กำแพงเมืองสงขลาสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๗๙ (ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๖๑ มีอายุครบ ๑๘๒ ปี) ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ โดยพระราชทานยกเงินภาษีอากรเมืองสงขลาให้ ๒๐๐ ชั่ง ให้พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเล้ง) เจ้าเมืองสงขลา ซึ่งในขณะนั้นได้ย้ายที่ตั้งเมืองสงขลาจากบริเวณบ้านแหลมสน ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร มาสร้างเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา ในปัจจุบัน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เมืองสงขลาระบุว่าศูนย์กลางเมืองสงขลาในระยะแรกนั้นบ่งชี้ว่าก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ศูนย์กลางเมืองสงขลาตั้งอยู่บริเวณเมืองจะทิ้งพระ หรือสทิงพระ หรือสทิงปุระ หรือสทิงพาราณศรี ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา (ชื่อเมืองสงขลาปรากฏในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๓ ว่าเป็นเมืองประเทศราชในจำนวน ๑๖ หัวเมือง นอกจากนี้บันทึกของพ่อค้าและนักเดินเรือชาวอาหรับเปอร์เซีย ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๙๓–๒๐๙๓ ได้เอ่ยชื่อเมืองสงขลาในนามของเมือง "ซิงกูร์" หรือ "ซิงกอรา" ในหนังสือประวัติศาสตร์และการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยามของนายนิโกลาส แซร์แวส เรียกชื่อเมืองสงขลาว่า "เมืองสิงขร" โดยได้สันนิษฐานคำว่า “สงขลา” น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "สิงหลา" หรือ "สิงขร") และเมืองจะทิ้งพระนี้ก็เป็นเมืองท่าที่สำคัญยังต่อเนื่องมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาก็ได้ลดความสำคัญลงและย้ายศูนย์กลางเมืองมาตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ฝั่งแหลมสน (หัวเขาแดงยังคงปรากฏป้อมกำแพงให้เห็นอยู่) กระทั่งย้ายมาสร้างเมืองใหม่ฝั่งตะวันออกทะเลสาบสงขลาในสมัยรัชกาลที่ ๓ กำแพงเมืองสงขลาสร้างแล้วเสร็จปี พ.ศ. ๒๓๘๕ (ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๘๑ หัวเมืองมลายูซึ่งเป็นประเทศราชได้ก่อกบฏยกทัพมาเผาเมืองจะนะ แล้วเลยเข้าตีเมืองสงขลา ทำให้การก่อสร้างกำแพงเมืองล่าช้า พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง) พร้อมด้วยบรรดาราชการรักษาเมืองสงขลาไว้ได้จนทัพหลวงจากรุงเทพฯ ยกลงมาช่วยตีทัพกบฏมลายูแตกกลับไป ในการนี้ทหารของทัพหลวงยังได้ช่วยกันก่อกำแพงเมืองสงขลาจนแล้วเสร็จ) ลักษณะของกำแพงเมืองสงขลาเป็นการก่อด้วยหินภูเขาสอด้วยปูน ลักษณะของกำแพงจะมีเชิงเทินใบเสมาเป็นรูปป้อม มีป้อม ๘ ป้อม แต่ละป้อมมีปืนใหญ่กระสุน ๔ นิ้ว ป้อมละ ๓-๔กระบอก ประตูเมืองเป็นซุ้มใหญ่ ๑๐ ประตู กับมีประตูเล็กอีก ๑๐ ประตูโดยรอบ กำแพงด้านทิศเหนืออยู่ริมตามแนวถนนจะนะจดกำแพงด้านตะวันตกตรงถนนนครใน และจดกำแพงด้านตะวันออกตรงถนนปละท่า ด้านทิศตะวันออกอยู่ริมตามแนวถนนรามวิถีจดกำแพงด้าน ทิศใต้ที่ถนนกำแพงเพชร (วัดหัวป้อม) ด้านทิศใต้ตามแนวถนนกำแพงเพชรจดกำแพงด้านตะวันตก ที่ถนนนครนอก และกำแพงด้านตะวันตกเลียบถนนนครใน แล้วเลาะแนวถนนนครในไปจดกำแพง ด้านทิศเหนือ โดยกำแพงเมืองเวลานั้นอยู่ห่างจากน้ำประมาณ ๔๐ เมตร กำแพงจากด้านทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกยาวประมาณ ๑,๒๐๐ เมตร ด้านทิศเหนือถึงทิศใต้ยาว ๑,๐๐๐ เมตร มีป้อม ๘ ป้อม อยู่มุมเมือง ๔ ป้อม ด้านตะวันออกและตกอีกด้านละ ๒ ป้อม ตัวป้อมกว้างและยาว ๑๐ เมตร มีประตูเมืองเป็นซุ้มใหญ่โดยรอบ ๑๐ ประตู แต่ละประตูกว้าง ๓ เมตร สูง ๖ เมตร ซุ้มเป็นหลังคาจีน บนกำแพงประกอบด้วยใบเสมาสี่เหลี่ยมขนาดกว้าง ๑.๕ เมตร และมีประตูช่องกุดอีก ๑๐ ประตู แต่ละประตูกว้าง ๒ เมตร สูง ๒.๕๐ เมตร ชื่อประตูเมืองสงขลาที่ปรากฏหลักฐานในเอกสารโบราณ ได้แก่
