บ้านยาลอ (ปัจจุบันเรียกว่าบ้านยะลา) เมื่อพระยายะลา (ต่วนอับดุลเลาะ) ถึงแก่กรรม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งต่วนสาและบุตรพระยายะลา (ต่วนอับดุลเลาะ) เป็นเจ้าเมืองยะลาคนต่อมา ท่านปกครองเมืองยะลาด้วยความสงบเรียบร้อยจนถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ หลังจากนั้นบุตรชายของต่วนสาและ ชื่อต่วนสุไลมานได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยายะลาสืบต่อมา ได้บรรดาศักดิ์เป็นที่พระยาณรงค์ฤทธีศรีประเทศวิเศษวังษา ท่านเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองมลายูคนสุดท้าย ก่อนจะการปฏิรูปการปกครองเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙
สำหรับพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) บุตรของพระยายะลา (ต่วนสาและ) กับเจ๊ะทูวอ อะมีนะ โดยที่ท่านมีภรรยาหลายคนแต่งงานแล้วหย่าร้างหลายครั้ง โดยได้สร้างวังใหม่แยกออกไปต่างหาก สำหรับภรรยาคนแรกอาศัยอยู่ในวังยาลอคือตนกูต่อเงาะ ธิดาคนที่ ๔ ของตนกูปูเตะ เจ้าเมืองปัตตานี คนที่ ๒ มีบุตรธิดา ๖ คน ประกอบด้วย
๑. ตนกูบือซาร์ รงโช๊ะ |
๒. ตนกูอับดุลเลาะ รงโซ๊ะ |
๓. ตนกูนะ รงโซ๊ะ |
๔. ตนกูมะลอ รงโต๊ะ |
๕. ตนกูโวะ รงโซ๊ะ |
๖. ตนกูซง รงโต๊ะ |
ส่วนภรรยาใหม่อาศัยอยู่ในวังนาใหม่มีหลายคน ได้แก่ ตูแวฟอตีเมาะ ธิดาของเจ้าเมืองรามันห์ เจ๊ะฟาตีเมาะ และเจ๊ะมีโนะ ซึ่งเป็นชาวยะหา มีบุตรธิดาด้วยกันทั้งหมด ๕ คน คือ
๑. ตนกูบือชาร์ รงโต๊ะ |
๒. ตนกูปูเต๊ะ รงโช๊ะ บุตรของตูแวฟอตีเมาะ |
๓. ตนกูงือมิ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะฟาตีเมาะ |
๔. ตนกูมาโซ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะมิโนะ |
๕. ตนกูมะ รงโต๊ะ บุตรของเจ๊ะมิโนะ |
ในช่วงที่พระยายะลา (ตนกูสุไลมาน) เป็นเจ้าเมืองยะลา ไม่ปรากฎหลักฐานที่เป็นปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่เด่นชัด จนเป็นภาระให้กรุงเทพฯ ต้องมาแก้ไข จนกระทั่งพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) ถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ซึ่งขณะนั้นท่านมีบุตรธิดารวมทั้งหมด ๑๑ คน จะเห็นได้ว่าลูกหลานเชื้อสายพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) มีมากมายหลายคน ปัจจุบันต่างก็มีครอบครัวและแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพตามจังหวัดต่าง ๆ แต่ส่วนหนึ่งยังคงรับใช้ชาติบ้านเมืองต่อมา เช่น ตนกูมะ มะหะหมัด เคยเป็นปลัดจังหวัดปัตตานี ตลอดจนลูกหลานในตระกูลเด่นอุดมบางท่านได้เข้ารับราชการในกรมตำรวจ เป็นต้น นอกจากนี้บุตรหลานของวังยะลายังมีความสัมพันธ์กับเชื้อสายวังอื่น ๆ ทั้งในรูปของการแต่งงานตลอดจนยังคงไปมาหาสู่กันตราบเท่าทุกวันนี้
การใช้พื้นที่ของวังยะลา
วังของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) มี ๒ แห่ง คือวังยาลอหรือวังสามหลังคา และวังนาใหม่ สำหรับไปเดินทางไปวังยาลอหรือวังสามหลังคานั้น โดยใช้เส้นทางยะลา-ยะหา ผ่านสามแยกบ้านเนียงไปประมาณ ๓ กิโลเมตร ตัววังตั้งอยู่ทางขวามือ บริเวณบ้านเลขที่ ๖ หมู่ที่ ๑ ตำบลยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ตัววังจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกบนพื้นที่ประมาณ ๑๐ ไร่ มีกำแพงดินกั้นอาณาบริเวณทั้งหมด (กำแพงชั้นนอก) ทิศเหนือและทิศใต้ จดบ้านเรือนประชาชน ส่วนทิศตะวันออกจดถนนหน้าวัง ในบริเวณที่ดินทางทิศใต้แต่เดิมเป็นมัสยิดสำหรับประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม ปัจจุบันมัสยิดถูกรื้อออกและสร้างใหม่ในบริวณอื่นแล่้ว