พังงา (Phang Nga)
 
Back    08/09/2021, 15:27    278  

หมวดหมู่

จังหวัด


ประวัติความเป็นมา


ตราประจําจังหวัดพังงา
รูปเขาตะปู รูปเรือขุดแร่ และรูปเขาช้างอยู่ด้านหลัง
เขาตะปูหมายถึงสัญลักษณ์ทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงา เรือขุดแร่ หมายถึงสัญลักษณ์การประกอบอาชีพในอดีตของจังหวัดพังงา รูปเขาช้างหมายถึงสัญลักษณ์ภูเขาสูงรูปช้าง 

คําขวัญ
แร่หมื่นล้าน บ้านกลางน้ำ ถ้ำงามตา ภูผาแปลก แมกไม้จำปูน บริบูรณ์ด้วยทรัพยากร

         จังหวัดพังงาตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย ด้านชายฝั่งทะเลอันดามันเป็นจังหวัดที่มีประวัติความเป็นมาในอดีตที่สำคัญหลายประการ ในพื้นที่จังหวัดพังงา พบร่องรอยการอยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังปรากฏตามหลักฐานทางโบราณคดีที่นักโบราณคดีได้ค้นพบตามถ้ำ หรือเพิงผาเขาหินปูนจำนวนมาก ต่อมาในสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานการมารวมตัวกันเป็นแหล่งชุมชนโบราณตะกั่วป่าคือแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าทางทะเล และมีประวัติความเป็นมาสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ดังนั้น เรื่องราวของวิวัฒนาการก่อนที่จะมาเป็นจังหวัดพังงา ตลอดจนเรื่องราวต่าง ๆ อันเกี่ยวกับจังหวัดพังงา พังงาในอดีตนั้นเมื่อตั้งเมืองเรียกกันว่า  “เมืองภูงา” (สันนิษฐานว่าตั้งตามชื่อเขางาหรือเขาพังงา)  ซึ่งการปกครองขึ้นอยู่กับนครศรีธรรมราช จากหลักฐานปรากฎว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)  ปรากฎชื่อเมืองพังงาอยู่แล้วเรียกว่า “เมืองภูงา” อยู่ในทําเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งน่าจะเป็นเมืองขึ้นฝ่ายกรมพระสุรัสวดีซ้าย แต่เหตุที่เมืองภูงากลายเป็นเมืองพังงานั้นสันนิษฐานกันว่า น่าจะเนื่องมาจากเมืองภูงาเป็นเมืองที่มีแร่อุดมสมบูรณ์ จึงมีฝรั่งมาติดต่อซื้อขายแร่ดีบุกกันมาก และฝรั่งเหล่านี้คงจะออกเสียงเมืองภูงาเป็นเมืองพังงาไป เพราะแต่เดิมฝรั่งเขียนเมืองภูงาว่า PHUNGA หรือ FUNA ซึ่งอาจอ่านว่าภูงาหรือจะอ่านว่าพังงาหรือพังกาก็ได้ จังหวัดพังงามีตราเป็นรูปภูเขา โดยภูเขาในดวงตราหมายถึงเขาช้างซึ่งเป็นภูเขา สูงอยู่หลังศาลากลางจังหวัด ตามประวัติศาสตร์ กล่าวว่าเมื่อพม่ายกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายได้ราษฎรส่วนหนึ่งได้อพยพมาหลบภัย ในบริเวณลุ่มแม่น้ําพังงาที่มีภูเขาล้อมรอบ และตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นี่ตลอดมา ภูเขาจึงเป็นเสมือนกําแพงเมือง และจุดรวมแห่งผู้คน ส่วนเรือขุดหมายถึงอาชีพที่สําคัญของชาวเมืองพังงาที่ผลิตแร่ดีบุกได้มากกว่าจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศไทย ส่วนเขาตะปูหมายถึงสัญลักษณ์ทางด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดพังงา 
              
ที่ตั้งและอาณาเขต
             จังหวัดพังงา (Phangnga) หรือเมืองภูงาในอดีต ตั้งอยู่ในภาคใต้ฝั่งทิศตะวันตกด้านทะเลอันดามัน มีเนื้อที่ ๔,๑๗๐.๘๙๕ ตารางกิโลเมตร (๒,๖๐๖,๘๐๙ ไร่) อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ๘๓๙ กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับจังหวัดระนอง ทิศใต้ติดกับจังหวัดภูเก็ตตรงช่องแคบปากพระและทะเลอันดามัน ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดกระบี่ ทิศตะวันตกติดกับทะเลอันดามันและมหาสมุทรอินเดียจังหวัดพังงาแบ่งการปกครองเป็น ๘ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วป่า อำเภอทับปุด อำเภอกะปง อำเภอท้ายเหมือง อำเภอตะกั่วทุ่ง อำเภอคระบุรี และอำเภอเกาะยาว
              ภูมิประเทศ
                 ภูมิประเทศบนบกกว่าร้อยละ ๘๐ ของจังหวัดพังงา มีสภาพเป็นทิวเขาสลับชับช้อนปกคลุมด้วยป่าดิบแน่นทึบสลับที่ราบแคบ ๆ ทิวเขาสำคัญ คือ ทิวเขาตะนาวศรี ที่ต่อเนื่องลงมาจากจังหวัดระนอง และทิวเขาภูเก็ต ที่ทอดยาวลงไปสู่จังหวัดภูเก็ตและกระบี่สัณฐานของหินที่ก่อเกิดทิวเขานี้แบ่งเป็น ๒ ชนิดหลัก ได้แก่ หินแกรนิต (Granite) กำเนิดสายแร่ดีบุก (Tin) กระจายอยู่ในอำเภอต่าง ๆ รวมถึงในทะเลพังงา ส่งผลให้มีการทำเหมืองแร่ดีบุกมานานนับร้อยปี เช่นเดียวกับจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ยังมีภูเขาหินปูน (Limestone Karst) อันเกิดจากการสะสมของตะกอนอินทรีย์วัตถุที่ทับถมอัดแน่นเป็นชั้น ๆ นานนับร้อยล้านปีอีกด้วยจังหวัดพังงามีชายฝังทะเลยาว ๒๓๙.๕ กิโลเมตร หาดทรายส่วนใหญ่มีความสวยงาม เช่น หาดบางสัก หาดเขาหลัก หาดท้ายเหมือง หาดท่านุ่น หาดเขาปิหลาย และหาดนางทอง เป็นต้น ล้วนเป็นเวิ้งอ่าวโค้งที่มีภูเขาขนาบสองข้าง ในลักษณะของชายฝั่งแบบจมตัว (Submergence Shoreline) เกิดจากการยุบตัวลงของเปลือกโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน เกาะต่างๆ ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ในอ่าวพังงาและทะเลไกลฝั่งออกไป คือยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำ นักภูมิศาสตร์เรียกเขาหินปูนจมทะเลลักษณะนี้ว่า Marine Karst ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก เกาะหินปูนในอ่าวพังงารวมพื้นที่ท้องทะเลของจังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ และจังหวัดภูเก็ต ถือเป็น Marine Karst ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเพราะมีทั้งเกาะน้อยใหญ่จำนวน ๑๕๕ เกาะ มีโพรงถ้ำ หลุมยุบ และถ้ำลอดในทะเลอยู่หลายแห่ง อาทิ เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เกาะปันหยี เกาะละวะใหญ่ เกาะทะลุนอกเกาะรายาหริ่ง เกาะตาปู และเขาพิงกันเป็นต้นภูมิประเทศแบบเกาะหินปูนที่ปรากฏนอกจากจะมีหน้าผาหินตั้งชัน ๙๐ องศาแล้ว ยังมีธรณีสัณฐานพิเศษอีกหลายรูปแบบอาทิ เว้าทะเล (Sea Notch) หรือแนวเว้ายาวตามฐานเกาะ ซึ่งเกิดจากคลื่นลมกัดเชาะ มีโพรงหินชายฝั่ง (Grotto) เกิดจากน้ำทะเลกัดเซาะจนเป็นโพรงลึกในลักษณะถ้ำ แต่หากถ้ำนั้นทะลุสองด้านก็จะกลายเป็น ถ้ำลอดทะเล (Sea Arch) รวมทั้งยังมีเกาะหินโด่ง (Stack) อาทิ เขาตาปู เกิดจากปลายแหลมของเกาะที่ยื่นไปในทะเล ถูกคลื่นชัดจนกลายเป็นแท่งหินโดด ๆ พังงาเป็นจังหวัดที่ได้ฉายาว่า ป่าเกาะ เพราะมีเกาะอยู่มากถึง ๑๕๕ เกาะ โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ ๒ อุทยานแห่งชาติสำคัญคือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน แหล่งปะการังอ่อนที่สวยงามที่สุดของไทย อีกทั้งยังเคยติดอันดับแหล่งดำน้ำสวยที่สุด ๑ ใน ๑๐ ของโลก อีกแห่งหนึ่งคือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เป็นแหล่งปะการังแข็งที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของไทย เกาะใหญ่ที่มีชื่อเสียงของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันเช่น เกาะสิมิลัน เกาะสี่ เกาะแปด เกาะบอน เกาะตาชัย ฯลฯ รวมถึงกองหินใต้น้ำซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำสำคัญ เพราะมีสัตว์ทะเลไปอยู่รวมกันจำนวนมหาศาล อาทิ หินหัวช้าง หินหัวกะโหลก หินสันฉลาม หินม้วนเดียว หินปูซาร์ แฟนตาซีรีฟ และคริสต์มาสพอยต์เป็นต้น ส่วนเกาะเด่นๆ ในหมู่เกาะสุรินทร์ได้แก่ เกาะสุรินทร์เหนือ เกาะสุรินทร์ใต้ เกาะรี(เกาะสตอร์ค) เกาะกลาง(เกาะปาชุมบา) และเกาะไข่ (เกาะตอรินลา) เป็นต้น อีกทั้งยังมีกองหินโผล่กระจายตัวอยู่หลายจุด อาทิ หินแพ หินกอง และหินริเชลิว ซึ่งเป็นจุดที่พบฉลามวาฬ (Whale Shark) ได้บ่อยที่สุดจุดหนึ่งของโลกป่าไม้ จังหวัดพังงามีเนื้อที่ป่าไม้เหลืออยู่ ๑,๒๖๘.๒๕ ตารางกิโลเมตร (๗๙๒,๖๕๖ ไร่) กระจายอยู่ในอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติเขาลำปี - หาดท้ายเหมืองเนื้อที่ ๗๒ ตารางกิโลเมตร (๔๕,๐๐๐ ไร่) อุทยานแห่งชาติเขาหลัก - ลำรู่ เนื้อที่ ๑๒๕ ตารางกิโลเมตร(๗๘,๑๒๕ ไร่) อุทยานแห่งชาติศรีพังงา เนื้อที่ ๒๔๖.๒๘ ตารางกิโลเมตร (๑๕๓,๘๐๐ ไร่) รวมถึงอุทยานแห่งชาติทางทะเล ได้แก่อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาเนื้อที่ ๔๐๐ ตารางกิโลเมตร (๒๕๐,๐๐๐ ไร่) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีเนื้อที่รวมส่วนที่เป็นบกและทะเล ๑๒๘ ตารางกิโลเมตร (๘๐,๐๐๐ ไร่) อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ มีเนื้อที่รวมส่วนที่เป็นบกและทะเล ๑๔๑.๒๕ ตารางกิโลเมตร (๘๘,๒๘๒)) นอกจากนี้ยังมีวนอุทยาน ๒ แห่ง ได้แก่วนอุทยานสระนางมโนราห์ และ วนอุทยาน น้ำตกรามัญ รวมถึงป่าสงวนและป่าชุมชนอีกหลายแห่งป่าดิบชื้น (Moist Evergreen Forest) เป็นป่าบกที่โดดเด่นที่สุดของพังงา เพราะปกคลุมป่าเขาส่วนใหญ่ไว้แน่นทึบ พรรณไม้ ดัชนีบ่งชี้คือไม้วงศ์ยาง (Dipterocarpaceae) อาทิ ยางนา (Dipterocarpus alatus) ยางยูง (Dipterocarpus grandiflorus) และตะเคียนทอง (Hopea odorata) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี ป่าเกาะ ซึ่งมีลักษณะพิเศษ เพราะผสมผสานระหว่างป้าดิบชื้นและป๋าเขาหินปูน (Limestone Forest) อันเป็นสังคมพืชทนแล้ง ทนเค็ม ทนการขาดน้ำได้ยอดเยี่ยมและเติบโตอยู่บนหินปูนได้ พืชเด่นที่พบ เช่น สลัดได (Euphorbia antiquorum) ปรงเขา (Cycas pectinata) จันทน์ผา (Dracaena loureiri) กล้วยไม้รองเท้านารีขาวสตูล (Paphiopedilum niveum) และรองเท้านารีเหลืองกระบี่ (Paphiopedilumexul) เป็นต้น ต้นสองชนิดสุดท้ายนี้เป็นพืชหายาก และพืชอนุรักษ์ ตามอนุสัญญาไซเตส(TheConvention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) บัญชีที่ ๑ ๑ ๒๕๓๕ ในอดีตบริเวณปากแม่น้ำตะกั่วป่าและแม่น้ำพังงา เคยมี ป่าชายเลน (Mangrove Forest) แผ่กว้างถึง ๔๘๐ ตารางกิโลเมตร (๓๐๐,๐๐๐ ไร่) ทว่าปัจจุบันถูกรุกล้ำโดยการทำเหมืองแร่ การสร้างชุมชน การทำนากุ้ง การสร้างโรงแรมที่พัก และโรงงานอุตสาหกรรม จนพื้นที่ลดลงเหลือ ๓๔๙.๑ ตารางกิโลเมตร (๒๑๘,๑๙๔ ไร่) ป่าสมบูรณ์ที่สุดอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติ-อ่าวพังงา นับเป็นป่าชายเลนผืนใหญ่ที่สุดของไทยที่เหลืออยู่ปัจจุบันแหล่งน้ำ เนื่องจากจังหวัดพังงามีภูมิประเทศเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ส่วนหนึ่งของทิวเขาตะนาวศรีและทิวเขาภูเก็ตปกคลุมด้วยป่าดิบขึ้นแน่นทึบ อีกทั้งมีฝนตก
ชุกกว่า ๘ เดือนต่อปี จึงมีน้ำท่าบริบูรณ์ ก่อเกิดแม่น้ำหลักขนาดใหญ่ ๒ สาย สายแรกคือ แม่น้ำพังงา กำเนิดจากเขากระทะคว่ำในเขตอำเภอกะปง ไหลไปบรรจบกับคลองหราแล้วไหลลงทะเลอันดามันที่อ่าวพังงา รวมความยาว ๔๕ กิโลเมตร แม่น้ำสำคัญอีกสายหนึ่งคือ แม่น้ำตะกั่วป่า มีความยาว ๓๐ กิโลเมตร กำเนิดจากอำเภอกะปง ไปบรรจบกับคลองหรา แล้วไหลลงทะเลที่อ่าวพังงานอกจากนี้ยังมีแม่น้ำลำธารสำคัญสายอื่น ๆ ได้แก่ คลองลำไตรมาศ คลองถ้ำ คลองนางย่อม คลองนาเตย ฯลฯ ป่าเขาของพังงายังให้กำเนิดน้ำตกสวยงาม อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และผลิตน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคได้ตลอดปี เช่น น้ำตกโตนต้นไทรน้ำตกโตนไพร น้ำตกโตนเตย น้ำตกโตนช่องฟ้า น้ำตกตำหนัง น้ำตกสายรุ้ง น้ำตกลำรู้น้ำตกลำปี และน้ำตกบ่อหิน เป็นต้น ภูมิอากาศ จังหวัดพังงามีสภาพอากาศแบบมรสุมเขตร้อน (Tropical Monsoon Climate) ในรอบปีมี ๒ ฤดู คือ ฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน และฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-ธันวาคม อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนฝนจะเริ่มลดลงมากจนท้องฟ้าแจ่มใส คลื่นลมสงบ เรียกว่าเป็นฤดูท่องเที่ยวทะเลอันดามัน จึงเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการล่องเรือและกิจกรรมดำน้ำในรอบปีพังงาได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ๒ ทิศทาง คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีฝนตกไม่น้อยกว่า ๘ เดือน จึงทำให้อุณหภูมิในแต่ละฤดูกาลไม่ต่างกันมากนัก อยู่ระหว่าง ๒๑ - ๓๔ องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย ๓,๖๕๔ มิลลิเมตรต่อปี