๑. ประตูพุทธรักษา |
๒. ประตูสุรามฤทธิ์ |
๓. ประตูศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ |
๔. ประตูอัศนีวุธ |
๕. ประตูชัยยุทธชำนะ |
๖. ประตูบูรภาภิบาล |
๗. ประตูสนานสงคราม |
๘. ประตูพยัคฆนามเรืองฤทธิ์ |
๙. ประตูจัณทิพิทักษ์ |
๑๐. ประตูมรคาพิทักษ์ |
กำแพงเมืองสงขลามีการซ่อมแซมมาโดยตลอด เมื่อครั้งพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นพระวิจิตรวรสาสน์ ข้าหลวงพิเศษตรวจราชการเมืองสงขลา และเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช (พ.ศ.๒๔๓๗–๒๔๔๘) ได้รื้อกำแพงเมืองสงขลาส่วนใหญ่เพื่อขยายถนนและปรับปรุงตัวเมืองให้กว้างขึ้น โดยใช้อิฐจาการรื้อกำแพงส่วนใหญ่มาถมถนน ต่อมามีการก่อสร้างอาคาร (หลังปี พ.ศ. ๒๔๗๘) ได้ปรากฏร่องรอยหลักฐานการรื้อกำแพงเมืองด้านทิศเหนือและบริเวณมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พบหลักฐานแผ่นศิลาจารึกเป็นตารางหรือลายเส้นเป็นตัวเลขและอักขระอยู่ใต้ป้อม สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นยันต์ที่เรียกว่า “ยันต์สี่” มีตัวเลขอยู่ในช่องตารางทั้ง ๓๗ ช่อง อาจหมายถึงโพธิปักขียกรรม ๓๗ ประการ อย่างไรก็ตาม ยันต์ดังกล่าวอาจสัมพันธ์กับยันต์ที่เรียกว่า “ยันต์โสฬสมหามงคล” ใช้สำหรับขับไล่ภูตผีปีศาจ ทำลายไสยเวทย์อาคมวัตถุอาถรรพ์ทุกชนิดในด้านโบราณคดี มีการขุดค้นรากฐานอาคารกำแพงเมืองซึ่งจมลึกไปในชั้นดินธรรมชาติ พบท่อนไม้ขนาดเล็กปักอยู่ชิดกับฐานรากของกำแพงและก้อนหินปะปน สันนิษฐานเพื่อป้องกันการพังทลายของดินในขณะที่ขุดหลุมเพื่อทำฐานรากของกำแพงเมือง โดยกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนกำแพงเมืองสงขลา เป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของชาวสงขลาและของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๗๕ หน้า ๓๖๗๙-๓๗๑๗ ลงวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ หน่วยศิลปากรที่ ๙ สงขลา ได้งบประมาณจากกรมศิลปากร เพื่อทำการซ่อมแซมกำแพงเมืองสงขลา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ กำแพงเมืองสงขลาบางส่วนพังทลายจากพายุฝนตกหนัก สำนักศิลปากรที่ ๑๓ สงขลา ได้ดำเนินการบูรณะให้กลับมาอยู่สภาพดังเดิม ปัจจุบันนี้เหลือแต่กำแพงด้านถนนจะนะตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติสงขลา (เรือนจำเก่า) กับที่ถนนนครในซึ่งมีความยาว ๑๔๓ เมตรเท่านั้น
ภาพค้นจาก : https://www.hatyaifocus.com/บทความ/630-เรื่องราวหาดใหญ่-ประวัติศาสตร์...กำแพงเมืองสงขลา/
กำแพงเมืองสงขลา. (2554). สืบค้น 26 มี.ค. 61, จาก http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=24658.0
ประวัติศาสตร์...กำแพงเมืองสงขลา. (2560). สืบค้น 12 มิ.ย. 61, จาก https://www.hatyaifocus.com/บทความ/630-เรื่องราวหาดใหญ่-ประวัติศาสตร์...กำแพงเมืองสงขลา/
พรทิพย์ พันธุโกวิท, ศิริพร สังข์หิรัญ และธนิสรา พุ่มผะกา. (2555). ทำเนียบนามแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (โบราณสถานในจังหวัด
สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล), พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บางกอกอินเฮ้าส.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2537). สงขลา ถิ่นวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.