สำหรับวังนาใหม่นั้นอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวังยาลอ บนเส้นทางยะลา-ยะหา โดยเมื่อถึงสามแยกบ้านเนียงเลี้ยวซ้ายผ่านถนนสายเล็ก ๆ มุ่งตรงไปยังวังนาใหม่ จะมองเห็นด้านหลังของตัววังอยู่ทางขวามือ ตั้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก บนเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๓๔๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลเปาะเส้ง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา อาณาเขตทิศเหนือจดสวนยางของนายยูโซ๊ะ แยนา ทิศใต้จดคลองยะหา ทิศตะวันออกจดสวนยางของนายวาเงาะ แยนา ทิศตะวันตกจดถนนทางเข้าวัง หากเดินจากถนนผ่านไปทางขวามือหรือทางใต้ของตัววังจะพบยุ้งข้าวขนาดเล็กที่สร้างเป็นเรือนยกใต้ถุนสูง มีชานยื่นออกไปทางทิศตะวันตก หลังคาทรงลีมะหรือทรงปั้นหยา ใช้ไม้เป็นโครงหลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยมแบบโบราณ ประตูยุ้งข้าวหันหน้าเข้าหาตัววัง ส่วนหน้าต่างหันไปทางด้านหลังหรือทิศตะวันตก ฝาผนังมีลักษณะเป็นฝายืน เสายุ้งมีลักษณะกล มีทั้งหมด ๖ เสา มีความสูงประมาณ ๗๓ เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานชีมนต์ เมื่อเดินผ่านยุ้งข้าวเลียบด้านข้างของตัววังไป จนถึงบริเวณเฉลี่ยงด้านหน้ามีบันไดไม้สำหรับขึ้นวัง ซึ่งอยู่ทางซ้ายของเฉลียง แต่บันไดของเดิมได้ผุพังไปและได้มีการสร้างบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นในบริเวณด้านหน้าของตัววังแทน สำหรับในอดีตบันไดที่สำคัญจะอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวซาน ซึ่งเชื่อมระหว่างเรือนใหญ่ (ตัววังใหญ่) และเรือนรับประทานอาหาร ปัจจุบันยังคงมองเห็นประตูทางเข้าและบันไดขึ้น แม้ว่าจะไม่สามารณดินผ่านเข้าออกได้ ถัดจากเรือนรับประทานอาหารไปในอดีตจะมีทางเชื่อมระหว่างเรือนรับประทานอาหารและเรือนครัวซึ่งอยู่ถัดไป ปัจจุบันบริเวณทางเชื่อมได้พังลงมาเหลือเพียงเรือนครัวซึ่งถูกยกไปต่อเติมกับบ้านเลขที่ ๓๓ ในบริเวณเดียวกัน สำหรับกำแพงไม้ไผ่ซึ่งเคยกั้นอาณาเขตทั้งหมดของวัง ขณะนี้ไม่มีร่องรอยเหลืออยู่แม้แต่น้อย
การใช้พื้นที่ของวังยะลา
ในอดีตการใช้พื้นที่ของวังยาลอแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ประกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนรับประทานอาหาร และเรือนครัว
๑. เรือนใหญ่ เรือนใหญ่ แบ่งเป็นส่วนหน้า และส่วนหลัง - ส่วนหน้า ก่อนถึงอาคารเป็นลานโล่งด้านหน้าและด้านข้าง จากลานด้านข้าง มีบันไดไม้ขึ้นไปบนตัวอาคาร ภายในอาคารมีการแบ่งพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยกล่าวคือ เมื่อก้าวขึ้นบันไดวังด้านข้างสู่เฉลียง เดินผ่านประตูบานแรก จะพบห้องโถงซึ่งใช้สำหรับต้อนรับแขกที่ไปมาหาสู่ และเป็นสถานที่ปรึกษาหารือเรื่องราชการกับกรมการเมืองต่าง ๆ ด้านขวามีประตูเปิดออกสู่ชานซึ่งเชื่อมระหว่างเรือน ๑ บาน - ส่วนหลัง มีประตูกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังอยู่ ๓ บาน เป็นประตูโค้งขนาดใหญ่ ๑ บาน และประตูโค้งขนาดเล็กขนาบทั้ง ๒ ด้าน อย่างละบาน ส่วนหลังเป็นพื้นยกระดับสูงกว่าส่วนหน้า หากเดินผ่านประตูดังกล่าวจะเป็นห้องโล่ง ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าเมืองขณะพักอยู่ที่วังนาใหม่ ส่วนด้านขวามีประตูออกสู่ตัวซาน ๒ บาน เมื่อเดินผ่านประตูออกมาจากส่วนหลังของเรือนใหญ่ลงสู่ตัวซานซึ่งลดระดับพื้นต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ ด้านซ้ายมีบ่อน้ำ ด้านขวาของบ่อจะมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ ๓ บ่อ และจากบ่อน้ำ จะมองเห็นอาคารส่วนหลังสุดของเรือนใหญ่ซึ่งเป็นห้องโล่งใช้เป็นที่พักของลูกหลานและเครือญาติ |