           

              พังงาในยุคต่าง ๆ
              ยุคดึกดำบรรพ์
              พื้นที่ของจังหวัดพังงา ประกอบด้วยหินยุคต่าง ๆ ได้แก่

- ยุคคาร์บอนิเฟอรัส (๒๔๕-๒๓๐ ล้านปี) หรือกลุ่มหินแก่งกระจาน แบ่งได้เป็นกลุ่มหินแก่งกระจานตอนล่าง ประกอบด้วยหินโคลนปนกรวด หินดินดาน หินทรายแป้ง หินเชิร์ต หินทรายเนื้อภูเขาไฟ หินทรายเนื้อซิลิกาสีเทา เทาเขียวและน้ำตาล มีชากหอยแบรคคิโอพอด โบรโอซัว ปะการัง และไครนอยด์ ส่วนกลุ่มหินแก่งกระจามตอนบน ประกอบด้วยหินทราย หินปูนเนื้อดิน หินดินดาน และหินเชิร์ต ซึ่งวางตัวอย่างต่อเนื่องกับหินยุคเพอร์เมียน พบกระจายตัวอยู่แถบตะวันออกของจังหวัด ตั้งแต่อำเภอคุระบุรี อำเภอทับปุด อำเภอตะกั่วทุ่ง อำเมือเมืองพังงา และบริเวณเกาะยาวน้อย
- ยุคเพอร์เมืยน (๒๘๐-๒๓๐ ล้านปี) เป็นหินปูนแสดงชั้นเนื้อแน่น มักมีก้อนหินเชิร์ตแทรกในบางแห่ง พบว่าเนื้อหินเป็นหินปูนโดโลไมต์และหินอ่อน ส่วนมากมีลักษณะเป็นเขาลูกโดดหรือเป็นเกาะ เช่น บริเวณอ่าวพังงา
- ยุคจูราสิก-ครีเทเชียล (๑๙๕ - ๖๕ ล้านปี) ประกอบด้วยหินทรายอาร์โคส หินโคลน หินทรายแป้งสีน้ำตาลแดง วางชั้นเฉียงกับแนวระดับหินกรวดมนและหินทรายในตอนบนของลำดับชั้นหิน โดยมีชากหอยสองฝาของน้ำจืดและนำกร่อย บริเวณตอนล่างของการเรียงลำดับชั้นหิน เช่น บริเวณเกาะยาวใหญ่
- ยุคเทอร์เชียรี (๖๕- ๕ ล้านปี) เป็นหินอัคนีที่เกิดจากการเย็นตัวของหินหนืด ซึ่งอยู่ลึกลงไปได้เปลือกโลก ประกอบด้วยหินไบไอไทด์ฮอร์นเบลนด์แกรนิต มัสโคไวต์แกรนิต ซึ่งมีผลึกขนาดเท่า ๆ กัน และผลึกเนื้อดอก หินแกรโนโคโอไรต์ พบกระจายตัวในแถบตะวันตกของอำเภอตะกั่วป้า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอกะปง และอำเภอคุระบุรี
- ยุคควอเตอร์มารี (๕ ล้านปี-ปัจจุบัน) เป็นตะกอนร่วนยังไม่แข็งตัวเป็นหิน เกิดจากการผุผังและสะสมตัว โดยตัวกลางที่แตกต่างกัน เช่น น้ำ คลื่น กระแสน้ำขึ้นน้ำลง พบเป็นตะกอนธารน้ำพามีกรวด ทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวสะสมตัวตามร่องนา คันดิน แม่น้ำ และแอ่งน้ำท่วมถึง ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของน้ำขึ้นน้ำลง มีดินเหนียว ทรายแป้ง และทรายละเอียดของที่ราบลุ่มที่ราบน้ำขึ้นถึง ที่ลุ่มชื้นแฉะ ที่ลุ่มน้ำขังปาชายเลน และชะวากทะเล ตะกอนเศษหินเชิงเขาและตะกอนผุพังอยู่กับที่ มีกรวด ทราย ทรายแป้ง ดินเหนียว และศิลาแลง และเศษหิน พบกระจายตัวแถบด้านตะวันตกของอำเภอคุระบุรี และบางส่วนของอำเภอตะกั่วป้า และอ้าเภอทับปุด  

           ยุคก่อนประวัติศาสตร์              
         จังหวัดพังงาเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยขุดพบหลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูกมนุษย์โบราณ เครื่องมือหิน ภาชนะดินเผา ภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่อำเภอเมืองพังงา และอำเภอทับปุด นอกจากนี้พบเทวรูปแกะสลักหินพระวิษณุหรือพระนารายณ์ ชิ้นส่วนเทวรูปบนเขาเวียง (เขาพระนารายณ์) ในอำเภอกะปง และอำเภอตะกั่วป่า ทำให้เชื่อว่าดินแดนแถบนี้มีมนุษย์อาศัยมานานนับพันปี และมีพัฒนากาการเกี่ยวเนื่องกับเมืองสำคัญ ๓ เมือง คือ เมืองพังงา เมืองตะกั่วป่า และเมืองตะกั่วทุ่ง จนกระทั่งกลายเป็นจังหวัดพังงาในปัจจุบัน จากการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่เขาเฒ่า อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาแสดงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในจังหวัดพังงา เป็นช่วงสมัยใกล้เคียงกับแหล่งโบราณคดีในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลักฐานก่อนประวัติศาสตร์ที่ค้นพบได้แก่ภาพเขียนบนเพิงผาที่เกาะปันหยี ตำบลเกาะปันหยี ค้นพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ภาพเขียนบนเพิงผาเขาระย้า เขาเกาะทะลุ ตำบลกะไหล สำรวจและศึกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยคณะสำรวจแหล่งโบราณคดีและโบราณสถานภาคใต้ กองโบราณคดี กรมศิลปากร ภาพเขียนสีบนเพิงผาเขาพระอาดเฒ่า เป็นภาพระบายสีส่วนใหญ่คือสีแดงและดำ มีสีส้มเหลือง เทา น้ำเงิน ขาว และม่วงบ้างเล็กน้อย เป็นภาพคนและสัตว์ เล่าเรื่องราวของกลุ่มชาวน้ำสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ และใช้พาหนะสัญจรทางน้ำ เช่น แพหรือเรือ นอกจากนี้ที่เขาเฒ่' ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก บริเวณใกล้กระดูกต้นขาซ้ายพบเครื่องมือหินกะเทาะแบบสับตัด จำนวน ๑ ชิ้นสันนิษฐานว่ามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์พักอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวอย่างหนาแน่น เพราะมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรทางทะเล และสามารถล่าสัตว์หาสมุนไพรจากป่าได้ แต่บางแหล่งที่ค้นพบหลักฐานมีลักษณะเป็นเกาะอยู่บริเวณป่าชายเลน สันนิษฐานว่าเป็นที่ประกอบกิจกรรมเป็นครั้งคราวเพราะไม่มีน้ำจืด นักประวัติศาสตร์บางท่านเชื่อว่าเป็นที่พักของเรือสินค้าก่อนเข้าสู่ฝั่ง เช่น เขาช้าง เขางุ้มถ้ำฤาษีสวรรค์ วังหม้อแกง เขาพังงา เขาเฒ่าเขาหนุ่ย ถ้ำกลาง เขาบ่อ ถ้ำผึ้ง ถ้ำพระ เขาพัง เขาแดง เป็นต้น
        ยุคประวัติศาสตร์
     คัมภีร์มิลินทปัญหาเขียนเมื่อปี พ.ศ. ๕๐๐ กล่าวว่าทางฝั่งทะเลตะวันตกมีเมืองท่าเมืองหนึ่ง ชื่อเมืองตะโกลา นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าเป็นเมืองในพื้นที่อำเภอตะกั่วป่าและอำเภอคุระบุรีในปัจจุบัน พบหลักฐานจำพวกลูกปัด เครื่องสังคโลกเครื่องปั้นดินเผา ลักษณะเดียวกับแหลมโพธิ์อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในจดหมายเหตุของคลออุส ปโตเลมี นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก กล่าวว่า ตะโกลา เป็นท่าเรือและศูนย์กลางทางการค้า ตั้งอยู่ใต้คอคอดกระลงไป เชื่อว่าปัจจุบันคือบริเวณเมืองโบราณบ้านทุ่งตึก ตำบลเกาะคอเขา อำเภอคุระบุรี ในจดหมายเหตุเรียกชื่อเมืองนี้ตามแบบอย่างอินเดียว่า "ตะโกลา" หรือ "ตะโกละ" ส่วนชนชาติอื่น ๆ เรียกแตกต่างไปตามสำเนียงของแต่ละเชื้อชาตินั้น เช่น ภาษาอาหรับ เรียกว่าตกุลลาห์ หรือตะโกละ ภาษาบาลีเรียกว่าติว-กู-ลีหรือโก-กู-ลิบ คำว่า "ตะโกลา" แปลว่ากระวานอาจจะเนื่องมาจากเมืองตะโกลานี้อุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องเทศ
           - สมัยศรีวิชัย
          
