
ภาพจาก : https://link.psu.th/TYn5bK
กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิต หรือกำแพงค่าย (กำแพงค่ายตะกั่วป่า) หรือจวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า หรือกำแพงเมืองเก่า หรือกำแพงจวนเจ้าเมือง ซึ่งอยู่ที่ถนนอุดมธารา ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สร้างในสมัยพระยาเสนานุชิต สิทธิสาตรามหาสงคราม (นุช ณ นคร) ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๓-๒๔๒๔) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันภัยจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองตะกั่วป่าในช่วงเวลานั้น โดยสร้างล้อมรอบจวนที่พำนักอาศัย ก่อด้วยกรวดทรายผสมปูนล้วน ไม่ได้ก่ออิฐถือปูนอย่างกำแพงทั่วไปจากประวัติเล่ากันว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ กลุ่มอั้งยี่ระหว่างพวกโฮเส่งและพวกงี่หิ้นหรือหงี่เห้ง ในเมืองตะกั่วป่าเกิดสู้รบกัน ราษฎรต่างแตกตื่นหนีภัยการสู้รบเข้ามาอาศัยอยู่ในกำแพงค่าย ฝ่ายพวกอั้งยี่ที่สู้ไม่ได้ก็หนีเข้ามาอยู่ในค่ายด้วย ตัวพระยาเสนาบดีนุชิตท่านได้สั่งปิดประตูค่ายแล้วมายืนถือดาบบัญชาการป้องกันค่ายที่เชิงเทินหน้าค่ายด้วยตนเอง ผลจากการสู้รบกันทำให้การผลิตแร่ดีบุกในตะกั่วป่าหยุดชะงัก เพราะคนจีนจำนวนมากอพยพกลับประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของหัวเมืองภาคใต้ซบเซา บวกกับราคาดีบุกตกต่ำ ทำให้เมืองตะกั่วป่าลดความสำคัญลงกำแพงค่ายนี้ก็ถูกทิ้งรกร้างไป
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
กำแพงมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยปูนผสมกรวดทราย โดยแซมปูนล้วนหรือที่เรียกว่า “ผนังหล่อ” วางซ้อนกันเป็นชั้น โดยฐานกว้างกว่าตัวกำแพงเพื่อความมั่นคง การแบ่งพื้นที่ภายในกำแพงแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ ส่วนวังหน้า ห้องโถง และวังหลัง แต่ละส่วนมีกำแพงเล็กกั้น และมีช่องประตูเชื่อมต่อกัน ลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ไม้ทำเป็นคานรับน้ำหนักและใช้อิฐเสริมด้านบนและด้านล่างของคานไม้ หนา ๕๘.๕ เซนติเมตร สูง ๓.๘๐ เมตร ยาว ๑๕๘ เมตร การก่อสร้างกำแพงแห่งนี้ไม่ได้ก่ออิฐถือปูนอย่างกำแพงทั่วไป ซึ่งพบเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย ปัจจุบันกำแพงค่ายเป็นทรัพย์สินของตระกูล ณ นคร กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดขอบเขตที่ดินโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา ตอนพิเศษ เล่ม ๑๑๓ ตอนพิเศษ ๕๐ ง วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ เนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๒๙ ตารางวา ปัจจุบันกำแพงทางด้านใต้ริมถนนอุดมธาราได้ถูกทุบทำลายไปประมาณ ๒๐ เมตร เพื่อขยายถนนอุดมธาราให้กว้างขึ้นไป
.png)
ภาพจาก : ทรัพยากรการท่องเที่ยวชุดภาคใต้ : พังงา, ๒๕๕๖, ๒๐
กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิต หรือกำแพงค่าย (กำแพงค่ายตะกั่วป่า) หรือจวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า หรือกำแพงเมืองเก่า หรือกำแพงจวนเจ้าเมือง สิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นจุดเด่นคู่เมืองเก่ามานานนับร้อยปีแล้ว ถึงวันนี้ก็ยังคงเด่นตะหง่านอยู่ และแม้วันเวลาจะผ่านไป แต่ความเป็นมาจากอดีตกลับไม่เคยผ่านไป บรรยากาศช่วงแดดร่มลมตกของกำแพงผนังหล่อจะล้อมลานหญ้าอยู่ไกลลิบ ๆ ทั้งสี่ด้าน ส่วนกำแพงทรงเตี้ย (ที่แบ่งพื้นที่ภายในเป็นสองส่วน) จะอยู่กลางลานหญ้าอย่างที่เห็น ซึ่งปัจจุบันกำแพงดังกล่าวชำรุดไปตามกาลเวลา โดยฝั่งที่ทีมงานยืนอยู่มีเนื้อที่น้อยกว่า ขณะที่อีกด้านของกำแพงมีเนื้อที่มากกว่า นักท่องเที่ยวสามารถเดินบนลานหญ้าชมกำแพงค่ายได้ตามสะดวก กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิตได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และปรับปรุงภูมิทัศน์ ตัวกำแพงมีความมั่นคงแข็งแรง ภายในกำแพงมีการปลูกหญ้าและปูพื้นเป็นทางเดินบางส่วน อย่างไรก็ตามตัวกำแพงบางจุดมีวัชพืชและไม้ยืนต้นขึ้นยึดเกาะ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายกับตัวโบราณสถานหากไม่ได้รับการดูแล ด้านหน้าโบราณสถานมีป้ายให้ข้อมูลประวัติโบราณสถานของกรมศิลปากรและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทุกปีเทศบาลเมืองตะกั่วป่าร่วมกับชุมชนในเขตเทศบาลจัดงานพิธีทำบุญเลี้ยงพระจวนเจ้าเมืองตะกั่วป่า กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิตเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่าตะกั่วป่า นอกเหนือจากย่านตลาดเก่า ตึกขุนอินทร์ ฯลฯ นอกจากนี้ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน-เมษายนของทุกปี เทศบาลเมืองตะกั่วป่าร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดพังงาจัดงานถนนสายวัฒนธรรม “ตะกั่วป่าเมืองเก่าเล่าความหลัง” โดยมีกำหนดจัดงานทุกวันอาทิตย์ช่วงเย็น บริเวณถนนศรีตะกั่วป่าหรือตลาดเก่า กิจกรรมภายในงาน เช่น การแสดงศิลปวัฒนธรรม กิจกรรมทำขนมพื้นบ้านและอาหารพื้นเมือง สาธิตวิถีชีวิตและภูมิปัญญาท้องถิ่นในอดีต นิทรรศการภาพถ่าย ฯลฯ
เส้นทางไปกำแพงค่่าย
โบราณสถานกำแพงค่ายพระยาเสนานุชิต ตั้งอยู่บนถนนอุดมธาราในเขตเทศบาลเมืองตะกั่วป่า ห่างจากแม่น้ำตะกั่วป่ามาทางทิศตะวันตกประมาณ ๒๐๐ เมตร โดยจากที่ทำการเทศบาลเมืองตะกั่วป่า มาตามถนนราษฎร์บำรุงแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนมนตรี ๒ จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนศรีตะกั่วป่าตรงไปประมาณ ๒๖๐ เมตร จะพบโบราณสถานกำแพงค่ายพระยาเสนานุชิตอยู่ทางซ้ายมือ
พระยาเสนานุชิต สิทธิสาตรามหาสงคราม (นุช ณ นคร)

ภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=c8YX171umAY&t=1s
พระยาเสนานุชิต สิทธิสาตรามหาสงคราม (นุช ณ นคร) เป็นคนเข้มแข็ง ดุ มีความสามารถในการปกครองคล้ายเจ้าเมืองนครผู้เป็นบิดา เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้รักษาการเมืองตะกั่วป่าแล้ว เห็นว่าเมืองตะกั่วป่าที่ตั้งอยู่เดิม(ที่บ้านตะกั่วป่า) ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง บ้านเมืองถูกทำลาย ราษฎรมีน้อย ที่ตั้งไม่ถูกยุทธภูมิจึงได้ย้ายเมืองตะกั่วป่ามาตั้งที่ตำบลตลาดใหญ่ (ตลาดเก่าเวลานี้) วางโครงการทำผังเมือง ก่อสร้างกำแพง จวนบ้านพักกรมการเมือง ตัดถนนสร้างตลาด สร้างวัดใหม่มีกำแพงล้อมรอบ (ปัจจุบันคือวัดเสนานุชรังสรรค์) ราษฎรที่อยู่ตามป่าเขาก็ละทิ้งถิ่นเดิมกลับเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข เมืองตะกั่วป่าก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ นอกจากนั้นในด้านการปราบปรามคนร้ายทั่วไป สมัยนั้นยังมีโจรสลัดแถบหัวเมืองชายทะเลตะวันตกชุกชุม โดยเฉพาะเขตเมืองตะกั่วป่าและถลาง