๒. เรือนรับประทานอาหาร เรือนรับประทานอาหาร ถ้ามองจากตัวซานจะเห็นประตูทางเข้าเรือนรับประทานอาหารอยู่ ๒ บาน คือประตูด้านช้ายและด้านขวา ซึ่งเป็นประตูใหญ่ผ่านประตูบานนี้เข้าไปในเรือนรับประทานอาหาร ซึ่งยกระดับสูงกว่าตัวซาน ส่วนหน้าเป็นห้องโถงกว้างใช้สำหรับรับประทานอาหารร่วมกัน ส่วนหลังเมื่อเดินผ่านประตูกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนส่วนหลัง มีประตูซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังอยู่ ๒ บาน เป็นประตูโค้งขนาดใหญ่ ๑ บาน และประตูโค้งขนาดเล็กขนาบทั้ง ๒ ด้านอย่างละบาน ส่วนหลังเป็นพื้นยกระดับสูงกว่าส่วนหน้า หากเดินผ่านประตูดังกล่าวจะเป็นห้องโล่ง ซึ่งเป็นที่พักของเจ้าเมืองขณะพักอยู่ที่วังนาใหม่ ส่วนด้านขวามีประตูออกสู่ตัวซาน ๒ บาน เมื่อเดินผ่านประตูออกมาจากส่วนหลังของเรือนใหญ่ ลงสู่ตัวซานซึ่งลดระดับพื้นต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ ด้านซ้ายมีบ่อน้ำ ด้านขวาของบ่อจะมีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ ๒ บ่อ และจากบ่อน้ำจะมองเห็นอาคารส่วนหลังสุดของเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นห้องโล่งใช้เป็นที่พักของลูกหลานและเครือญาติหลังเข้าไปจะมีห้องเล็ก ๆ ๑ ห้อง ใช้เป็นที่พักอาหารก่อนนำไปจัดในห้องอาหาร |
๓. เรือนครัว เรือนครัว เมื่อเดินจากเรือนรับประทานอาหารผ่านชานเล็ก ๆ ซึ่งใช้เป็นเส้นทางเดินเชื่อมเรือนทั้งสอง จะเป็นห้องครัวเล็ก ๆ ๑ ห้อง แยกออกจากเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหาร |
ในปัจจุบันการใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยของวังยาลอ มีดังนี้
๑. เรือนใหญ่ (ตัววังใหญ่) เรือนใหญ่ แบ่งเป็นส่วนหน้าและส่วนหลัง - ส่วมหน้า บันไดทางขึ้นเดิมซึ่งอยู่ทางช้ายของตัวอาคารได้พังลง จึงสร้างบันใดก่ออิฐถือปูนบริเวณด้านหน้าของวังแทน สำหรับห้องโถงส่วนหน้าของเรือนใหญ่ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ประตูโค้งที่ใช้ระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลัง ๒ บาน จะถูกปิดตายเหลือเพียงบานใหญ่ที่อยู่ตรงกลางซึ่งยังคงใช้ประโยชน์ได้อยู่ และประตูซึ่งเปิดสู่ชานด้านขวาทั้งหมดของเรือนใหญ่ปิดตายลงเช่นกัน เนื่องจากตัวซานได้พังลง - ส่วนหลัง บริเวณห้องที่เจ้าเมืองใช้สำหรับพักผ่อนไม่ได้มีการต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลง แต่ส่วนที่เป็นเรือนพักของเครือญาตินี้พังลง จึงเจาะช่องประตูและสร้างห้องครัวเพิ่มเติมขึ้นด้านหลัง ๑ ห้อง นอกจากนี้ยังมีเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหารยังคงเหลือสภาพให้เห็นชัดเจน ทั้งฐานบ่อและตัวบ่อน้ำ และบ่อปลา |
๒. เรือนรับประทานอาหาร ทรุดโทรมและผุพังลงไปมากจนไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ |
๓. เรือนครัว ได้ย้ายไปต่อเติมเป็นห้องครัวของบ้านหลังอื่น และยังคงอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับของเดิมและสามารถใช้ประโยชน์ได้ |
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังยะลา
วังยาลอสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระยายะลา (ต่วนสาแสะ) หรือพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) โดยสถาปนิกชาวปัตตานี ชื่อหะยีนิมะ ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง ซึ่งมี ๓ หลังคาติดต่อกันไป และมีบ้านบริวารซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของลูกหลาน และเครือญาติอยู่บริเวณด้านหลังของบ่อน้ำ ทางขึ้นวังมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก ภายในตัววังด้านหลังกำแพงซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลัง มีบ่อน้ำอยู่ ๑ บ่อ แต่ตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลาได้ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงแทบไม่เหลือร่องรอยของตัววังเดิมให้เห็น แต่ได้มีการนำส่วนประกอบของวังบางส่วน เช่น ฝาผนัง และเสา มาสร้างใหม่โดยการคร่อมทับบริเวณบ่อน้ำ และบางส่วนของวังเดิม ทำให้มองเห็นลักษณะองค์ประกอบและวัสดุที่ใช้สร้างวังบางส่วน ได้แก่
๑. ฝาผนัง ใช้ไม้กระดานตีทับซ้อนเป็นเกล็ดมีลักษณะเป็นผ่านอน แต่ช่วงล่างสุดของผนัง มีการสลักลวดลายลูกพักในแนวนอน |
๒. ประตู กรอบประตูทำด้วยไม้เนื้อแข็ง สลักลวดลายลูกพักฟักในแนวดังส่วนกรอบประตูด้านบน เป็นการสลักลายลูกพักในแนวนอนเช่นเดียวกับผนังช่วงล่าง ปัจจุบันประตูส่วนนี้ถูกปิดตาย เนื่องจากมีการนำฝาผนังและประตูมาประกอบเป็นผนังด้านข้างของบ้าน |
๓. เสา ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เป็นเสาสี่เหลี่ยมวางบนฐานคอนกรีตโดยมีการบากเสาและอาศัยโครงสร้างที่ยึดกันกับน้ำหนักเรือนทำให้เรือนวางอยู่บนเสาได้ เสามีความสูง ๑ เมตร ๔๗ เซนติเมตร กว้าง ๑๘ เซนติเมตร แต่ไม่อาจทราบจำนวนเสาที่เหลือทั้งหมดได้เนื่องจากมีการใช้เสาเก่าและเสาใหม่คละกัน |
๔. ฐานเสา ใช้ปูนชีเมต์ทำเป็นรูปลี่เหลี่ยมจตุรัส สูงประมาณ ๒๙ เชนติ กว้างประมาณ ๒๓ เซนติเมตร วางบนพื้นดินที่ปรับระดับไว้เรียบไม่ฝังในดินตามแบบเรือนไทยมุสลิมในภาคใต้ของไทย |
๕. บ่อน้ำ ซึ่งอยู่ส่วนหลังของวังเป็นบ่อก่ออิฐถือปูนโดยใช้อิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบันเล็กน้อย มีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๘๘ เซนติเมตร สูง ๖๗ เซนติเมตร ขอบบ่อกว้างประมาณ ๒๐ เชนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานลี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๓ เมตร ๓๑ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๖ เมตร ๔๘ เซนติเมตร ถัดออกไปด้านหน้าของบ่อน้ำเป็นกำแพง ซึ่งทั้งส่วนหน้าและส่วนหลังเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ใช้อิฐโบราณขนาดใหญ่ แต่ละแผ่นหนา ๕ เซนติเมตร กว้าง ๒๐ เซนติเมตร ยาว ๓๐ เซนติเมตร |
๖. กำแพงวังชั้นใน ไม่ปรากฎร่องรอยให้เห็นนอกจากพุ่มไม้และบำไผ่ซึ่งแทรกเต็มพื้นที่อยู่ด้านหลังของวัง คงเหลือเพียงกำแพงชั้นนอกบางส่วนบริเวณทิศตะวันตก กว้างประมาณ ๒ เมตร สูง ๕๐ เชนติเมตร มีลักษณะขาดเป็นช่วง ๆ แต่ที่เหลืออยู่ยังมองเห็นสภาพของแนวเนินดิน ซึ่งเคยเป็นกำแพงวังชั้นนอก |
สำหรับวังนาใหม่นั้นสร้างโดยสถาปนิกคนเดียวกับวังยาลอ ลักษณะรูปทรงของวังมีการสร้างแบบเรือนแฝด ๓ หลัง โดยมีชานเชื่อมระหว่างกันยกใต้ถุนสูง หลังคาช้อนกัน ๒ ชั้น เป็นแบบผสมระหว่างทรงมนิลาหรือบลานอกับทรงหน้าจั่ว ทางขึ้นวังมีบันไดอยู่ทางด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก เนื่องจากตัววังสร้างด้วยไม้จึงไม่สามารถทนต่อกาลเวลา ด้วยเหตุนี้รูปทรงตั้งเดิมของวังบางส่วนจึงเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะส่วนที่ชำรุดได้รับการซ่อมแซมต่อเติม ให้เหมาะสมกับการใช้สอยในปัจจุบัน
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังนาใหม่
รูปทรงและวัสดุที่ใช้ในวังนาใหม่ ประกอบด้้วย