ตามศิลาจารึกเมืองตันชอร์ (Tangor) แคว้นหนึ่งของประเทศอินเดียทางภาคใต้กล่าวว่า พวกโจฬะได้ยกทัพข้ามมหาสมุทรอินเดีย มาโจมตีอาณาจักรศรีวิชัย และยึดดินแดนศรีวิชัยเป็นเมืองขึ้น ทำให้ตะโกลา (ตะกั่วปำ) และนครศรีธรรรมราช (ตามพรลิงค์) ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกโจฬะ ในครั้งนั้นส่วนเมืองตะโกลา (ที่บ้านทุ่งตึก ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า) ถูกตีจนต้องย้ายที่ตั้งให้ลึกเข้าไปจากฝั่งทะเลที่เขาเวียง(เขาพระนารายณ์ ตำบลเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา) เพื่อความสะดวกในการขนถ่ายสินค้าจากเขาสกไปยังต้นแม่น้ำตาปีโดยใช้คลองศกเป็นเส้นทางสัญจร และเพื่อป้องกันภัยจากพวกโจฬะทำให้เมืองตะโกลาเดิมจึงกลายเป็นเมืองร้าง
          - สมัยสุโขทัย

          ระหว่างปี พ.ศ. ๑๘๒๐-๑๘๖๐ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ขยายอาณาเขตลงมาทางใต้จนถึงแหลมมลายู ในระยะนี้ชื่อเมืองตะโกลาหายไปแต่ปรากฏชื่อเมืองตะกั่วป่าขึ้นมาแทน
         - สมัยอยุธยา
          ระหว่างปี พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ พระยาโกษาธิบดีเป็นฝ่ายกรมท่า มีความดีความชอบในราชการสงคราม สมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงโปรดเกล้าฯ ยกหัวเมืองฝ่ายใต้ทั้งหมดไปขึ้นกับฝ่ายกรมท่า รวมถึงเมืองตะกั่วป่าที่เป็นเมืองชั้นตรี และให้ขึ้นกับฝ่ายกรมท่าตลอดสมัยอยุธยา
           - สมัยธนบุรี
         ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕ สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมืองตะกั่วป่าบ้านเมืองสงบสุข ว่างเว้นจากสงครามมีเจ้าเมืองหรือผู้รักษาราชการ คือพระยาตะกั่วป่าอิน พระยาตะกั่วป่าจีน พระยาตะกั่วป่าเกต  สันนิษฐานว่าตั้งเมืองอยู่ที่เขาเวียง ปัจจุบันคือตำบลเหล อำเภอกะปง เจ้าเมืองตะกั่วป่า เจ้าเมืองท่่านต่อมาคือพระยาตะกั่วป่าม่วง บุตรพระยาตะกั่วป้าเกต สันนิษฐานว่าตั้งเมืองอยู่ที่ตำบลตำตัว อำเภอตะกั่วป่า
          - 
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์-ปัจจุบัน
            พังงามีประวัติความเป็นมาได้รับการกล่าวขานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ดังปรากฏชื่อในกฎหมายลักษณะผัวเมียในสมัยดังกล่าวในยุคนั้นรู้จักพังงา ในฐานะที่เป็นท้องถิ่นซึ่งมีชาวต่างชาติไปค้าขายแร่ดีบุกกันมาก และคําว่า “พังงา” ที่กลายมาจากคําว่า "ภูเงา" หรือ "ภูเขางา" หรือ "เขาพิงงา" ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ําที่มีผู้คนรวมอยู่มาก และสําเนียงชื่อที่เปลี่ยนไปจนเป็น “พังงา” ก็เพราะการออกเสียงของชาวต่างชาติ จากพงศาวดารปรากฏว่าก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเมืองพังงาเป็นเมืองแขวงขึ้นอยู่กับเมืองตะกั่วป่า จนกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองเทียบเท่าเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง และโอนเมืองจากฝ่ายกรมท่า มาขึ้นกับฝ่ายกลาโหมตั้งแต่นั้นมา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ เมืองพังงาได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นทางการขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในปีดังกล่าวพระเจ้าปะดุงแห่งพม่าได้มอบหมายให้อเติงหวุ่น เป็นแม่ทัพยกกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายใต้ของไทย กองทัพเรือของพม่าได้ตีเมืองตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง และตีเมืองถลางได้ในเวลาต่อมา โดยได้กวาดต้อนผู้คนไปรวมไว้ที่ค่ายของตนและเผาเมืองถลางเสีย ในการนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวร ยกทัพหลวงมาช่วยจากกรุงเทพฯ และได้มาทันขับไล่ทหารพม่าหลบหนีไป ระหว่างศึกได้มีราษฎรบางส่วนอพยพไปหลบภัยอยู่ที่กราภูงา (ภาษามลายูแปลว่าปากน้ำภูเงา) ที่มีภูเขาล้อมรอบ เมื่อเสร็จศึกแล้วกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ฯ ทรงพระราชดําริว่าพม่าได้เผาเมืองถลางทําให้บ้านเมืองอ่อนแอลงยากที่จะสร้างขึ้นใหม่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพลเมืองจากถลางข้ามฟากมาตั้งภูมิลําเนาอยู่ที่กราภูงา และจัดการปกครองขึ้นเป็นเมืองขึ้นกับเมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ทรงมีพระราชดําริที่จะปรับปรุงบูรณะหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกที่ถูกพม่าโจมตีให้เข้มแข็งขึ้น จึงได้แต่งตั้งข้าราชการมาเป็นเจ้าเมืองดังกล่าว และให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๘๓ ได้ทรงแต่งตั้งให้พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง ณ นคร) เป็นเจ้าเมืองพังงาคนแรก ต่อมาเมืองตะกั่วทุ่งถูกยุบเป็นอําเภอขึ้นกับเมืองพังงา ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงได้ยุบเมืองตะกั่วป่าให้ขึ้นกับจังหวัดพังงา            
          เมืองภูงาหรือเมืองพังงาเรียกขานกันตามชื่อเขางาหรือเขาพังงาหรือกราภูงาหรือพังกา (ภาษามลายูแปลว่าป่าน้ำภูงา) ในท้องที่จังหวัดพังงาปัจจุบันมีชุมชนขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเมืองมาแล้วถึง ๔ เมืองเป็นอย่างน้อย คือเมืองพังงา เมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองคุระคุรอด (หรือคุระบุรี) ซึ่งปัจจุบันชุมชนเหล่านี้มีฐานะเป็นอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดพังงา ชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นในยุคสมัยที่แตกต่างกันอยู่บ้างโดยเฉพาะเมืองตะกั่วป่า เชื่อกันว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่และเป็นศูนย์อำนาจปกครองท้องถิ่นมาตั้งแต่ยุคโบราณ ที่เริ่มมีการขนถ่ายผู้โดยสารและสินค้าข้ามคาบสมุทรจากตะกั่ววป่า ผ่านเขาสก แม่น้ำหลวง มาออกเมืองไชยาในระยะแรก ๆ และชื่อของเมืองตะกั่วป่าในระยะนี้เรียกว่าเมือง “ตะโกลา” ที่ตั้งของตัวเมืองอยู่ที่บ้านทุ่งตึก หมู่ที่ ๓ ตำบลเกาะคอเขา อำเภอคุระบุรี สำหรับเมืองพังงา ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง และคุระบุรี ที่มีการสืบทอดต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน เป็นชุมชนที่เกิดจากการขยายตัวของการผลิตและค้าแร่ดีบุกในสมัยอยุธยา ชุมชนเหล่านี้มีฐานะเป็นเมืองขนาดเล็กขึ้นกับเมืองถลางและอยู่ในความดูแลของหัวเมืองชายฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะเมืองนครศรีธรรมราชหรือไม่ก็ส่งขุนนางผู้ใหญ่จากเมืองหลวงออกไปปกครองโดยตรง (ระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๑๙-๒๓๕๒) จนกระทั่งพม่าเผาทำลายเมืองถลางและเมืองขึ้นเสียหายอย่างหนักในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ ต่อมาจึงมีการรวบรวมผู้คนขึ้นใหม่ที่เมืองพังงา จากจุดนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะเมืองพังงา ตะกั่วป่า และตะกั่วทุ่งยุคใหม่ ก่อนปี พ.ศ. ๒๓๕๒ เมืองพังงามีฐานะเป็นเพียงแขวงขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า “กราภูงา” หรือบ้านปากน้ำพังงาเป็นทางผ่านจากถลาง ตะกั่วทุ่ง กราภูงา ข้ามเขานางหงส์ไปออกปากลาว ปากพนม แม่น้ำหลวง และเมืองไชยา ในพงศาวดารเมืองถลางกล่าวถึงอาณาบริเวณที่เป็นเมืองพังงาไว้ว่า....เมืองพังงานี้เดิมเป็นเมืองช่องแขวงพื้นเมืองตะกั่วป่า เอาคลอง ถ้ำ แม่น้ำ เป็นแดนคนละฟาก ฝ่ายเหนือน้ำตลอดเข้าป่าดง ใต้น้ำลงไปฝ่ายลำคลองถ้ำได้กับเมืองพังงา ลำคลองตลอดจนไปถ้ำพระอาดเฒ่า เกาะยาง เกาะพิงกัน เป็นแขวงเมืองพังงา ฝ่ายอุดรเมืองพังงา เขาเขมาเหล็กเป็นแดนเฉียง อิสานก็ราบสูงเป็นเขตแดนเมืองพังงา... หลังจากพม่าเผาทำลายเมืองถลาง ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง ในปี พ.ศ. ๒๓๕๒ บ้านเมืองเสียหายอย่างหนัก ชาวเมืองแตกตื่นหลบหนีพม่าไปอาศัยอยู่ในป่าดงและเมืองต่าง ๆ จึงไม่สามารถจัดตั้งเมืองถลางในเกาะภูเก็ตได้ ต้องใช้วิธีรวบรวมผู้คนที่เมืองพังงาก่อน ในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมหมื่นศักดิพลเสพย์ ผู้กำกับราชการกรมพระสมุหกลาโหม ได้อาสาต่อทางราชธานี ที่จะเป็นผู้จัดตั้งเมืองถลางขึ้นใหม่ ซึ่งหวังที่จะได้ผลประโยชน์จากการทำเหมืองแร่ในเกาะภูเก็ต แต่เนื่องจากเมืองถลางเสียหายมาก ไม่สามารถถึงจะจัดแจงแต่งเมืองได้จึงได้ทำเรื่องเสนอไปกรุงเทพพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจให้พระยานครศรีธรรมราช (น้อย) เป็นแต่เพียงผู้ดูแลหัวเมืองถลางและเมืองขึ้นอื่น ๆ ส่วนภารกิจในการจัดตั้งเมืองถลางที่พังงานั้นได้มอบให้พระวิเชียรภักดี (เจิม) อดีตยกกระบัตรเมืองตะกั่วทุ่งเป็นผู้ดำเนินการโดยตรง โดยแต่งตั้งให้พระวิเชียรภักดี (เจิม) เป็นผู้ว่าราชการเมืองถลางที่พังงาในปีเดียวกัน             
            การจัดตั้งเมืองถลางที่พังงาครั้งนั้นต้องพบกับปัญหาต่าง ๆ หลายประการ เช่น  ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร ต้องพึ่งจากเมืองไทรบุรีและกรุงเทพ ภัยการคุกคามจากพม่า ซึ่งยังส่งเรือรบและกองกำลังย่อย ๆ ออกมาจับผู้คนที่ตะกั่วป่าและกะเปอร์ยู่บ่อย ๆ และประสพปัญหาเกี่ยวกับราษฎรและกรมการเมืองที่ตั้งไว้แล้วไม่ยอมไปอยู่ประจำที่เมืองพังงา  เพราะยังเป็นเมืองที่ทุรกันดารและห่างไกลจากกรุงเทพ  ต้องมีสารตราออกมาบังคับบัญชาให้เจ้าเมืองต่าง ๆ ทางภาคใต้ เช่น... ขับต้อนพระหลวง  กรมการ และราษฎรขึ้นไป ณ ที่กราภูงา ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ด้วยพระถลาง... โดยเฉพาะเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ถึงแม้ไม่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดตั้งโดยตรง แต่ต้องรับภาระเป็นพี่เลี้ยงดูแลความปลอดภัยของเมืองถลางที่พังงาอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะตั้งตัวได้ ซึ่งก็เสียเวลานานหลายปีและจากความดีความชอบที่อุตส่าห์ตั้งเมืองถลางครั้งนั้นในปี พ.ศ. ๒๓๕๖  ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศพระวิเชียรภักดี (เจิม) เจ้าเมืองถลางขึ้นเป็นพระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ประสิทธิสงคราม (เจิม) ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งในสารตราของเจ้าพระยาอัครมหาเสนาสมุหพระกลาโหม  ที่มีไปถึงพระปลัดและกรมการเมืองถลาง ในปี พ.ศ. ๒๓๕๖ ความตอนหนึ่งว่า... แลซึ่งพระวิเชียรภักดี (เจิม) มีน้ำในอุตสาหะตกแต่งให้ไพร่พลเมืองขึ้นไปตั้งอยู่ ณ ที่กราภูงาเป็นภาคภูมิลงได้ดังนี้ พระวิเชียรภักดีมีความชอบทรงพระกรุณาให้เลื่อนพระวิเชียรภักดี  เป็นพระยาณรงค์เรืองฤทธิ์ประสิทธิสงคราม (เจิม) พระยาถลาง  พระราชทานสัปทนสักกะหลาดแดงคันหนึ่ง  เสื้อมังกรสีตัวหนึ่ง  ผ้าปูม ผืนหนึ่ง  กระบี่บั้งทองเล่มหนึ่งให้แก่พระยาถลาง... ในระยะตั้งเมืองถลางที่พังงา ในปี พ.ศ. ๒๓๖๕  ร้อยเอกเจมส์  โลว์  หัวหน้าคณะทูตของผู้ว่าการเกาะปีนัง  ที่รับหน้าที่มาเจรจาปัญหาเมืองไทรบุรีกับเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ที่เมืองตรัง ได้เดินทางไปเยี่ยมเมืองพังงาในระยะที่รอคำตอบจากนครศรีธรรมราช และได้บันทึกเกี่ยวกับเมืองพังงาไว้มากมายหลายประการ เป็นต้นว่า... หุบเขาพังงามีความยาวประมาณ ๓ ไมล์ กว้างไม่เกิน ๒ ไมล์  ดินส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวผสมกับดินสีแดง และดูเหมือนจะอุดมสมบูรณ์ เนื้อที่ตอนที่กว้างใหญ่ที่สุดของหุบเขา มีบรรดากระท่อมกับเรือกสวนตั้งอยู่ส่วนพื้นที่ตรงอื่น ๆ เป็นทุ่งนา และทุ่งหญ้าเลี้ยงควาย  เมืองพังงามีผู้คนไม่เกิน ๗๐ หลังคาเรือน มีประชากรระหว่าง ๖,๐๐๐-๗,๐๐๐ คน เป็นชาวจีนประมาณ ๓๐ หลังคาเรือน หรือประมาณ ๖๐๐ คน ๒ ใน ๓ ของชาวจีนเป็นชาวหมาเก๊า มีชาวมลายูหลายร้อยคนกระจัดกระจายอยู่ในอ่าวปากน้ำ เพราะคนไทยไม่ยอมให้อาศัยอยู่ใกล้ตัวเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ทำงานรับจ้างที่เหมืองแร่ เป็นระยะเวลาครึ่งปีแล้วกลับไปเก็บเกี่ยวข้าวในระหว่างเวลาที่เหลือ เจ้าเมืองส่งคนไทยไปทำงานที่เหมืองแร่เท่าที่พอใจ และคนเหล่านั้นจะได้รับแต่เพียงอาหารเท่านั้น  สินแร่ที่ขุดได้จะนำไปขายให้แก่ผู้รับเหมาชาวจีน  และผลกำไรก็ตกอยู่แก่เจ้าเมือง การน้ำสินแร่ลงมาข้างล่างนั้นบรรทุกมาบนหลังช้างหรือไม่ก็เรือมาด ซึ่งใช้เวลา ๒ หรือ ๓ วัน....อย่างไรก็ตามบรรดานายเหมืองชาวจีนไม่ต้องเสียภาษี  พวกจีนนั้นมักพอในที่จะได้รับประโยชน์จากสิทธิพิเศษภายใต้รัฐบาลสยาม ซึ่งพลเมืองโดยกำเนิดไม่ได้รับ พวกเขาได้รับการยกเว้นหน้าที่ซึ่งชาวสยามทุกคนถูกบังคับให้รับใช้รัฐเมื่อถูกเรียกร้อง ไม่ว่าจะในการเข้ารับราชการทหาร  ช่างฝีมือหรืองานกรรมกรรายวัน ถึงแม้เจ้าเมืองพังงา ถือประโยชน์เอาจากอำนาจที่เขาได้รับและสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองจากค่าใช้จ่ายของบ่าวไพร่ ผู้คนของเขาก็ตามแต่การปกครองของเขายังไม่กดขี่มากเท่ากับการปกครองของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และประชาชนก็ยังมีความผูกพันต่อเขามากกว่า หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือประชาชนไม่เกลียดเขารุนแรงมากเหมือนที่ชาวเมืองนครศรีธรรมราชเกลียดชังเจ้าเมืองของตน บรรดาสตรีที่พังงาเก็บตัวอยู่สันโดษมากกว่าสตรีที่ถลาง ทั้งนี้เพราะพวกผู้ชายในประเทศสยามไม่มีนิสัยอิจฉาริษยาผู้หญิงในประเทศนี้ถูกปล่อยให้มีเสรีภาพมาก แต่ข้อกำหนดที่พวกผู้ชายต้องมีหน้าที่รับใช้บ้านเมืองปีละหลายเดือน พวกผู้หญิงจึงต้องแบกภาระงานหนักต่าง ๆ ที่พวกผู้ชายต้องทำเอาไว้ ฉะนั้นพวกผู้หญิงเหล่านี้ก็ย่อมจำเป็นอยู่เองที่จะต้องหาเลี้ยงตนเอง  ขณะที่สามีของตนไม่อยู่ หญิงพวกนี้ ต้องทำนา ปลูกผัก และทอผ้า  หรือมิฉะนั้นก็ค้าขายในตลาดเล็ก ๆ  เจ้าเมืองพังงามีผู้ช่วย ๒ คน มีรายได้จากแรงงานของประชาชน เท่าที่จะหาได้จาการค้าขายส่วนตัวของเขา และเรียกเอาจากการซื้อขายของบรรดาพ่อค้าต่างด้าวที่เมืองนี้ เจ้าเมืองพังงามีสำเภาจีน ๓ ลำ  ซึ่งไปค้าขายยังปีนัง เรือสำเภาเหล่านี้บรรทุกดีบุก  ข้าว และสิ่งของสินค้าพื้นเมืองเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปยังเกาะปีนัง  ขากลับก็บรรทุกผ้า  ผ้าดอกสีต่าง ๆ สำหรับหุ้มเก้าอี้ เครื่องแก้ว และเครื่องหัตถกรรมอื่น ๆ มา เจ้าเมืองพังงามิได้ถวายเงินแก่พระเจ้าแผ่นดินเป็นประจำ แต่เขาส่งไปถวายเมื่อสิ้นกำหนดทุก ๓ หรือ ๔ ปี หรือมิฉะนั้นก็นำเอาของมีค่าไปถวายพระองค์ แน่นอนทีเดียวพระเจ้าแผ่นดินทรงได้รับผลกำไรทั้งหมด ซึ่งเพิ่มพูนงอกเงยขึ้นจากการขายดีบุก....
           หลังจากปี พ.ศ. ๒๓๕๒ ภัยจากการคุกคามของพม่าลดลงไปมาก มีแต่ส่งกองเรือลาดตระเวนออกมาจับคนเท่านั้น ไม่มีการส่งกองทัพใหญ่มาอีก  เพราะพม่าเริ่มขัดแย้งกับบริษัทอังกฤษในอินเดีย ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ พม่ารบแพ้อังกฤษต้องสูญเสียมณฑลอาระกันและตะนาวศรีให้แก่อังกฤษ  ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ทางฝ่ายรัฐบาลไทยจึงได้ย้ายผู้คนจากพังงาไปตั้งเมืองถลางขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๓๖๗ และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาไชยา (กลับ) ไปเป็นเจ้าเมืองพังงาระหว่างปี พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๓ ต่อมาพระยาไชยา (กลับ) มีความผิดถูกถอดออกเพราะไปสนิทสนมกับกรมหลวงรักษ์รณเรศ  จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) อดีตเจ้าเมืองไทรบุรีมาเป็นเจ้าเมืองพังงา  จึงมีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองส่วนภูมิภาค ทางหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกตอนบนอีกครั้งหนึ่ง คือ ยกเมืองพังงาขึ้นเป็นเมืองโทให้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และโปรดเกล้าฯ ให้เมืองถลาง ตะกั่วทุ่งและตะกั่วป่าขึ้นตรงต่อเมืองพังงา จนกระทั่งพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) ถึงแก่อสัญกรรมในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ โปรดเก้าฯ ให้พระยาเสนานุชิต (นุช) น้องชายร่วมมารดาของพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) อดีตผู้ช่วยราชการเมืองไทรบุรี พังงา และเจ้าเมืองตะกั่วป่า ในขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองพังงา แต่พระยาเสนานุชิต (นุช) ไม่ยอมไปรับตำแหน่งที่เมืองพังงา โดยอ้างว่าเคยชินกับเมืองตะกั่วป่าแล้วจึงขออยู่ที่เดิม ทางฝ่ายรัฐบาลกลางจึงต้องเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองหัวเมืองเหล่านั้นเสียใหม่ กล่าวคือยกเมืองตะกั่วป่าขึ้นเป็นเมืองโทแทนเมืองพังงา โดยมีพระยาเสนานุชิต (นุช) เป็นเจ้าเมือง  แยกเมืองพังงา และถลางออกจากตะกั่วป่า  ยกเป็นเมืองตรี  ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ  โปรดเกล้าฯ ให้พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) บุตรชายคนโตของพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) เป็นเจ้าเมืองพังงาระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๔๐๔-๒๔๓๗
   
       อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๘๓ เป็นต้นมา เมืองพังงาค่อย ๆ ขยายตัวเจริญขึ้นตามลำดับ จาการสนับสนุนส่งเสริมโดยตรงจากกรุงเทพ ดังจะเห็นได้จากบันทึกที่กล่าวว่า... ถอนพระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) มาเป็นเจ้าเมืองพังงา ก็โปรดเกล้าฯ ให้ถอนผู้คนแขกเก่าที่ไว้ในสนิทเคยรับใช้สอยอยู่กับ พระยาไทร (แสง) นั้น ก็จัดแจงให้พระยาไทรมาบ้าง จะได้เป็นกำลังราชการมากขึ้นข้างเมืองพังงา ถ้ามันเป็นคนผิดและไว้ใจมิได้ก็ผ่อนเอาเข้ามาเสีย ให้มีกำลังเมืองไทยอยู่แต่น้อย และกำปั่นเรือรบ เรือไล่ ปืนใหญ่ ปืนน้อย เครื่องศาสตราวุธ ของพระยาไทรมีอยู่เท่าไร ก็ผ่อนจัดแจงให้พระยาไทรมาเสียให้สิ้น... นอกจากนี้ยังมอบอำนาจให้แก่พระยาบริรักษ์ภูธร (แสง) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองพังงา และหัวเมืองชายฝั่งตะวันตกตอนบนหลายเมือง มีศักดินาสูงถึง ๑๐,๐๐๐ ในฐานะเจ้าเมืองโท ความมั่งคั่งรุ่งเรืองของเมืองพังงาไม่ได้เกิดขึ้นจากท้องที่ตัวเมืองแต่ขึ้นกับเมืองขึ้นมากกว่า กล่าวคือบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ดีบุกจริง ๆ นั้น อยู่ที่เมืองถลาง ภูเก็ต และตะกั่วป่ามากกว่าที่พังงา ดังนั้นเมื่อแยกเมืองเหล่านั้นออกไปในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ ฐานะของเมืองพังงาจึงลดเป็นเมืองตรี เจ้าเมืองมีศักดินาลดลงเหลือเพียงราว ๆ ๕,๐๐๐ เท่านั้น ความมั่งคั่งของบ้านเมืองและเจ้าเมืองคงลดลงไปด้วย ดังจะเห็นได้จากในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) เมืองพังงาเคยรับประมูลทำภาษีปีละ ๒๖,๙๖๐ บาท เท่ากับเมืองตะกั่วป่าและมากกว่าเมืองภูเก็ต แต่เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๔๑๕ เงินภาษีเมืองภูเก็ตสูงขึ้นถึงปีละ ๓๓๖,๐๐๐ บาท แต่เมืองพังงากลับสูงขึ้นเล็กน้อยคือรวมปีละ ๒๙,๙๒๐ บาทเท่านั้น และได้โอนภาษีเมืองตะกั่วทุ่งไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่าในปีเดียวกันด้วย ในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสเมืองพังงา ในระยะที่บ้านเมืองสงบได้ทรงบันทึกเกี่ยวกับสภาพของเมืองพังงาในระยะนี้ไว้อย่างน่าสนในว่า...เมืองพังงาไม่เหมือนเมืองอื่นเห็นเขารอบข้างเป็นเขาสูง ๆ ถึงสัก ๘๐๐ ฟิตก็มี ช่องออกไปตะกั่วป่าทาง ๑ ต้องขึ้นเขาสูง ทางไปปากลาวที่ช่องเขานางหงส์ก็เป็นเขาสูงเหมือนกัน เป็นไปมาสะดวกแต่อยู่แต่ตะกั่วทุ่ง...เหมืองดีบุกที่นี่ทำมาช้านาน แต่แร่ที่ดีหมดไปเสียมาก โรยมานานแล้ว เดี๋ยวนี้มีจีนทำอยู่หมดด้วยกัน ๖๐๐ คนเศษ เหมืองใหญ่มีอยู่ ๒ เหมือง คนประมาณ ๓๐-๔๐ คนว่าทำเหมืองครากันโดยมาก...ฝนตกมากกว่าเมืองอื่น ๆ เพราะเขาสูงล่อให้ตกนาข้างเหนือน้ำมักจะดี ข้างใต้แล้วมักจะเสียด้วยล่มน้ำเป็นพื้น ที่นาก็มีน้อยเหมือนเมืองอื่น ๆ ข้าวพม่าเข้าเมืองปีหนึ่ง ๘,๐๐๐ กุหนี หรือ ๕๗๒ เกวียน มากพอใช้ เราชวนให้คิดอ่านปลูกต้นไม้อื่นที่เป็นสินค้าแทนนา พระยาบริรักษ์ (ขำ) เป็นคนแม่นยำและรู้การในบ้านเมืองมากจริง ถามอะไรไม่จนและไม่คลาดเคลื่อน ระวังผิดอย่างเอก...พวกผู้หญิงมาหาคือสุ่นที่พระยาบริรักษ์ (ขำ) กับเป้าน้องที่เฆี่ยนคนตาย เมียชื่ออินเป็นคนในวัง...กับมีพีน้องมาอีกหลายคนด้วยกัน ดูค่อยคล่องแคล่วกว่าพวกตะกั่วป่า...ที่พังงาเขามีผู้หญิงมาก ทำกับข้าวไทยได้ดี ๆ เพราะมักจะเป็นชาววังชุม...ให้ตราจุลสุราภรณ์ พระยาบริรักษ์ (ขำ) เพราะเป็นเจ้าเมืองมานานรู้การงานมากแล้วรักษาถนนรนแคมไม่ทรุดโทรม... จากบุคลิกลักษณะของพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) เจ้าเมืองพังงา ซึ่งเป็นคนละเอียดลออรู้การงานในบ้านเมือง และไม่สนใจสะสมเงินทอง การทำเหมืองมีน้อย จึงไม่กระทบกระเทือนเรื่องผลประโยชน์ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๒-๒๔๓๓ ซึ่งเจ้าเมืองภูเก็ต ตะกั่วทุ่ง ตะกั่วป่า กำลังประสบปัญหาเก็บภาษีส่งรัฐบาลได้น้อยกว่าที่ประมูลไว้ บางรายต้องคืนภาษี เช่น เจ้าเมืองภูเก็ต เป็นต้น และบางรายถูกจับตัวไป กักขังเร่งภาษีบ้าง เช่น ในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ พระเสนานุชิต (นุช) ค้างภาษีรัฐบาลกลางติดต่อกัน ๗ ปี เป็นเงิน ๒๘๓,๓๑๕ บาท จึงถูกเรียกตัวไปเร่งเงินภาษีที่ภูเก็ต แต่ปรากฏว่าเจ้าเมืองพังงาคือพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ซึ่งในขณะนั้นแก่ชราแล้วสายตามืดมัวทั้ง ๒ ข้าง สามารถนำเมืองพังงาผ่านมรสุมต่าง ๆ ไปได้ จนกระทั่งเริ่มมีการปฏิรูปการปกครองมณฑลภูเก็ตในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ พระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ก็ถึงแก่อสัญกรรม การแบ่งท้องที่ในเมืองพังงาออกเป็นอำเภอและตำบลต่าง ๆ ตามระบบการปกครองแบบใหม่ จึงตกเป็นหน้าที่ของพระเพชรภักดีศรีพิไชยสงครามฯ (พลาย) พระปลัดเมืองพังงา น้องชายพระยาบริรักษ์ภูธร (ขำ) ในการแบ่งท้องที่ครั้งนั้นได้โอนเมืองตะกั่วทุ่งมาเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองพังงา และจัดแบ่งเมืองพังงาออกเป็น ๔ อำเภอ ๒๔ ตำบล ประกอบด้วยอำเภอกลางเมือง มี ๑๒ ตำบล ได้แก่ตำบลท้ายช้าง ตลาดใหญ่ ฝ่ายท่าตากแดด นบปริง ป่าก่อ ทับแหวน เผล่ ทุ่งคาโงก บางเตย เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ อำเภอทุ่งมะพร้าว มี ๖ ตำบล คือตำบลทุ่งมะพร้าว ลำภี ลำแก่น ท่าซ่อ นาเตย บางคลี อำเภอทับปุดมี ๗ ตำบล คือตำบลคลองมะรุ่ย เขาเต่า โคกซอย ใสเสียด บางเหรียง บ่อแสน แลถ้ำทองหลาง อำเภอตะกั่วทุ่งมี ๘ ตำบล คือกระโสม ถ้ำกระไหล ท่าอยู่นากลาง โคกกลอย บางหลาน คลองตะเคียน และบางทอง ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองพังงาเป็นจังหวัดพังงา และเปลี่ยนตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ต่อมาเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) ได้ยุบตะกั่วป่าซึ่งมีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งลงในอำเภอไปขึ้นกับจังหวัดพังงา และย้ายที่ตั้งศาลากลางจังหวัดจากที่เดิม ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านชายค่ายไปตั้งที่บ้านท้ายช้าง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ และปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้ย้ายไปตั้งที่ใหม่ที่หน้าถ้ำพุงช้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดปัจจุบัน (ปัจจุบันอาคารดังกล่าวถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เมืองพังงาส่วนอาคารศาลากลางได้สร้างใหม่อยู่บริเวณหน้าเขารุปช้าง)  ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ อำเภอเมืองก็เปลี่ยนเป็นอำเภอท้ายช้าง  และกลับมาเรียกว่าอำเภอเมืองพังงา อีกในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้