ทำการปล้นเรือสินค้าอยู่เป็นนิจ ทำให้การค้าขายไม่สะดวก ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ท่านได้ดำเนินการออกปราบปรามจับกุมและนำมาฆ่าที่หาดฆ่าคนหน้าเมืองตะกั่วป่า พวกโจรสลัดที่เหลืออยู่บ้างก็หนีออกนอกเขตไม่กล้ามารบกวนเรือสินค้าอีก การค้าขายของราษฎรจึงดำเนินไปด้วยดี เมืองตะกั่วป่าจึงเป็นศูนย์กลางการค้าอันเป็นหัวเมืองเอกของเมืองนครศรีธรรมราช พระยาเสนานุชิต สิทธิสาตรามหาสงคราม (นุช ณ นคร) นอกจากปรีชาสามารถในการบริหารบ้านเมืองดังกล่าวมาแล้ว เมื่อคราวรบชนะเมืองไทรบุรี นอกจากท่านจะได้บุตรสาวเจ้าเมืองไทรบุรีมาเป็นภรรยาแล้ว ยังได้กวาดต้อนพลเมืองเป็นเชลยศึกมาเป็นอันมาก มาไว้ที่เมืองพัทลุงและนครศรีธรรมราช สำหรับที่พามาเมืองตะกั่วป่าก็จัดให้อยู่ที่บ้านบางกรักใน บ้านบางกรักนอก ในหมู่ที่ ๗ และหมู่ที่ ๙ ตำบลโคกเตียน อำเภอตะกั่วป่า และต่างได้ทำมาหากิน มีสวน มีนา เป็นหลักแหล่งมั่นคงสืบบุตรหลานมาจนทุกวันนี้
พระยาเสนานุชิต สิทธิสาตรามหาสงคราม (นุช ณ นคร) เป็นปลัดเมืองไทรบุรีระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔-๒๓๘๓ เป็นผู้ว่าราชการเมืองพังงา และเจ้าเมืองตะกั่วป่า ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๔๒๔ ได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าเมืองขึ้นเป็นเจ้าเมืองโท ถือศักดินา ๑๐,๐๐๐ เทียบเท่าเสนาบดี และเป็นเจ้าเมืองอาวุโสที่สุดทางหัวเมืองชายฝั่งตะวันตก ชาวเมืองตะกั่วป่ายุคนั้นเรียกท่านว่าเจ้าคุณเฒ่่า จากประวัติท่านมีนามเดิมว่า นุช เป็นบุตรของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย ณ นคร) เกิดที่เมืองนครศรีธรรมราชในปี พ.ศ. ๒๓๕๐ ขณะที่บิดาเป็นผู้ช่วยราชการเมืองนครศรีธรรมราช ด้านการศึกษาคงศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นที่นครศรีธรรมราช เมื่อย่างวัยรุ่นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กแล้วกลับไปช่วยเหลือพี่ชายคือพระภักดีบริรักษ์ (แสง ณ นคร) ในระยะที่ออกไปรักษาราชการในเมืองไทรบุรี เป็นปลัดในระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๔-๒๓๘๓ และติดตามพี่ชายไปเป็นผู้ช่วยราชการเมืองพังงาระยะหนึ่ง จนเมื่อพระยศภักดีผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่าถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เลื่อนยศจากพระเสนานุชิต (นุช) เป็นพระยาเสนานุชิต (นุช) ผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า ขึ้นตรงต่อเมืองพังงา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๐๔ พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ผู้สำเร็จราชการเมืองพังงา และหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกถึงแก่อสัญกรรม ทางฝ่ายรัฐบาลกลางจึงแต่งตั้งพระยาเสนานุชิต (นุช) เจ้าเมืองอาวุโสสูงสุด ในหัวเมืองแถบนั้นขึ้นดำรงตำแหน่งแทนยศยังคงเดิม แต่เลื่อนศักดินาสูงขึ้นเป็น ๑๐,๐๐๐ มีเครื่องยศเทียบเท่าเสนาบดี พระยาเสนานุชิต (นุช) ไม่ไปรับตำแหน่งที่เมืองพังงา แต่ขอรับที่เมืองตะกั่วป่าโดยอ้างว่าเคยชินกับตะกั่วป่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกเมืองตะกั่วป่าขึ้นเป็นเมืองโท ในระหว่างเป็นเจ้าเมืองตะกั่วป่า ท่านเป็นนักปกครองคนด้วยความซื่อสัตย์ กล้าหาญ ปราบอั้งยี่ เก็บภาษีแร่ได้สูงสุด สร้างความมั่งคั่ง ความเจริญ ถือว่าเป็นยุคทองของตะกั่วป่า