ภาพจาก : https://link.psu.th/2ZMeRC
เมืองรามันห์เป็น ๑ ใน ๗ หัวเมือง ที่เกิดจากการแบ่งแยกเมืองปัตตานี ไนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีตำแหน่งพระยาเมืองผู้ปกครองสูงสุด ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าเมืองสงขลา (เถี้ยนจ๋อง) พระยาเมืองรามันห์คนแรกคือต่วนมาโช คนต่อมาต่วนกุโน บุตรพระยารามันห์ (ต่วนมาโช) เป็นพระยาเมืองรามันห์ ต่อมาในรัชลมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งบุตรของต่วนกูโน คือต่วนติมุน เป็นพระยารัตนภักดีศรีราชบดินทร์สุรินทรวงศา พระยาเมืองรามันห์ โดยให้หลวงรายาภักดิ์ (ต่วนยาฮง) บุตรต่วนติมุน เป็นพระณรงค์วังศา ผู้ช่วยราชการพระยาเมือง เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งตั้งต่วนยาฮงเป็นพระยาเมือง และพระณรงค์วังศา (ต่วนบาไลยาวอ) เป็นผู้ช่วยราชการ จนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่วนเลอเบะ บุตรต่วนยาฮง เป็นหลวงรายาภักดี ผู้ช่วยราชการ จนกระทั่งต่วนยาฮงถึงแก่อนิจกรรม หลวงรายาภักดี (ต่วนละเบะ) จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยาเมืองคนต่อมา แต่หลวงรายาภักดี (ตัวนเลอเบะ) มิได้เอาใจใส่ราษฎรเท่าที่ควรอีกทั้งยังสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวรามันห์ ดังปรากฏอยู่ในคำร้องเรียนที่มีไปยังเจ้าเมืองสงขลา และเจ้าเมืองสงขลาได้ส่งข้อร้องทุกข์ไปยังกรุงเทพฯ ซึ่งแยกเป็นประเด็นหลัก ๆ ได้ คือ
๑. การเก็บส่วยและภาษีต่าง ๆ เป็นไปอย่างไม่ยุติธรรม และกดขี่บังคับราษฎร กล่าวคือในการเก็บส่วยต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ซึ่งกำหนดเก็บ ๕ ปี ๒ ครั้ง ในปีหนึ่ง ราษฎรมักจะถูกเรียกเก็บหลายครั้ง เพราะคนที่พระยาเมืองรามันห์ (ด่วนเลอเบะ) แต่งตั้งตั้งให้เป็นแม่กองไปเก็บส่วยบางครั้งยังเก็บส่วยไม่เสร็จ ก็ถูกเรียกกลับมาใช้งานด้านอื่น คนใหม่ก็ถูกส่งออกไปก็เริ่มเก็บช่วยจากราษฎรใหม่ทั้งหมด ราษฎรทนการกดขี่ไม่ไหวจึงยอมให้เก็บภาษีต่าง ๆ เช่น ไม่มีมาตราชั่ง ตวง วัด ที่เป็นเกณฑ์แน่นอน แล้วแต่จะกำหนดเอาตามความพอใจ |
๒. การเกณฑ์ราษฎรไปทำภารกิจต่าง ๆ ให้เจ้าเมือง มักกินระยะเวลานานเป็นเหตุให้ราษฎรไ ม่มีเวลาทำมาหากิน เช่น การเกณฑ์ราษฎรไปจับช้างเถื่อน ใช้เวลา ๓-๔ เดือน หรือการเกณฑ์ราษฎรไปทำนาของเจ้าเมือง กว่าจะเสร็จก็เลยกำหนดฤดูทำนาไปแล้ว |
๓. หลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) และพวกพ้อง มักใช้อำนาจกลั่นแกล้งราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนใ นการทำมาหากินโดยวิธีการต่าง ๆ เช่น ต้อนช้างซึ่งไม่ได้จับมาประจำการมาไว้ใกล้ไร่น่าของราษฎร แล้วปล่อยให้ช้างเหล่านั้นบุกรุกเข้าไปทำความเสียหายแก่พืชผล |
๕. พวกพ้องพระยารามันห์ ใช้อำนาจกคขี่ข่มเหงราษฎรในทุกที่ ตามแต่จะมีโอกาส เช่น หลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) หรือบ่าวพระยารามันห์ (ต่วนยาฮง) พอใจลูกสาวราษฎรคนใดก็ให้ไปฉุดคร่าไปกระทำย้ำยี |