ภาพจาก : https://link.psu.th/RqtF5M


ภาพจาก : https://link.psu.th/M3Rrg4


ศาลากลาง (เก่า)
ภาพจาก : ทรัพยากรการท่องเที่ยวไทยชุดภาคใต้ : พังงา, ๒๕๕๖, ๘๙

         ศาลากลาง (เก่า) จังหวัดพังงา หรือศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ถนนเพชรเกษม อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา สร้างเมื่อพ.ศ. ๒๔๗๓ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) เป็นอาคารตึกชั้นเดียวทรงปั้นหยา กึ่งกลางอาคารด้านหน้าต่อเป็นมุข เปิดโล่ง ด้านหน้าอาคารเป็นระเบียงยาวตลอดตัวอาคาร ปลายปีกอาคารทั้งสองข้างจัดเป็นห้องโถงใหญ่ เสาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ฝาผนังก่ออิฐถือปูนพื้นอาคารเป็นไม้เนื้อแข็ง หลังคาปูด้วยกระเบื้อง มีพื้นที่ ๒๐,๘๐๐ ตารางเมตร (๑๒ ไร่ ๓ งาน ๕.๗ ตารางวา) กรมศิลปากร ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ พื้นที่ ๔,๘๐๐ ตารางเมตร (๒ ไร่ ๓ งาน ๐.๙ตารางวา)

          ชื่อบ้านนามเมือง
           
- อำเภอเมืองพังงา
           
คำว่าพังงามาจากนิทานพื้นบ้านของชาวพังงาคือเรื่องตายมดึงตามช้าง โดยเล่ากันว่าตายมดึงผู้นี้เป็นพี่ชายของนางยมโดย ลูกชายตาม่องล่ายและยายรําพึง (ตํานานของหาดทรายและเกาะต่าง ๆ แถบจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) ตายมดึงลากหอกอาวุธคู่มือไปทางเขาสก (ปัจจุบันเขาสกอยู่ในเขตอําเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ผลจากการลากหอกทําให้แผ่นดินแยกเป็นทางน้ํา หมู่บ้านนั้นจึงเรียกว่า “บางลากหอก” (คําว่าบางหมายถึงทางน้ําเล็ก ๆ ที่แยกจากลําคลอง) ในที่สุดตายมดึง ก็ใช้หอกแทงตรงพุงช้าง แล้วเอาตับไตไส้พุงใส่หม้อแกงเพื่อต้มกินหมู่บ้านนี้จึงมีชื่อว่า “วังหม้อแกง” (วังในที่นี้หมายถึงแอ่งน้ําลึก) จากนั้นตายมดึงก็นํางาช้างไปพิงไว้ที่ริมภูเขา จึงเรียกภูเขาลูกนั้นว่า “เขาพิงงา” คําว่า “พิงงา” คือชื่อภูเขาลูกนี้ต่อมากลายเสียงเป็นพังงา และเป็นชื่อของจังหวัดพังงามาจนทุกวันนี้
             - อำเภอ
กะปง
       
      ชื่ออําเภอนี้มาจากคํามลายูว่า “กําปง” (Kampung) แปลว่าหมู่บ้าน กําปงนี้เป็นภาษาเขมร ซึ่งแปลว่าท่าน้ํา ส่วนกําปงที่มาจากคํามลายูมาจาก “กัวลาปุงฆะห์” หรือ “กราปุงฆะห์” (Kuala Punggah) คําว่า “กัวลา" หรือ "กรา” แปลว่าปากน้ํา ส่วนคําว่า “ปุงฆะห์ แปลว่าขนสินค้าขึ้นจากเรือ ซึ่งคําคํานี้เมื่อออกเสียงอย่างรวดเร็ว คําท้ายก็ จะหายไปกลายเสียงเป็น “ปง” ดังนั้น กัวลาปงหรือกระปง จึงหมายถึงปากน้ําที่เป็นที่ขนสินค้าขึ้นจากเรือ ในอําเภอกะปงมีเขาพระนารายณ์ ตั้งอยู่ที่ตําบลเหล ซึ่งเคยเป็นที่ พบเทวรูป เช่น พระนารายณ์ พระศิวะ พระอุมา ซึ่งแสดงถึงร่องรอยอารยธรรมอินเดียเข้ามาสู่ภาคใต้ในยุคนั้น
           - อำเภอคุระบุรี
            