๑. เสา แบ่งเป็น ๓ ประเกท ได้แก่ ๑.๑ เสาเรือนใหญ่ มี ๓ แบบ คือ - แบบที่ ๑ เป็นเสาลี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนบริเวณส่วนหน้าติดกับเฉลียง มีทั้งหมด ๔ เสา กว้าง ๑๗.๕ เซนติเมตร สูง ๗๘ เชนติเมตร - แบบที่ ๒ เป็นเสาลี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนระหว่างบริเวณส่วนหน้าและส่วนหลัง มีทั้งหมด ๑๒ เสา กว้าง ๑๗ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๒๓ เซนติเมตร - แบบที่ ๓ เป็นเสาสี่เหลี่ยมใช้รับน้ำหนักตัวเรือนบริเวณส่วนหลังของตัวอาคาร มีทั้งหมด ๔ เสา กว้าง ๑๖ เชนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘.๓ เชนติเตร นอกจากนี้ยังมีเสาภายนอกและภายในตัวเรือน บริเวณห้องโถงส่วนหน้าและส่วนหลัง ยังมีเสาสี่เหลี่ยมรับน้ำหนักหลังคาส่วนละ ๒ เสา ๑.๒ เสาเรือนรับประทานอาหาร เป็นเสาลักษณะกลม สูง ๑ เมตร ๑๓ เซนติเมตร มีทั้งหมดประมาณ ๑๕ เสา ๑.๓ ส่วนเสารือนครัว เป็นเสาลี่เหลียม สูงประมาณ ๑ เมตร ๒๐ เซนติเมตร มีทั้งหมดประมาณ ๘ เสา |
๒. ฐานเสา ใช้ฐานเป็นคอบกรีตรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับเสาของวัง ฐานที่รองรับเสาวังจะวางบนพื้นซึ่งปรับไว้เรียบไม่ฝังในดิน แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ ๒.๑ ฐานเสาของเรือนใหญ่ มี ๓ แบบ คือ - แบบที่ ๑ เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม บริเวณฐานเสาจะกว้างกว่าและทำขอบลายนูนเป็น ๒ ชั้น ส่วนบนของฐานเสาคอดเล็ก มีขนาดเท่ากับเสากว้าง ๔๐ เชนติเมตร สูง ๙๖ เซนติเมตร - แบบที่ ๒ เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนบนจะสอบเข้าหาตัวเสา มีขนาดเท่ากับเสา กว้าง ๔๐ เซนติเมตร สูง ๕๒ เซนติเมตร - แบบที่ ๓ เป็นฐานเสารูปทรงสี่เหลี่ยม ส่วนบนสอบเข้าหาตัวเสาเพียงเล็กน้อย กว้าง ๔๐ เชนติเมตร สูง ๓๐ เซนติเมตร ๒.๒ ฐานเสาเรือนรับประทานอาหาร เป็นฐานอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีลายนูนตรงขอบด้านบน กว้าง ๑๘ เซนติเมตร สูง ๒๓ เชนติเมตร ๒.๓ ฐานเสาเรือนครัว เป็นฐานชีเนต์สี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง ๒๓ เซนติเตร สูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร |
๓. บันได ลักษณะบันไดของวังนาใหม่ มีทั้งบันไดที่ทำจากไม้และบันไดก่ออิฐถือปูน ไม่มีราวบันได คือ ๓.๑ บันไดที่ทำจากไม้ มี ๒ ประเภท คือบันไดแบบโปร่งและบันไดแบบทึบ ซึ่งบันไดแบบโปร่ง ได้แก่บันไดขึ้นเฉลียงด้านช้ายของเรือนใหญ่ ที่ปัจจุบันพังลง บันไดขึ้นตัวชานเชื่อมระหว่างเรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหาร มี ๔ ขั้น และบันไดส่วนหลังของเรือนใหญ่ซึ่งต่อเติมใหม่ มี ๓ ขั้น ส่วนบันได้แบบทึบ ได้แก่บันไดบริเวณประตูที่กั้นระหว่างส่วนหน้า และส่วนหลัง มี ๒ ขั้น และบันได้ขึ้นลงชานระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหารซึ่งมี ๒ ขั้น ๓.๒ บันไดที่ก่ออิฐถือปูน ได้แก่บันไดขึ้นวังด้านหน้าซึ่งเป็นส่วนต่อเติมใหม่ ๕ ขั้น และบันไดขึ้นลงด้านหลังของบ่อมี ๑ ชั้น |
๔. ชาน มี ๒ แห่ง คือชานกว้างที่เชื่อมระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร และซานแคบ ๆ ซึ่งเชื่อมระหว่างเรือนรับประทานอาหารและเรือนครัว สำหรับชานกว้าง ด้านหลังจดบ่อน้ำและบ่อเลี้ยงปลา มีประตูขึ้นชาน ๑ บาน ซึ่งสามารถแยกเข้าออกเรือนต่าง ๆ ตามต้องการ ในอดีตส่วนชานด้านนี้ใช้ต้อนรับแขก ซึ่งเป็นผู้หญิงให้แยกขึ้นบันไดส่วนหน้าของชาน เพื่อไม่ให้ปะปนกับฝ่ายชายซึ่งใช้บันไดเรือนใหญ่ ส่วนชานแคบ ๆ ซึ่งเชื่อมกับเรือนครัวเป็นเส้นทางที่ใช้เดินผ่านครัวเท่านั้น ปัจจุบันซานทั้ง ๒ ส่วน ได้พังลงจนไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น |