นอกจากนี้หลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ได้สั่งให้ฆ่าคนโดยเจตนา ดังมีเรื่องเล่าว่าชาวบ้านแบกขนุนเนื้อดีจะนำไปให้หลวงรายาภักดี ในระหว่างทางพบกับผู้หญิงท้องแก่ ซึ่งอยากรับประทานขนุนชายผู้นั้นจึงแบ่งขนุนส่วนหนึ่งให้ เมื่อนำขนุนที่เหลือไปไปให้หลวงรายาท่านถามถึงสาเหตุที่ขนุนถูกฆ่าไป ชายผู้นั้นได้เล่าความจริง หลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) สั่งให้คนไปนำผู้หญิงคนนั้นมาแล้วสั่งให้ผ่าท้องหญิงคนนั้นดูว่ามีขนุนอยู่ในท้องจริงหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ยังได้สั่งฆ่าคนตามใจชอบอีก โดยนำบริวารออกไปกลางทุ่ง แล้วให้คนส่วนหนึ่งขึ้นไปบนต้นมะขาม จากนั้นได้ถามคนที่เหลืออยู่ข้างล่างว่าพวกนี้เป็นคนหรือเปล่า ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นใดหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ก็สั่งให้ยิงคนใดคนหนึ่งตาย ในที่สุดรัฐบาลได้จับหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) และส่งไปรับโทษที่กรุงเทพฯ ชาวบ้านเชื่อว่าหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ถูกจับไปถ่วงน้ำทะเล ส่วนบุตรชายงหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ชื่อต่วนมัสชอบเล่นการพนัน และมีหนี้สินมากมายได้หนีไปรัฐไทรบุรี สำหรับธิดาชื่อต่วนหยินิ ได้แต่งงานกับหลวงศรีราชบดินทร์ (ต่วนมะ) บุตรพระรัตนภักดีกับนางซีติเมาะ ต่วนหยินิเป็นผู้รับมรดกของบิดาต่อมาขายวังของผู้พ่อ ให้แก่นางนุ้ย มุสิกวัณณ์ เนื่องจากแพ้การพนัน จากพฤติกรรมของหลวงรายาภักดี (ต่วนเลอเบะ) ที่ใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบและส่งผลให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ราษฎรบางส่วนจึงได้อพยพไปอยู่เมืองอื่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงแต่งตั้งพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาแลยาวอ) ซึ่งเป็นหลานของหลวงรายาภักดี เป็นเจ้าเมืองรามันห์แทน จนเข้าสู่สมัยการปฏิรูปการปกครองมฑลเทศาภิบาล อิทธิพลของเจ้าเมืองรามันห์จึงค่อย ๆ ลดลง เมื่อพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาแลยาวอ) เป็นเจ้าเมืองรามันห์ได้สร้างวังขึ้นใหม่ ชาวบ้านจึงเรียกว่าวังใหม่ (โกตาบารู) หรือวังรามันหึใหม่ มีพื้นที่มากกว่าบริเวณวังรามันห์เดิมถึง ๔ เท่า ตัวอาคารเป็นเรือนไทยมุสลิมติดต่อกันประมาณ ๔-๕ หลัง มีชานและทางเดินเชื่อมต่อถึงกันหมด โดยใต้ถุนวังสูงใช้เป็นที่เลี้ยงช้าง (ปัจจุบันสภาพวังทรุดโทรม) เมื่อประมาณ ๓๐ ปีที่แล้ว เจ้าของวังได้ยกส่วนที่ชำรุดออกทำให้เหลือตัวอาคารเล็กลง เนื่องจากพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาแลยาวอ มีฐานะร่ำรวยเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป ท่านได้บริจาคที่ดินสร้างโรงเรียนโกตาบารูรัตนผดุงวิทยา และสร้างมัสยิด เป็นต้น วังรามันห์จึงเป็นทั้งสถานที่ว่าราชการ พบปะผู้คนและเป็นศูนย์รวมของคนในท้องถิ่นชาวรามันห์รักใคร่พระยารัตนภักดี เพราะท่านเอาใจใส่ดูแลประชาชน ราษฎรที่ไม่มีที่อยู่อาศัยก็สามารถไปอาศัยอยู่ในวัง โดยทำงานหรือทำนาให้เจ้าเมืองเป็นการแลกเปลี่ยน วังรามันห์จึงเป็นสถานที่พักพิงของผู้คนสัญจรผ่านมาหรือคนที่มาทำธุระที่เมืองรามันห์หรือคนที่ต้องการเดินทางไปเมืองยะลา แต่ไม่มีที่พักก็สามารถมาพักค้างแรมที่วังรามันห์ได้ ภายในครัวของวังรามันห์จะมีหม้อหุงข้าว ใบใหญ่ ๒ ใบ โดยจะหุงช้าวไว้ตลอดเวลาเพื่อให้แขกที่มาพักแรมได้รับประทานอาหาร