คุระมาจากคํามลายูว่า “กัวลา” หรือ “กระ” (Kuala) หมายถึงปากน้ํา อําเภอคุระบุรี จึงหมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ตรงปากน้ํา 
เดิมชื่ออําเภอเกาะคอเขาตั้งที่ว่าการอําเภออยู่ที่ตําบลเกาะคอเขา (บนเกาะ) ภายหลังยุบเป็นกิ่งแล้วย้ายที่ว่าการถึงมาตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดิน ที่บ้านทุ่งนานางย่อนตําบลคุระ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นกิ่งอําเภอคุระบุรี คือตั้งชื่อตามชื่อตําบลที่ตั้งที่ว่าการกิ่ง ต่อมาเติมคําว่าบุรีเข้าไปด้วยเพื่อให้หรูหราขึ้น ต่อมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงได้ตั้งเป็นอำเภอเดิมคุระบุรี (กิ่งอําเภอคอเขาต่อมาย้ายตัวอําเภอมาตั้งที่ตําบลคุระ จึงเปลี่ยนชื่อเป็นกิ่งอําเภอคุระ เมื่อยกฐานะเป็นอําเภอจึงเติมคําว่าบุรีเข้าไปเป็นคํามลายูรวมกับคําไทย คุระตําบลที่ตั้งอําเภอคุระบุรี) ชื่อนี้มีประวัติมาตั้งแต่โบราณคือเดิมเป็นชื่อของเมืองกราตักโกละ (ปากน้ำตะกั่วป่า) เมื่อเมืองกราต้กโกละ (บ้านทุ่งตึกร้างบนเกาะคอเขา) ล่มจมไป เพราะถูกโจรสลัดปล้นสะดมทําลายลงใน พ.ศ. ๑๕๖๘ แล้ว ชาวเมืองก็ได้พากันอพยพหนีมาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นใหม่ ที่ปากน้ำนางย่อนเรียกว่าเมืองกระตามเดิม เพราะอยู่ตรงปากน้ำเหมือนเดิม ในตอนนั้นเมืองนี้คงจะอยู่บนพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นเกาะเรียกว่าเกาะระหรือเกาะรา ซึ่งสมัยนั้นคงจะยังเป็นส่วนของแผ่นดินอยู่ ต่อมาเมื่อผืนแผ่นดินตอนนั้นถูกแยกออกไปเป็นเกาะ (เช่นเดียวกันกับเกาะคอเขาซึ่งแยกออกจากแผ่นดินใหญ่ตรงปากน้ำตะกั่วป่า) แล้วเมืองกระที่เกาะระก็ต้องขยับขยายไปตั้งอยู่ในที่ซึ่งกลายเป็นปากน้ำขึ้นใหม่ และก็คงจะเรียกกันว่าเมืองกระ คือเมืองปากน้ำตามเดิมภายหลังนาน ๆ เข้าก็เลยเพี้ยนเป็นคุระไป เมืองคุระนี้ปรากฏชื่อเป็นเมืองขึ้นของเมืองตะกั่วป่า มาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) เกาะระหรือเกาะราหรือกุราชื่อเกาะอยู่ในตําบลเกาะพระทองในเขตอําเภอ คุระบุรี สันนิษฐานว่าเดิมคงเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ เป็นที่ตั้งของเมืองที่ชื่อเมืองกระ เมื่อแยกออกเป็นเกาะชื่อเมืองกระจึงติดมาเรียกเป็นเกาะระหรือเกาะราอยู่จนปัจจุบัน หนังสือสมัยโบราณเขียนชื่อเมืองนี้ว่าก็ระหรือก็รา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคําเดียวกันกับกระหรือกรา แต่อ่านออกเสียงได้ว่าเกาะระหรือเกาะรา เมืองกรานี้ก็มีชื่อเป็นเมืองขึ้นเมืองตะกั่วป่ามาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๒ เช่นเดียวกับเมืองคุระ ช่องทางเดินเรือเข้าปากแม่น้ําตะกั่วป่าเรียกว่า “ปากกุรา” คือระหว่างหมู่เกาะระ เกาะพระทองกับฝั่งอําเภอคุระบุรี โดยเฉพาะชื่อปากกราหมายถึงปากแม่น้ํา เพราะกุรามาจากคํามลายูว่า “Kuala” แปลว่าปากแม่น้ํา ส่วนคําว่า “เกาะรา” หรือ “เกาะระ” ในเอกสารโบราณเขียนเป็น “ก็ระ” หรือ “ก็ รา” ล้วนมาจาก “กุระ” หรือ “กุรา” ซึ่งในคํามลายูมีความหมายดังกล่าวข้างต้น ชื่อหัวเมืองฝั่งอันดามันในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เช่น ถลางบางคลี ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่ง เกาะรา คูระ คูรอด พังงา ส่วนใหญ่มาจากคํามลายูคือคําว่า “กัวลา” หรือ “กรา” (Kuala) ที่มีความหมายว่าปากน้ํา ซึ่งเป็นคําบอกลักษณะทําเลที่ตั้งเชิงภูมิศาสตร์ ยกเว้นแต่ “คูรอด” น่าจะมาปากกุรา ช่องระหว่างหมู่เกาะระเกาะพระทองกับฝั่งตรงตําบลคุระ เป็นช่องทางเดินเรือเข้าปากน้ำตะกั่วป่า ปรากฏอยู่ในระยะทางเสด็จพระราชดําเนินปี พ.ศ. ๒๔๓๓ อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า... ปากอ่าวที่เข้าเมืองตะกั่วป่าเรียกปากกุรา ที่ปากน้ำเมืองตะกั่วป่ามีเกาะใหญ่ ๆ ตั้งต่อ ๆ กันบังตลอดมีช่องซึ่งจะเข้าไปได้เป็น ๔ ช่อง ช่องที่ ๑ ข้างเหนือคือปากกุระเป็นระหว่างเกาะกรากับฝั่ง ช่องที่ ๒ เรียกว่าปากฉีกเป็นช่องปากกรากับเกาะพระทองต่อกัน ช่องที่ ๓ เรียกว่าปากบนส่วนเป็นระหว่างเกาะพระทองกับเกาะปั่นส่วน ช่องที่ ๔ นั้นเรียกคลองบ้านม่วง กราก็คือเกาะราหรือคุระะนั้นเอง ซึ่งความจริงก็แปลว่าปากอยู่ในตัวเองแล้วแต่ก็ยังได้ใช้คําว่าปากซ้อนลงไปอีกเป็นปากปากแบบเดียวกันกับคําว่าภูเขา ซึ่งคําว่าภูก็แปลว่าเขาเหมือนกัน ส่วนเกาะในส่วนนั้นคงจะเป็นชื่อเดิมของเกาะคอเขา
         - อำเภอตะกั่วทุ่ง
            ตะกั่วทุ่ง ชื่อนี้ถ้าเป็นคํามลายูอินโดนีเซียมาจากคําว่า “กัวลาตุงกังหรือกราตุงกัง คําว่ากัวลาหรือกรา” (Kuala) แปลว่าปากน้ำ ส่วนคําว่า “ตุงกัง” (Tunggang) แปลว่าทางลาดชัน เมื่อรวมความแล้วหมายถึงปากน้ำที่มีทางเดินลาดชัน คําว่าตุงกังเมื่อออกเสียงสั้น ๆ  และรวดเร็วจะเหลือแต่คําหน้าคือตุง และต่อมาปรับ
เสียงอย่างคําไทยกลายเป็น “ทุ่ง” แต่ถ้าเป็นคําไทยโดยตรงน่าจะหมายถึงแร่ ตะกั่วที่อยู่ในดินหินในท้องทุ่งซึ่งคู่กับตะกั่วป่า หมายถึงแร่ตะกั่วที่อยู่ในดินหินที่เป็นบริเวณป่าดง เมืองตะกั่วทุ่งเดิมอยู่ที่เขตตําบลนาเตย อําเภอท้ายเหมืองปัจจุบัน ภายหลังแยกออกมาตั้งเป็นเมืองบางคลี เมื่อเกิดสงครามพม่าตีเมืองถลาง ปรากฏว่าผู้คนอพยพมาอยู่ริมทะเลด้านในคือบ้านกะโสมและบ้านบางคลี ต่อมาเมื่อสงครามสงบ ทางการจึงตั้งเมืองตะกั่วทุ่งที่บ้านกะโสม และบางคลี เป็นเมืองขึ้นของเมืองตะกั่วทุ่ง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้ลดฐานะเมืองตะกั่วทุ่งให้ไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า ต่อมาภายหลังเมืองตะกั่วทุ่งถูกยุบรวมกับเมืองพังงา และมีฐานะเป็นอําเภอตะกั่วทุ่งมาจนทุกวันนี้
        
อำเภอตะกั่วป่า
         
ตะกั่วป่านี้สันนิษฐานกันว่าเป็นชื่อเดียวกับเมืองตะโกลาหรือตักโกลา ซึ่งมีปรากฏในคัมภีร์มหานิทเทสและมิลินทปัญหา ซึ่งอยู่ช่วงปี พ.ศ. ๕๐๐ คำว่า "ตักโกลา" แปลว่าต้นกระวาน เป็นพันธุ์ไม้จําพวกเครื่องเทศ มักขึ้นในป่าดิบชื้น ผลมีกลิ่นหอมฉุน ใช้ปรุงอาหารและทํายา เมืองตักโกลาตั้งอยู่ตรงบริเวณปากน้ำหรือตรงบริเวณเกาะคอเขา ซึ่งเป็นท่าเรือสําคัญ ต่อมาตักโกลาถูกพวกโจฬะ อินเดียใต้โจมตีและเผาเมือง จนกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด ต่อมาปรากฏชื่อเมืองตะกั่วถลาง จากเอกสารตํานานเมือง นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นชุมชนที่พัฒนาขึ้นจากทรัพยากรสําคัญคือแร่ดีบุก ในยุคนั้นแร่ชนิดนี้เรียกว่าตะกั่วดํา ฉะนั้นชื่อเมืองตะกั่วถลาง อาจหมายถึงเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่งและเมืองถลาง ซึ่งต่างเป็นเมืองสําคัญริมฝั่งทะเลอันดามัน คำว่า "ตะกั่วป่า" ถ้าเป็นคําไทยหมายถึงตะกั่วที่ขุดได้จากดิน แต่เมื่อพิจารณาจากคํามลายูแล้ว ตะกั่วป่าน่าจะมาจากกัวลาปาเซร์ (Kuala Pasir) (กัวลาหรือกราคือปากน้ำ ส่วนปาเซร์คือดินทราย) รวมความแล้วหมายถึงปากน้ำที่มีดินทรายคือปาเซร์ ภายหลังรวบเสียงเป็นปาและป่าตามลําดับ คําว่า "ปา" หรือ "ป่า" จากคําตะกั่วป่า ในพจนานุกรมภาษามลายู-ภาษาไทย ยังมีคําว่าปามะห์ (Pamah) หมายถึงที่ราบลุ่มหรือทุ่งหญ้า รวมทั้งคําว่าปาดัง (Padang) หมายถึงทุ่งหญ้า ที่ราบ ดังนั้นคําว่าปามะห์หรือปาดัง เมื่อรวบเสียงแล้วกลายเป็นปาหรือป่าได้ เมืองตะกั่วป่าเคยขึ้นกับเมืองถลาง ต่อมาขึ้นกับเมืองพังงา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) มีการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล ซึ่งจากเดิมเมืองตะกั่วป่าเป็นหนึ่งในหัวเมืองของมณฑลภูเก็ต ครั้นมีการปกครองหัวเมืองจึงเปลี่ยนเป็นจังหวัด ปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ ๗ มีปัญหาเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ทางการจึงจําเป็นต้องยุบจังหวัดเป็นอําเภอ จังหวัดฝั่งทะเลตะวันตกที่ เข้าเกณฑ์จึงถูกยุบมี ๒ จังหวัด คือพังงาและตะกั่วป่า ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด พระยาศรีสกลไกรนุชิต ผู้ว่าราชการจังหวัดตะกั่วป่า เข้าประชุมล่าช้าไม่ทันกําหนดเวลา เนื่องจากการคมนาคมช่วงนั้นไม่สะดวก ถนนอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง เมื่อพระยาศรีสกลไกรนุชิตไปถึงที่ประชุม คณะกรรมการลงมติให้ยุบจังหวัดตะกั่วป่าเป็นอําเภอเสียแล้ว
โดยปราศจากเสียงคัดค้านแต่อย่างใด ในที่สุดอําเภอตะกั่วป่าจึงขึ้นกับจังหวัดพังงามาจนทุกวันนี้
      
อำเภอทับปุด
         
ท้บปุดนี้เมื่อแยกคําออกมาจะได้ คือ "ทับ" หมายถึงกระท่อม ส่วนคําว่า "ปุด" หมายถึงพืชจําพวกต้นข่าแต่โตกว่า ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ปุดนา ปุดช้าง เมื่อรวมความแล้วทับปุด จึงหมายถึงบริเวณกระท่อมที่พักในช่วงแรกที่ตั้งชุมชนขึ้นใหม่ ๆ มีต้นปุดขึ้นเป็นจํานวนมาก ภายหลังจึงเรียกว่าบ้านทับปุด ต่อมายกฐานะเป็นอําเภอทับปุด
       
อำเภอท้ายเหมือง

       อําเภอท้ายเหมืองเดิมชื่อว่าอําเภอทุ่งมะพร้าว เพราะตั้งตัวเมืองอยู่ ที่ตําบลทุ่งมะพร้าว ยุคนั้นชาวบ้านมักไปร่อนแร่หรือหาแร่ดีบุกบริเวณท้ายรางเหมือง ต่อมานาน ๆ เข้าก็เกิดชุมชนตรงนั้นเรียกว่า ท้ายเหมือง ทางราชการจึงจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน ตําบลและอําเภอท้ายเหมืองตามลําดับ 
  
         แหล่งท่องเที่ยว
         - กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิต
       
กำแพงค่ายพระยาเสนานุชิตหรือกำแพงค่ายตะกั่วป่า ถนนอุดมธารา ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สร้างในสมัยพระยาเสนานุชิต (นุช) เป็นผู้ว่าราชการเมืองตะกั่วป่า เป็นกำแพงค่ายป้องกันศัตรู โดยสร้างล้อมรอบจวนที่พำนัก ก่อด้วยกรวดทรายผสมปูนล้วน ไม่ก่ออิฐสอปูนอย่างกำแพงทั่วไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) เสด็จพระราชดำเนินที่ตะกั่วป่าและได้ทอด พระเนตรกำแพงค่ายแห่งนี้เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๓ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ พวกอั้งยี่ พวกโฮเซ่งกับอั้งหินในเมืองตะกั่วป่าสู้รบกัน ผู้คนหนีภัยมาอยู่ในกำแพงค่าย รวมทั้งพวกอั้งยี่ที่สู้ไม่ได้ก็หลบหนีมาอยู่ในกำแพงค่ายเช่นกัน ผลจากการสู้รบทำให้การผลิตแร่ดีบุกชะงัก เพราะคนจีนจำนวนมากอพยพกลับประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจของหัวเมืองภาคใต้ซบเซา บวกกับราคาดีบุกตกต่ำทำให้เมืองตะกั่วป่าลดความสำคัญลงกำแพงค่ายจึงถูกทิ้งรกร้าง

                - เกาะกูดูใหญ่
           
  เกาะกูดูใหญ่ ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ทางทิศเหนือของเกาะยาวน้อยเป็นเกาะหินปูนขนาดเล็ก มีพื้นที่ ๐.๔๐๘ ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่เป็นภูเขาทางทิศใต้ ของเกาะมีหาดทรายหลายแห่งบางแห่งมีแนวเขาอ้อมมาล้อมรอบทำให้มีลักษณะเหมือนห้องเล็ก ๆ บรรยากาศเงียบสงบ เกาะกูดูใหญ่มีพื้นที่แนวปะการัง ๐.๓๙ ตารางกิโลเมตร อยู่ด้านทิศตะวันออกเป็นแนวปะการังริมฝั่งค่อนข้างแคบ ยกเว้นในอ่าวแนวปะการังก่อตัวหนาแน่น ที่ระดับความลึก ๔ เมตร ปะการังส่วนใหญ่มีสภาพสมบูรณ ทางทิศตะวันตกมีแนวปะการังขึ้นบนโขดหิน บริเวณร่องน้ำระหว่างเกาะกูดูเล็ก ปะการังที่พบได้แก่ปะการังโขด ปะการังช่องเล็กแบบแผ่นเคลือบ ปะการังดาวใหญ่ และพบสัตว์ทะเลหลายชนิด