๕. พื้นวัง ทำด้วยไม้กระดานเนื้อแข็งทั้งหมด แต่การปูพื้นต่างกันในบางส่วน คือพื้นเรือนใหญ่ส่วนหน้าปูเป็น ๒ แบบ คือตามขวางและตามยาว พื้นเฉลียงด้านหน้าและพื้นครัวปูตามแนวขวาง พื้นเรือนใหญ่ส่วนหลังและพื้นเรือนรับประทานอาหารปูตามแนวยาวสำหรับพื้นวังแบ่งเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ - ระดับที่ ๑ จากบันไดถึงพื้นเฉลียง - ระดับที่ ๒ เริ่มจากบริเวณห้องโถงของเรือนใหญ่ ซึ่งเป็นที่เจ้าเมืองใช้รับแขกและปรึกษาข้อราชการเมืองกับกรมการเมือง พื้นบริเวณนี้จะยกระดับสูงกว่าพื้นระดับที่ ๑ - ระดับที่ ๓ คือห้องส่วนหลังของเรือนใหญ่ เป็นห้องที่พักของพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) และภรรยา บริเวณนี้ยกพื้นสูงกว่าพื้นระดับที่ ๒ - ระดับที่ ๔ เป็นชานทั้ง ๒ แห่ง ซึ่งลดระดับต่ำกว่าพื้นเรือนใหญ่ เรือนรับประทานอาหารและเรือนครัว |
๖. เฉลียง อยู่ด้านหน้าสุดของวัง มีราวเฉลียงเป็นไม้สี่เหลี่ยมแบน ๆ สั้น ๆ โดยรอบบันไดทางขึ้นอยู่บริเวณด้านหน้าของเฉลียง แต่ปัจจุบันบริเวณที่เป็นบันได้ได้ฟังลงเหลือเพียงราวเฉลียงเป็นบางส่วน |
๗. ประตูบริเวณวังนาใหม่ มีประตู ซึ่งจำแนกออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ๗.๑ ประตูบานพับ มี ๑ บาน คือประตูทางเข้าห้องโถง ลักษณะบานพับแบบนี้เป็นศิลปะจีน กว้าง ๑ เมตร ๗๕ เซนติเมตร สูง ๒ เมตร ๒๑ เซนติเมตร ๗.๒ ประตูโค้ง มี ๕ บาน คือประตูซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังมี ๓ บาน แต่ประตูโค้งบานตรงกลางไม่มีบานประตูปิด กว้างประมาณ ๗๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๗๕ เซนติเมตร ส่วนโค้งสูงประมาณ ๓๒ เซนติเมตร ส่วนประตูโค้งอีก ๒ บาน ซึ่งอยู่ด้านข้างมีบานประตูทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ๒ บานมีลายนูนตรงกลาง แต่ปัจจุบันประตู ๒ บานนี้ปิดตายลง เพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อไป สำหรับประตูโค้งอีก ๒ บานที่เหลือ ได้แก่ประตูที่อยู่ส่วนหลังของเรือนใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อกับซาน ทำด้วยไม้เนื้อแข็งมีบานประตูปิด ๒ บาน มีลายนูนตรงกลางเช่นเดียวกับประตูโค้งเล็ก ซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังของเรือนใหญ่ แต่ที่แตกต่างคือบานประตูทั้ง ๒ มีห่วงขนาดเล็กคล้องอยู่ที่บานปิดเปิด ประตูละ ๒ ห่วง ลักษณะห่วงเช่นนี้เป็นศิลปะแบบจีน แต่รูปทรงโค้งของประตูเป็นศิลปะอิสลาม ซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามมัสยิดต่าง ๆ ๗.๓ ประตูสี่เหลี่ยม มี ๕ บาน ได้แก่ประตูด้านขวาของห้องโถงส่วนหน้าเรือนใหญ่ ซึ่งเชื่อมต่อกับชาน และประตูทางขึ้นชานระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร มีบานประตูปิด ๒ บาน ด้านในใช้กระดานอัด มีลายนูนบริเวณด้านบนและด้านล่าง กว้าง ๘.๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๘๕ เซนติเมตร ส่วนประตูของเรือนรับประทานอาหารด้านข้าง ที่ต่อกับชานมีบานประตูปิดบานเดียวไม่มีลวดลาย ประตูด้านในของเรือนรับประทานอาหารซึ่งเชื่อมระหว่างห้องรับประทานอาหารและห้องครัวเล็ก ๆ ที่อยู่ทางด้านหลัง เป็นประตูบานเล็กมีบานประตูปิด ๒ บาน ไม่มีลวดลายเช่นกัน สำหรับประตูบานสุดท้ายคือประตูห้องครัวซึ่งต่อเติมใหม่ เป็นประตูสี่เหลี่ยมไม่มีบานปิด |
๘. กรอบประตู ใช้ไม้ทำกรอบนูนตามรูปทรงของประตู ซึ่งมีทั้งประตูโค้ง และประตูที่เหลี่ยม เป็นต้น กรอบประตูแบบนี้เป็นลักษณะทั่วไปรองศิลปะอิสลาม |
๙. ฝ่าผนัง ใช้ไม้กระดานตีทับซ้อนเป็นเกล็ดแบบฝ่ายืน ยกเว้นฝาผนังซึ่งกั้นระหว่างส่วนหน้าและส่วนหลังสลักลวดลายลูกพักเป็นรูปแมวตั้งตลอดอดผ่านนัง |