นอกจากนี้ภายในวังยังประกอบพิธีทางศาสนาที่สำคัญ ได้แก่พิธีเข้าสุหนัต ซึ่งจัดงานค่อนข้างใหญ่โต มีมโหรสพแสดง ๓ วัน ๓ คืน หรือ ๗ วัน ๗คืน ชาวบ้านและคนต่างถิ่นต่างมาร่วมงานกันมาก โดยนำอาหารมาให้ท่านและจะช่วยกันจัดงานทุกครั้ง ด้านบุคลิกของพระยารัตนภักดี ท่านเป็นคนผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง นิสัยโอบอ้อมอารี เป็นที่รักของคนในท้องถิ่น ท่านมีภริยา ๒ คน คือนางซีตีเมาะห์ เป็นภรรยาคนแรก มีบุตรด้วยกัน ๔ คน เมื่อนางซิตีเมาะห์ถึงแก่กรรม พระยารัตนภักดีจึงแต่งงานใหม่กับเจ๊ะเมาะสง สำหรับบุตรชายคนเดียวของพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาแลยาวอ) คือหลวงศรีราชบดินทร์ (ต่วนมะ) ได้สมรสกับด่วนหยินแต่ไม่มีบุตรแต่ได้ขอเด็กผู้หญิงชื่อเจ๊ะมะ มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และส่งไปศึกษาต่อที่รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ต่อมาหลวงศรีราชบดินทร์ (ต่วนมะ) หย่าร้างกับต่วนหยินแล้ว ได้นำเจ๊ะมะมาอุปการะต่อมาได้กลายเป็นภรรยาของหลวงศรีราชบดินทร์ มีบุตรี ๑ คน คือต่วนอาซิเยาะห์ เมื่อเจ๊ะมะถึงแก่กรรมหลวงศรีราชบดินทร์(ต่วนมะ) ได้ภรรยาใหม่ คือนางชิติเมาะห์ และมีบุตรชาย ๑ คนคือต่วนสะมางะหรือต่วนกะจิ หลวงศรีราชบดินทร์ (ต่วนมะ) เสียชีวิตในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ และต่อมาอีก ๓ ปีต่อมา ต่วนสะมางะ ก็เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ด้วยโรคไข้ทรพิษ หลวงศรีราชบดินทร์ (ต่วนมะ) ได้ทำพินัยกรรมไว้กับกำนันโกตาบารู ให้ช่วยดูแลทรัพย์สินแทนต่วนอาชิเยาะห์ ซึ่งชณะนั้นอายุเพียง ๘ ชวบ แต่ในที่สุดทรัพย์สมบัติจึงถูกโกงไปเกือบหมด คงเหลือเพียงตัววังกับพื้นที่เพียงเล็กน้อย ต่วนอาชิเราะห์ได่แต่งงานครั้งแรกกับต่วนกุเลาะ ลงซัน หลานพระยาเมืองยะลา แตาไม่นานก็เลิกร้างกันไป และได้แต่งงานครั้งที่ ๒ กับต่วนสุหลง สะบุโด หลานพระยาสายบุรีมีบุตรด้วยกัน ๑ คน ชื่อต่วนมะ แต่ก็ได้หย่าร้างกันอีก ต่อมาได้แต่งงานใหม่กับนายประพันธ์ อัลยุฟรี เชื้อสายของวังยะหริ่ง มีบุตรด้วยกัน ๒ คน เชื้อสายของเจ้าเมืองรามันห์มีจำนว่นคนไม่มาก และไม่มีบที่บาททางการเมืองใด ๆ ในปัจจุบัน แต่ความสัมพันธ์ทางการแต่งงานระหว่างเชื้อสายวังรามันห์ วังยะลา และวังยะหริ่งที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติของวังทั้ง ๓ แห่ง ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
การใช้พื้นที่ภายในวังรามันห์
การใช้พื้นที่ภายในวังรามันห์นั้นแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ
๑. ตัววัง ตัววังแบ่งเป็น ๔ ส่วน คือห้องโถง ห้องนั่งเล่น ห้องเก็บของพระราชทาน และห้องนอนของพระยารัตนภักดี โดยเมื่อก้าวขึ้นบันไดวังด้านหน้าจะพบชานเชื่อมระหว่างตัววังกับห้องครัว ตัววัง ปรากฏอยู่ทางซ้ายมือ ก้าวเข้าไปจะพบห้องโถงขนาดใหญ่ใช้เป็นที่ออกว่าราชการของพระยาเมืองรามันห์ (ต่วนมาลาแลยาวอ) และเป็นที่รับแขก ทางปีกซ้ายของห้องโถงมีห้องนั่งเล่นซึ่งใช้เป็นที่รับแขก และรับประทานอาหารร่วมกันกับบุคคลสำคัญ เช่น ข้าหลวงในกรุงเทพฯ ปีกซ้ายของห้องนั่งเล่นเป็นห้องเก็บของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในห้องมีตู้เก็บของพระราชทานเพียงใบเดียว เมื่อก้าวออกมาจากห้องเก็บของพระราชทาน จะพบห้องนั่งเล่นและเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น พบห้องนอนพระยารัตนภักดี ภายในห้องมีหีบใส่ของสมัยก่อน และชิ้นส่วนเตียงของพระยารัตนภักดี |