            - เกาะไข่นอก
       
       เกาะไข่นอก ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ ๐.๐๓๓ ตารางกิโลเมตร (๖ ไร่) บนเกาะเป็นภูเขาสูงที่เชื่อมต่อกับหาดทราย ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก หาดทราย กว้าง ทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสะอาด มีทุ่นแสดงแนวเขตที่นักท่องเที่ยวสามารถ ลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เกาะไข่นอกมีแนวปะการังขึ้นรอบเกาะเป็นกลุ่ม ๆ บนพื้นทราย รวมพื้นที่แนวปะการัง ๐.๒๙ ตารางกิโลเมตร พบแนวปะการังหนาแน่นทางทิศตะวันออกและทิศใต้ ส่วนใหญ่มีสภาพสมบูรณ์ดีทั้งปะการัง โขดและปะการังเขากวาง นอกจากนี้ยังพบมวลฝูงปลาทะเลขนาดเล็กทั้งปลาสลิดทะเล ปลาสลิดหิน ปลาเก๋า ปลานกแก้ว ปลานก ขุนทอง ปลาผีเสื้อ และฉลามครีบดำ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยว ชมเกาะไข่นอกได้แบบไปเช้าเย็นกลับ การเดินทางทำได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่คลื่นลมสงบ

            - เกาะไข่ใน
            
 เกาะไข่ใน ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ ๐.๐๑๔ ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไข่นอก มีหาดทราย สามารถเดินได้รอบเกาะ ด้านทิศเหนือหาดทรายกว้างมาก ส่วนด้านทิศตะวันตกหาดทรายแคบยาว ทางทิศตะวันออกมีโขดหิน ขนาดใหญ่อยู่หน้าหาด หาดทรายบนเกาะไข่ มีสีขาวสะอาด ทรายละเอียด มีความลาดชันต่ำ ตลอดแนวชายหาดมีร้านอาหารและ เก้าอี้ผ้าใบให้บริการ แนวปะการังของเกาะไข่ในก่อตัวขึ้นรอบเกาะ พื้นที่รวม ๐.๓๐ ตารางกิโลเมตร ทางทิศเหนือมีแนวปะการังขึ้นมีสภาพสมบูรณ์ดีที่สุด พบปะการังเขากวางและปะการังสีน้ำเงิน ทางตอนเหนือของเกาะพบปะการังอ่อน สัตว์ทะเลที่พบได้แก่ ปลิงทะเล ดาวทะเล ดอกไม้ทะเล ปลาสลิด หินลายบั้ง ปลาสลิดหินม้าลาย ปลาการ์ตูน ปลาเขียวพระอินทร์ ปลานกแก้ว ปลากะรัง-ลายนกยูง และปลาผีเสื้อลายแปดขีด เป็นต้น

           - เกาะคอเขา
       
    เกาะคอเขา ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดใหญ่มีพื้นที่ ๖๗.๗๔ ตารางกิโลเมตร (๔๒,๐๐๐ ไร่) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเกาะระ-เกาะ พระทอง ทิศเหนือติดกับเกาะพระทอง เกาะนี้มีลักษณะเป็นพื้นที่ราบไม่มีภูเขาสูง มีสังคมพืชหลายแบบคือป่าชายเลนและป่าชายหาด ด้านทิศตะวันตกของเกาะมีป่าชายเลนผืน ใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ พันธุ์ไม้ชายเลนที่พบมาก คือต้นโกงกางใบใหญ่ โกงกาง ใบเล็ก ตะบูนขาว ตะบูนดำ ถั่วขาว ถั่วดำ แสมขาว สัตว์ที่อยู่บริเวณชายเลนที่พบ คือ ปลาตีน ปูก้ามดาบ ปูแสม เป็นต้น ทิศตะวัน ออกของเกาะติดทะเลอันดามัน มีลักษณะ เป็นชายหาดยาวต่อเนื่องกันไปจนถึงทิศใต้ยาวกว่า ๑๗ กิโลเมตร หาดทรายไม่กว้างมาก ความชันน้อยลักษณะทรายสีทอง สวยงาม หาดที่เกาะคอเขานี้ค่อนข้างเงียบ สงบ มีที่พักตากอากาศและร้านค้าอยู่ริมชายหาด

           - เกาะช่องลัดน้อย     
            เกาะช่องลัดน้อย ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ ๐.๐๑๗ ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทาง ทิศใต้ของเกาะช่องลัดใหญ่ มีโขดหินเชื่อม ต่อออกมาทางทิศเหนือของเกาะ บนเกาะมีหาดทรายขนาดเล็กมาก จึงไม่เป็นที่นิยมในการลงเล่นน้ำทะเลมากนักแนวปะการังเกาะช่องลัดน้อยก่อตัวขึ้น ทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นแนวปะการังขึ้นบน โขดหินมีความสมบูรณ์ดี ด้านทิศตะวันออกของเกาะมีแนวปะการังริมฝั่งก่อตัวตลอด ความยาวเกาะมีความสมบูรณ์ปานกลาง ปะการังที่พบ ได้แก่ปะการังโขด ปะการังเขา กวาง ปะการังโต๊ะ และยังพบสัตว์ทะเลได้อีก หลายชนิด

            - เกาะช่องลัดใหญ่
       
    เกาะช่องลัดใหญ่ ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา อยู่ทางทิศใต้ของเกาะยาวใหญ่ มีพื้นที่ ๐.๑๖๙ ตาราง กิโลเมตร ลักษณะของเกาะคล้ายรูปสามเหลี่ยมมีฐานสามเหลี่ยมอยู่ทิศเหนือปลายแหลมอยู่ทางทิศใต้ บนเกาะมีป่าไม้ขนาดใหญ่และมีชายหาดยาวอยู่ทางทิศเหนือ ส่วนทางทิศใต้ฝั่งตะวันตกมีชายหาดขนาดเล็ก ลักษณะทรายของชายหาดเกาะช่องลัดใหญ่เป็นทรายสีทอง ชายหาดมีความลาดชันต่ำสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย หัวแหลมทางทิศใต้ขอบฝั่งเป็นแนวหินแนวปะการังริมฝั่งก่อตัวได้รอบเกาะพบปะการังขึ้นตามพื้นทราย บริเวณหัวแหลมทิศตะวันตกเฉียงใต้ปะการังขึ้นบนโขดหิน ที่ระดับความลึก ๑๐ เมตร ปะการังมีความสมบูรณ์ดี ส่วนใหญ่พบปะการังสมองร่องใหญ่ ปะการังดาวใหญ่ ปะการัง โขด และปะการังเขากวาง

            - เกาะตาชัย
             เกาะตาชัย ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ตำบลลำแก่น อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ถูกพบครั้งแรกโดยชายที่ชื่อตาชัย จึงเป็นที่มาของชื่อเกาะตาชัย เป็นเกาะที่มีชายหาดทรายเม็ดขาวละเอียด เนื้อนุ่มเหมือนแป้งทอดตัว ขนานกับชายฝั่งยาว ๗๐๐ เมตร มีแนวปะการังที่สวยงามและค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น ปะการังแข็ง ปะการังอ่อนสีแดง เป็นต้น และความสมบูรณ์ของแนวปะการังทำให้เกาะตาชัยอุดมไปด้วยปลาทะเลน้อยใหญ่ หากโชคดีอาจได้พบฉลามวาฬ กระเบน-ราหู และกระเบนนก นอกจากสัตว์ใต้ทะเลแล้ว สัตว์บกที่หาดูยากและอาศัยอยู่บนเกาะตาชัยคือปูไก่ เป็นปูน้ำจืดชอบอาศัยอยู่ตามลำธารในป่า ลำตัวมีสีแดงสด มีก้ามสีดำ เหลือบน้ำเงิน ออกหากินในเวลากลางคืน เวลาร้องจะมีเสียงจิ๊บ ๆ คล้ายไก่ จึงเป็นที่มาของชื่อปูไก่ 

            - เกาะนอก
       
      เกาะนอก ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ ๐.๐๒๖ ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากเกาะยาวน้อยไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร ชายหาดของเกาะอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลักษณะเป็นหาดกว้างมีความลาดชันต่ำ น้ำทะเลใส ทรายเป็นสีทอง พบสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ริม ชายหาดและบริเวณน้ำตื้น ได้แก่ปูทหาร ปูเสฉวน หอยขนาดเล็กและปลาทะเลสีสันสดใส 

             - เกาะบางู
        
     เกาะบางูหรือเกาะเก้า ตำบลเกาะ พระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เป็นเกาะที่เก้าของหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีพื้นที่ ๐.๖๗๒ ตารางกิโลเมตร วางตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตก เกาะนี้ไม่มีหาดทรายชายฝั่งส่วนใหญ่เป็นฝั่งโขดหินที่หักชันลงไปในน้ำแนวปะการังก่อตัวขึ้นรอบเกาะ เป็นแนว ปะการังแบบริมฝั่ง มีพื้นที่รวม ๐.๒๙ ตาราง กิโลเมตร ทิศตะวันออกแนวปะการังก่อตัวเป็นกลุ่มบนพื้นทรายถึงความลึก ๑๘ เมตร ส่วนทิศเหนือและทิศใต้พบปะการังที่ความลึก ๑๑ เมตร เป็นปะการังกลุ่มใหญ่สลับกับพื้นทราย ปะการังที่พบได้แก่ปะการังโขด ปะการังนิ้วมือผิวขรุขระ ปะการังเขากวาง และปะการังไฟแบบกิ่ง เป็นต้น สัตว์ทะเลที่พบได้แก่กุ้งมังกร กุ้งมดแดง ปลิงทะเล ดาวทะเล ดาวขนนก และปลาทะเลหลายชนิด เกาะบางูมีจุดดำน้ำที่ได้รับความนิยมอยู่ทางทิศเหนือ เช่น คริสต์มาสพอยท์ (Christmas Point) และทรีทรี (Three tree) ทั้งสองจุดดำน้ำมีแนวปะการังน้ำตื้นใกล้ เกาะสลับกับกองหินขนาดใหญ่ใต้น้ำวางตัวซ้อนกันเกิดเป็นช่องขนาดใหญ่ นักดำน้ำว่าย ลอดได้ มีจุดเด่นคือช่องนางแบบเป็นก้อน หินมีลักษณะเป็นช่องคล้ายกรอบรูป ด้านข้างมีปะการังอ่อนประดับอยู่โดยรอบ

         - เกาะโบยน้อย     
 
         เกาะโบยน้อยหรือเกาะโบยอยู่เหนือตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะโบยใหญ่ มีพื้นที่ ๐.๕๗ ตารางกิโลเมตร ลักษณะเป็นภูเขาหินปูน มีป่าไม้หนาแน่น ทางทิศตะวันออกของเกาะเป็นโขดหินแนวปะการังก่อตัวได้รอบเกาะ พื้นที่รวม ๐.๒๒ ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันออกมีแนวปะการังน้ำตื้นที่ความลึก ๐.๕ เมตร ทิศตะวันตกมีแนวปะการังอยู่ที่ความลึกสูงสุด ๒.๕ เมตร ปะการังที่พบมากได้แก่ปะการังดอกไม้ทะเล ปะการังสมองร่องสั้น ปะการังช่องเหลี่ยม ปะการังโขด ปะการัง เขากวาง กัลปังหา และมีสัตว์ทะเลสีสันสวยงามอีกหลายชนิด  ระหว่างเกาะโบยน้อยและเกาะโบยใหญ่ ยังมีเกาะขนาดเล็กคือเกาะทองและ เกาะแดง ทั้งสองเกาะมีแนวปะการังแบบริม ฝั่งขึ้นอยู่รอบเกาะเช่นกัน แต่เป็นแนว ปะการังที่ค่อนข้างเสื่อมโทรม ปะการังที่พบได้แก่ ปะการังดอกไม้ทะเล ปะการังเขากวาง ปะการังดอกจอก เป็นต้น