๑๐ หลังคา รูปทรงของหลังคาใช้ทรงมนิลาผสมกับทรงหน้าจั่ว ซ้อนกัน 2 ชั้นส่วนหลังคาเรือนครัวเป็นทรงสี่มะหรือทรงปั้นหยา ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างกันในหมู่ชาวไทยมุสลิมในภาคใต้ของไทยใช้ไม้เป็นโครงหลังคา มุงด้วยกระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยม ช่วยผ่อนคลายความร้อน ทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกจึงไม่จำเป็นต้องมีฝ้าเพดาน |
๑๑. เชิงชาย ใช้ไม้กระดานแผ่นเดียวเป็นเชิงชายไม่มีการสลักลวดลาย ยกเว้นบริเวณหลังคาด้านบนที่ใช้กระเบื้องดินเผารูปห้าเหลี่ยม หันส่วนแหลมเป็นเชิงชายยื่นออกมา |
๑๒. หน้าต่าง เป็นบานปิด ๒ บานต่อ ๑ ช่อง หน้าต่างมีซี่ลูกกรงเหล็กทุกบาน ๆ ละ ๕ ซี่ แต่ละบานกว้าง ๖๐ เชนติเมตร สูง ๗๙ เชนติเมตร มีทั้งหมด ๔ บาน |
๑๓. หน้าจั่ว เรือนใหญ่และเรือนรับประทานอาหารประดับหน้าจั่วด้วยไม้ ออกแบบเป็นแฉกคล้ายแสงอาทิตย์ ส่วนยอดหลังคาประดับดับตั้งไม้รูปเหลี่ยมงามแต่น่าเสียดายที่ลวดลาย ที่ใช้ในการตกแต่งดังกล่าวหลุดพังไปจนแทบไม่เห็นลวดลายเดิม |
๑๔. ช่องลม โดยทั่วไปช่องลมของวังนาใหม่ จะใช้ไม้ระแนงซ้อนทับกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด แต่ส่วนที่ต่างออกไป คือช่องคมบริเวณด้านบนของผนัง ซึ่งกั้นส่วนหน้าและส่วนหลังของเรือนรับประทานอาหาร ใช้ไม้ระแนงตีเป็นช่อง และตีทับอีกครั้งเป็นรูปสามเหลี่ยม |
๑๕. บ่อน้ำ อยู่บริเวณด้านหลังของเรือนรับประทานอาหาร และชานกว้าง ซึ่งเชื่อมเรือนใหญ่กับเรือนรับประทานอาหาร ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน มีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง กว้าง ๔ เมตร ๕๐ เชนติเมตร สูง ๑ เมตร ๔ เซนติเมตร ยาว ๗ เมตร ๕๐ เซนติเมตร มีบ่อเลี้ยงปลาอยู่ด้านซ้าย ๓ บ่อ มีความสูงเท่ากันประมาณ ๖๐ เชนติเมตร บ่อเล็กประมาณ ๘๐ เชนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๔ เชนติเมตร บ่อกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง ๑ เมตร ๔ เซนติเมตร สำหรับบ่อใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าบ่อเล็กประมาณ ๑ เท่า บ่อปลาใหญ่นี้บางส่วนใช้ปูนฉาบทับของเก่าที่แตกหักขึ้นใหม่ บ่อน้ำเป็นบ่อก่ออิฐถือปูน ใช้อิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐในปัจจุบัน และมีการเรียงอิฐแบบสับหว่าง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๙๐ เซนติเมตร ขอบบ่อกว้าง ๑๘ เซนติเมตร สูง ๕๖ เซนติเมตร |
สิ่งของเครื่องใช้ในวัง
สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในวังพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) การที่วังพระยายะลา เป็นที่อยู่อาศัยของเจ้ามืองยะลา ซึ่งเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีต บุตรภรรยาและบริวาร อาศัยอยู่ภายในวังมากมาย ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากพอสมควร อย่างไรก็ตามสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้ ปัจจุบันนั้นได้กระจัดกระจายอยู่ตามบ้านญาติของเชื้อสายพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) เช่น สิ่งของเครื่องใช้ซึ่งอยู่ภายในบ้านของตนกูปูก็เยาะ เด่นอุดม ประกอบด้วย
๑. เตืองเหล็ก ที่ซื้อมาจากสิงคโปร์ ของเดิมเป็นสีดำ ปัจจุบันทาสีเทาทึบ เป็นเตียงแบบจีน กว้าง ๑ เมตร ๕๐ เชนติเมตร ยาว ๑ เมตร ๘๘ เซนติเมตร มีเสาสูง ๒ เมตร ๑๐ เซนติเมตร โดยยึดติดกับโครงสี่เหลี่ยมด้านบน สำหรับใส่มุ้งด้านหัวนอนและปลายเท้าทำเป็นลูกกรงเหล็กเตี้ย ๆ มีลายหยักแบนคล้ายดอกไม้ บริเวณส่วนบนด้านละ ๙ ซี่ |