๒. ห้องครัว ห้องครัวเมื่อก้าวออกมาจากตัววัง ก็จะพบห้องครัวปรากฏอยู่ด้านหน้า ภายในห้องครัวมีเครื่องครัวทั้งสมัยเก่าและใหม่ปะปนกันไป |
รูปทรงและวัสดุที่ใช้วังรามัน
วังรามันห์สร้างโดยช่างในท้องถิ่น มีลักษณะรูปทรงและวัสดุที่ใช้สร้างวังเป็นไม้ทั้งหลัง แบบชั้นเดียวเป็นเรือนไทยมุสลิมใช้ศิลปกรรมท้องถิ่นท แต่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากบ้านเรือนไทยมุสลิมทั่ว ๆ ไป ประกอบด้วย
๑. เสา เสา มีทั้งหมด ๓๖ ต้น แตาละต้นวัดโดยรอบได้ประมาณ ๑ เมตร ๒๐ เชนติเมตร สูง ๒ เมตร มองจากทางเดินเข้าวังจะเห็น ๒2 เสารองรับน้ำหนักจากเสาไม้ชายคา ซึ่งอยู่ทางบันไดซ้ายมือ โดยรองรับน้ำหนักด้านละ ๑ เสา เสาเหล่านั้นสร้างจากไม้เนื้อแข็ง โดยเฉพาะไม้หลุมพอและไม้ยางเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ปัจจุบันมีร่องรอยของปลวก บางแห่งได้รับการซ่อมแซมโดยใช้ปูนขาวโบกทับ |
๒. เสาตอหม้อ เสาตอหม้อเป็นฐานรองรับน้ำหนักเสากลางบ้าน วัดโดยรอบประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เชนติเมตร สูง ๒ เมตร ๒๐ เซนติเมตร (วัดจากฐานเสา) ฐานเสาก่ออิฐอิอปูนสูง ๕๐ เซนติเมตร ปัจจุบันได้รับการซ่อมแชมเช่นเดียวกับเสาอื่น ๆ |
๓. บันได บันได แบ่งมี ๓ ด้าน คือด้านช้าย ด้านขวา และด้านหลัง โดยด้านซ้ายมีการฉาบปูนที่พื้นก่อนถึงตัวบันได เพิ่งได้รับการซ่อมแชม กว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๑ เมตร ๕๐ เซนติเมตรเ ตัวบันไดมี ๕ ขั้น ทำด้วยอิฐ ปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมจนอยู่ในสภาพดี ส่วนด้านขวามีบันได ๕ ขั้น มีร่องรอยชำรุด อิฐอยู่ในสภาพทรุดโทรม ด้านหลังจะเป็นบันไดไม้ มี ๔ ขั้น ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์ |
๔. พื้นวัง พื้นวัง ทั้งตัววังและห้องครัวเป็นไม้ ลักษณะการปูพื้นวางเรียงธรรมดา ไม่ได้ทาสี ยังอยู่ในสภาพดี |
๕. ประตู ประตูมี ๓ ประบาท ได้แก่ประตูห้องโกง ประตูห้องนั่งเล่น และประตูห้องนอนพระยารัตนภักดี ซึ่งประตูส่วนใหญ่สร้างจากไม้ตะเคียน ประตูห้องโถงเป็นบานเปิดธรรมดา แบ่งเป็น ๒ ส่วนเท่า ๆ กัน ไม่มีลวดลายกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ ๑ เมตร ๗๐ เซนติเมตร |
สิ่งของและเครื่องใช้ในวัง
วังรามันห์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ทำงานของพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาลาแลยาวอ) ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงระยะเวลาหนึ่ง มีลูกหลานและเครือญาติอาศัยอยู่มาก ย่อมมีสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นพอสมควรสิ่งของเหล่านี้ ในปัจจุบันส่วนหนึ่งยังคงอยู่ที่วังรามันห์ อีกส่วนหนึ่งขายทอดตลาดและมอบให้ผู้อื่น สิ่งของเครื่องใช้ที่ปรากฏในวังรามันห์อยู่ในความครอบครองของต่วนอาชิเยาะห์ อัลยุฟรี (กูจิ) ซึ่งเป็นเจ้าของวังในปัจจุบัน ประกอบด้วย