๒. หีบเหล็กใส่เสื้อผ้า ซื้อมาจากสิงโปร์ เป็นรูปที่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง ๔๕ เซนติเมตร ยาว ๘๓ เซนติเมตร สูง ๒๙ เชนติเมตร มีหูจับทั้ง ๒ ข้าง |
๓. พานทองเหลือง มีอยู่ ๓ แบบ ได้แก่ ๓.๑ พานขนาดใหญ่ เป็นรูปวงกลมมีลวดลายฉลุอย่างสวยงาม ด้านนอกสุดเป็นลายนูนรูปวงกลมเล็ก ๆ ส่วนด้านในถัดมาเป็นลายฉลุรูปสามเหลี่ยม ๒ ชั้น ตรงกลางเป็นลายพรรณพฤกษา อยู่ในกรอบวงกลมช้อนกัน ๔ ชั้น ๓.๒ พานขนาดกลาง เป็นรูปวงกลม ไม่มีลวดลายมีเพียงรอยหยักรูปกลีบบัว ๓.๓ พานขนาดเล็ก มีรูปร่างหมือนกับพานขนาดกลางแต่ขนาดเล็กกว่า |
๔. เชิงเทียนทองเหลือง เป็นรูปทรงกลม มีลายนูนระหว่างฐานและด้านบนส่วนบนซึ่งใช้สำหรับรองรับเทียนไข มีลายหยักรูปกลีบดอกไม้ รอบขอบจาน |
๕. ถาดทองเหลือง ใช้สำหรับเป็นสำรับใส่กับข้าว มีฝาครอบเป็นรูปทรงกลมบนฝ่าครอบตรงกลางเป็นลายเส้นนูนรูปวงกลม ส่วนรอบ ๆ มีลายนูนทรงเรียวเรียงติดต่อกันโดยตลอด |
๖. ถาดทองเหลืองรูปแปดเหลี่ยม ตัวถาดเป็นรูปแปดเหลี่ยม ไม่มีลาดลายใด ๆ บนถาด |
สำหรับสิ่งของเครื่องไช้ที่อยู่ในบ้านของตนกูแซะเลาะ มะหะหมัด ประกอบด้วย
๑. ปิ่นโตทองเหลือง ลักษณะภายนอกคล้ายกับปิ่นโตทั่วไป มี ๒ ชั้น ฝาปิดมีหูหิ้วและขาใช้ยึดกับตัวปิ่นโตชั้นล่างสุด เมื่อต้องการเปิดยกขาปิ่นโตส่วนล่างขึ้น ปิ่นโตมีลวดลายโดยรอบแต่เนื่องจากกาลเวลาทำให้ลวดลายจางลง จนไม่สามารถสันนิษฐานได้ว่ามีลวดลายอะไรบ้าง |
๒. จานกระเบื้องเคลือบ มี ๒ แบบ คือ ๒.๑ จามรูปแปดเหลี่ยม มีฝ่าปิด ตัวจานบริเวณชอบด้านในมีเส้นบุนรูปวงกลมส่วนฝาปิดเป็นรูปกลมมีที่จับเป็นปุ่มเล็ก ๆ รูปแปดเหลี่ยมอยู่ตรงกลาง ล้อมด้วยลายเส้นเขียนสีรูปแปดเหลี่ยม และมีลายเส้นนูนเป็นแฉกออกมาแปดแฉก ระหว่างลายนูนมีลายเส้นเขียนสีชมพู และสีทองเป็นรูปพัด ๒.๒ จานวงกลม มีฝาปิด ตัวจานบริเวณขอบด้านในมีลายเส้นเขียนสีน้ำเงินรูปวงกลม ส่วนฝาปิด มีที่จับเขียนลายไบไม้สีทอง ถัดออกไปเป็นขอบวงกลมสีทอง และสีน้ำเงินสลับกันจานทั้ง ๒ แบบดังกล่าว เป็นศิลปะแบบจีนโดยนำมาจากประเทศ |
๓. กาน้ำซากระเบื้องเคลือบรูปหกเหลี่อม มีสีเขียวเคลือบผิวมัน ลายเห็นสีเข้มตามแนวขวาง ๒-๓ เส้น จากรูปทรงของกาน้ำ เป็นรูปทรงที่นิยมใช้ใช้ในประเทศจีน อาจสันนิษฐานได้ว่ากาน้ำชาใบนี้น้ำเข้ามาจากประเทศจีน |
๔. โม่หิน สำหรับโม่แป้งทำขนม ส่วนฐานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๔๙ เชนติเมตร สูงประมาณ ๒๐ เซนติเมตร และส่วนบนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๑ เซนติเมตร สูงประมาณ ๓๐ เซนติเมตร |
ในอดีตวังพระยายะลา (ต่วนสุไรมาน) มีสิ่งของเครื่องใช้ที่มีคุณค่าและความงามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโบราณวัตถุที่นำเข้ามาจากประเทศจีน และสิงคโปร์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คุณค่าของโบราณวัตถุเหล่านี้แสดงให้เห็นความสำคัญของเมืองยะลา ซึ่งได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาจากเมืองที่อยู่ภายในแผ่นดินยากที่จะติดต่อกับต่างประเทศได้ มาเป็นเมืองซึ่งมีการติดต่อสัมพันธ์กับชาวต่างชาติมากขึ้น มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าชาวต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากหีบเหล็ก เตียงเหล็ก ซึ่งซื้อมาจากสิงคโปร์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้วังพระยายะลา (ต่วนสุไลมาน) จึงเป็นแหล่งสะสมผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม อันเป็นโบราณวัตถุล้ำค่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวััดยะลา
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.