๑. ดาบ ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มี ๒ เล่ม เล่มหนึ่งส่วนหัวเป็นรูปสิงห์ ทำจากทองเหลือง ยาวประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ส่วนอีกเล่มหนึ่งยาวประมาณ ๗๐ เซนติเมตร ตัวฝักดาบมีลวดลายสวยงามเป็นรูปนาคราช |
๒. เชี่ยนหมาก ประกอบด้วยตัวเชี่ยนหมาก ซึ่งทำจากไม้สัก ไม้ยังอยู่ในสภาพดีเป็นมันเงา กระปุกใส่ขี้ผึ้ง และเต้่าปูน ทำจากทองเหลือง แต่ไม่มีลวดลาย |
๓. ภาชนะใส่ขนม ทำจากโลหะเงิน มีลักษณะเป็นรูปที่เหลี่ยม มีลายนูนรูปต้นไผ่ไซว้กัน อย่างไม่เป็นระเบียบ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิลปะของชาวจีน เพราะมีความอ่อนช้อย ประณีต และสวยงาม โดยสามารถแยกส่วนประกอบออกจากกันได้ |
๔. ภาชนะใส่ของ ทำด้วยไม้มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ประดับด้วยมุกวางเรียงเป็นรูปดอกไม้ |
๕. ถ้วยกระเบื้อง เป็นถ้วยกระเบื้องจีน ๒ใบ มีรูปผู้หญิงแต่งชุดจีนกำลังร่ายรำ และมีผู้ชายนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ข้าง ๆ ถ้วยกระเบื้องปรากฏอักษรจีนอยู่ด้านข้างเป็นแนวขวาง และมีตราประทับอยู่เบื้องล่าง |
๖. พานทองเหลือง ทำจากทองเหลือง มีลายฉลุรูปสามเหลี่ยมและวงกลมชอบพานเป็นรอยหยัก |
๗. ชิ้นส่วนของเตียงพระยารัตนภักดี (ต่วนมาลาแลยาวอ) ซึ่งฉลุเป็นลวดลายพรรณพฤกษาแบบศิลปชวา อยู่ในสภาพชำรุดผุพังเกือบหมดแทบไม่หลงเหลือร่อร่องรอยให้เห็นมีเพียงบางส่วมที่สามารถมองเห็นศิลปกรรมได้ชัด |
วังรามันห์ในอดีตได้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางการเมือง ระหว่างเจ้าเมืองรามันห์และราชธานีอย่างชัดเจน แม้ว่าในบางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งสองอาจไม่ราบรื่น เพราะมีความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเมืองรามันห์กับกรุงเทพฯ ย่อมแสดงให้เห็นความเข้มแข็งทางการเมืองของเมืองรามันห์ที่ไม่หวั่นเกรงอำนาจจากส่วนกลางแต่อย่างใด สำหรับสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของวังย่อมสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศิลปะท้องถิ่น ที่ผสมผสานกลมกลืนกันอย่างงดงามในรูปแบบของเรือนไทยมุสลิมที่หาดูได้ยากในปัจจุบัน ส่วนสิ่งของเครื่องใช้ภายในวังเท่าที่ยังคงมีอยู่ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นความผูกพันระหว่างกรุงเทพฯ กับเจ้าเมืองรามันห์ในลักษณะที่ค่อนข้างใกล้ชิด บางส่วนเป็นสิ่งของที่นำเข้ามาจากต่างประเทศย่อมบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ของเจ้าเมืองรามันห์ กับชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายอย่างกว้างขวาง แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแต่ร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์ของวังรามันห์ ในอดีตได้สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ชาวรามันห์และลูกหลานเชื้อสายเจ้าเมืองรามันห์เป็นอย่างยิ่ง ประวัติศาสตร์แห่งเมืองรามันห์จะยังคงหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของชาวรามันห์ ตลอดไปในรูปของคำบอกเล่าที่กล่าวขานต่อ ๆ กันมาของผู้อาวุโส ผู้รู้ในท้องถิ่น และผู้คนที่ในใจใคร่รู้ประวัติศาสตร์ของวังรามันห์ตลอดมา
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.