          - เกาะโบยใหญ่
         
   เกาะโบยใหญ่หรือเกาะโบยใต้ ตำบลเกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะยาว น้อย ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา มีขนาด ๒.๓ ตารางกิโลเมตร บนเกาะมีป่าอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ บริเวณที่ราบทิศตะวันออกเป็นป่าโกงกางพันธุ์ไม้ที่พบได้แก่โกงกางใบใหญ่ โกงกางเล็ก และแสม เป็นต้น ทางทิศใต้ของเกาะมีหาดทรายค่อน ข้างยาว ทรายมีสีขาวไม่ละเอียดมีเปลือกหอยปน ทัศนียภาพรอบเกาะสวยงามเหมาะกับการนั่งเรือชมทิวทัศน์ แนวปะการังรอบเกาะโบยใหญ่มีพื้นที่รวม ๐.๘ ตารางกิโลเมตร อยู่ในสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงเสื่อมโทรม ส่วนที่มีความสมบูรณ์ปานกลางอยู่ด้านทิศตะวันตกของเกาะ เป็นกลุ่มปะการังน้ำตื้นที่ความลึก ๐.๕ - ๑.๕ เมตร ทางทิศเหนือปะการังขึ้นที่ความลึกที่สุด ๓.๕ เมตร ส่วนแนวปะการังเสื่อมโทรมอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากป่าชายเลนบนเกาะโบยใต้และเกาะยาวน้อย ปะการังที่พบได้แก่ปะการังดอกไม้ทะเล ปะการังสมองร่องใหญ่ ปะการังโขด ปะการังจาน และพบสัตว์ทะเลได้แก่ ปลาสินสมุทร ปลาการ์ตูน และปลานกแก้ว เป็นต้น

           - เกาะปันหยี
         
     เกาะปันหยี ตำบลเกาะปันหยี อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา อยู่ในอ่าวพังงา ลักษณะเป็นเกาะภูเขาหินปูน มีพื้นที่ ๐.๑๒ ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งชุมชนมุสลิมเก่าแก่กว่า ๒๐๐ ปี บรรพบุรุษชาวเกาะปันหยีเป็นชาวมลายูที่อพยพมาทางเรือ โต๊ะบาบูผู้ค้นพบเกาะนี้ได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขาแล้วปักธง ไว้เพื่อให้ผู้ที่ตามมามองเห็น เกาะนี้จึงได้ชื่อว่าเกาะปันหยี ที่แปลว่าธง เกาะปันหยีมีที่ราบน้อย ชาวเกาะปันหยีจะสร้างบ้านอยู่ด้านทิศใต้ของเกาะ ลักษณะเป็นบ้านตั้งอยู่บนเสาไม้ที่ปักอยู่บนพื้นเลน เมื่อน้ำขึ้นจะเหมือนหมู่บ้านลอยอยู่กลางทะเล ปัจจุบันมีประชากรอาศัยอยู่บนเกาะมากกว่า ๑,๐๐๐ คน ชุมชนแห่งนี้มีทั้งบ้าน เรือน ร้านค้า โรงเรียน มัสยิด รวมทั้งสนามฟุตบอล ชาวเกาะปันหยียังคงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมงเลี้ยงปลาในกระชัง แต่เนื่องจากปัจจุบันเกาะปันหยีเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น ชาวบ้านบางส่วนจึงหันมาประกอบอาชีพค้าขายและขับเรือนำเที่ยว

            - เกาะปาชุมบา
      
        เกาะปาชุมบา ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เกาะนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อทั้งเกาะปาจุมบา เกาะกลาง และ เกาะมังกร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุรินทร์ใต้ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ไป ๕ กิโลเมตร เป็นเกาะขนาดเล็กมี พื้นที่ ๐.๓๒๓ ตารางกิโลเมตร มีหาดทราย เล็ก ๆ อยู่ทางทิศตะวันออกชื่ออ่าวมังกร   ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของเกาะพบแนวปะการังแบบริมฝั่งขึ้นหนาแน่นที่ความลึก ๓๐ - ๔๐ เมตร พื้นที่แนวปะการังรวม ๐.๑๑ ตารางกิโลเมตร มีสภาพสมบูรณ์ปานกลาง ด้านทิศตะวันออกมีแนวปะการัง น้ำตื้นขนาดใหญ่ที่ความลึกไม่เกิน ๑ เมตร สภาพสมบูรณ์ปานกลาง นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำดูปะการังได้ ปะการังที่พบได้แก่ปะการังเขากวาง ปะการังไฟ ปะการัง โต๊ะ และพบสัตว์ทะเลหลายชนิด

             - เกาะปาหยัง
           
   เกาะปาหยังหรือเกาะสอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือ และไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกขึ้นบนเกาะ สภาพโดยทั่วไปของเกาะเป็นภูเขาหิน โดยรอบเป็นหน้าผา โขดหิน และหาดทรายขนาดเล็ก เป็นพื้นที่สงวนไว้สำหรับให้เต่าทะเลขึ้นมาวางไข่ รอบเกาะมีพื้นที่แนวปะการัง ๐.๑๕ ตารางกิโลเมตร ก่อตัวหนาแน่นตั้งแต่ทิศเหนือต่อเนื่องลงมาถึงกลางเกาะทางทิศตะวันออก ในเขตปะการังลาดชันนั้นมีความชันมากถึงระดับความลึก ๑๕-๑๘ เมตร จากทิศตะวันออกกลางเกาะลงมายังทิศใต้ แนวปะการังก่อตัวบนพื้นทรายที่ความลึก ๑๘ เมตร ชายฝั่งทางทิศตะวันตกปะการัง ก่อตัวขึ้นบนโขดหินที่ความลึก ๑๔-๑๙ เมตร ส่วนใหญ่มีสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงสมบูรณ์ดี พบปะการังโขด ปะการังหนาม ขนุนแบบกิ่ง และปะการังเขากวางใหญ่ เป็นต้น

           -เกาะปาหยัน
         
    เกาะปาหยันหรือเกาะสาม อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีพื้นที่ ๐.๐๔๓ ตาราง กิโลเมตร อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือเช่นเดียวกับเกาะปาหยังหรือเกาะสอง สภาพโดยทั่วไปของเกาะเป็นหินสูงชันและหน้าผาไม่มีหาดทราย แนวปะการังเกาะปาหยันก่อตัวทางทิศตะวันออกของเกาะ ที่ความลึก ๑๖-๒๒ เมตร มีพื้นที่แนวปะการังเพียง ๐.๑ ตาราง กิโลเมตร บริเวณอื่น ๆ ปะการังขึ้นบนโขดหินในปริมาณน้อยที่ความลึก ๑๕ เมตร ปะการังที่พบได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังหนามขนุนแบบกิ่ง สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่พบได้แก่ สาหร่ายหินปูน ปูปะการัง ปูแมงมุม กุ้งพยาบาล กุ้งมดแดง หนอนฉัตร ดาวทะเลสีฟ้า ปลิงดำ เม่นดำ นามสั้น ปลานกขุนทอง ปลากะรังลายนกยูง ปลาอมไข่ลายทแยง ปลากล้วยฟ้าหลัง เหลือง และปลาผีเสื้อลายแปดขีด เป็นต้น

          - เกาะผ้า
       
  เกาะผ้า ตำบลเกาะคอเขา อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา อยู่ห่างจากชายฝั่ง ๒.๗ กิโลเมตร เป็นเกาะขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายสันทรายโผล่ขึ้นมากลางทะเล ไม่มีต้นไม้บนเกาะ มีปะการังจำนวนมากกระจายตัวอยู่รอบเกาะเป็นบริเวณกว้าง พื้นที่แนวปะการังรวม ๓.๗ ตารางกิโลเมตร ปะการังขึ้นหนาแน่นที่สุดทางทิศเหนือ พบปะการังชนิดต่าง ๆ เช่น ปะการังโขด ปะการังโต๊ะ และสัตว์ทะเลอีก หลายชนิด เช่น ปู กุ้งดีดขัน กลุ่มปลาสลิด และกลุ่มปลานกขุนทอง เป็นต้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิพัดเข้าชายฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ทำให้เกาะผ้าจมเป็นกองหินอยู่ใต้น้ำ เนื่องจากทรายได้ถูกคลื่นยักษ์พัดกระจายตัวออกไปนอกจากเกาะผ้าแล้วยังมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลหาดต่าง ๆ และแนวปะการังรอบเกาะอีกหลายแห่งในทะเลอันดามันที่ได้รับความเสียหาย

         - เกาะพนัก
       
     เกาะพนัก ตำบลคลองเคียน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา อยู่ทางทิศใต้ของเกาะห้อง ในเขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา มี พื้นที่ ๒.๒๖ ตารางกิโลเมตร ขนาดใหญ่กว่า เกาะห้อง ลักษณะเป็นเกาะภูเขาหินปูน มีถ้ำหลายแห่ง เช่น ถ้ำไอศกรีม ถ้ำโกงกาง และ ถ้ำค้างคาว เป็นต้น ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อยรูปร่างแปลกตา บางแห่งเป็นที่อยู่ อาศัยของค้างคาว สามารถเดินเท้าเข้าไปได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังทั้งศีรษะชนหินย้อย และอาจลื่นล้มเนื่องจากมีน้ำท่วมขัง

            - เกาะพระทอง
         
     เกาะพระทอง ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเกาะระ มีพื้นที่ ๙๒ ตารางกิโลเมตร (๕๗,๕๐๐ ไร่) ความยาวตามแนวเหนือใต้ ๑๕.๔ กิโลเมตร ความกว้างตามแนวตะวันออกตะวันตก ๙.๗ กิโลเมตร เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๗ ของประเทศ ลักษณะของเกาะเป็นที่ราบสันดอน ทรายเกิดจากการทับถมของตะกอนจากคลื่นและลม เกาะพระทองมีความหลากหลายของนิเวศตามธรรมชาติ แบ่งได้ ๑๒ ประเภท ได้แก่หญ้าทะเล แนวปะการัง หาด ทราย หาดหิน หาดเลน ป่าพรุ ป่าเสม็ด ทุ่งหญ้า ป่าชายหาด ป่าดิบชื้น ป่าชายเลน และบึง บนเกาะมีแหล่งน้ำจืดหลายแห่ง โดยเฉพาะแหล่งน้ำใต้ดินที่อยู่ในระยะไม่เกิน ๔๐ ฟุต มีลำคลองหลายสาย เช่น คลองชาด คลองปิหลัง คลองห้างสูง คลองสะยาเหนือและคลองสะยาใต้ พื้นที่บนเกาะจึงมีความอุดมสมบูรณ์เต็มที่ มีความหลากหลายทางชีวภาพพบ พันธุ์พืช ๓๕๑ ชนิด เช่น โกงกางใบเล็ก โกงกางใบใหญ่ แสม เป้ง พังกา เตยหนาม รักทะเล พะยอม สนทะเล เป้งทะเล หลาว ชะโอน หวายลิง โคลงเคลง พุดทุ่ง เสม็ด แดง เสม็ดขาว หยาดน้ำค้าง และหม้อข้าว หม้อแกงลิง พันธุ์สัตว์ ๕๖๖ ชนิด ได้แก่กวางป่า เก้ง นาคใหญ่ขนเรียบ หมีขอ ค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน โลมาปากขวด พะยูน นกกาน้ำเล็ก นกยางกรอกพันธุ์จีน นกปากห่าง ปูหิน ปูหินก้ามฟ้า ปูใบ้ หอยชักตีน หอยสังข์หนาม ปะการังลายกลีบดอกไม้และปะการังลายลูกฟูก เป็นต้น มีสัตว์ที่อยู่ในบัญชีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ (Convention on International)การค้าสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์Fauna and Flora: CITES) จํานวน ๔๒ ชนิดและอยู่ในบัญชีรายชื่อ Red List  ของสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (International Union of Conservation or Nature and Natural Resources หรือ World Conservative Union : IUCN) จำนวน ๕๖ ชนิด ที่สำคัญ คือเป็นแหล่งอาศัยของนกตะกรุมฝูงสุดท้าย ในเมืองไทยกิจกรรมบนเกาะพระทองมีหลายแบบ เช่น ตั้งแคมป์ ส่องสัตว์ ขี่จักรยาน ดูนก ศึกษาธรรมชาติ และชมวิถีชุมชนชาวประมง จนถึงเล่นน้ำ พายเรือ ตกหมึก ตกปลา เป็นต้น

          - เกาะเมียง
       
 เกาะเมียงหรือเกาะสี่ อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา พื้นที่ ๐.๗๒ ตารางกิโลเมตร มีที่ราบอยู่ตรงกลางระหว่างเขาด้านตะวันออกและตะวันตก ทางด้านทิศเหนือมี ชายหาดยาว ๔๐๐ เมตร ทรายขาวละเอียดเหมาะสำหรับลงเล่นน้ำทะเลและอาบแดด หาดด้านทิศเหนือเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีบ้านพัก สถานที่กางเต็นท์ ร้านค้า ร้านอาหารไว้บริการนักท่องเที่ยว จากหาดทิศเหนือมีทางเดินขึ้นเขาไปยังหาดด้านหลังมีจุดชมวิวอยู่ ด้านบนเรียกว่าลานข้าหลวงเป็นจุดชม พระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม พื้นที่ป่าบนเกาะเป็นป่าดิบชื้น สามารถพบสัตว์หายากอย่างนกชาปีไหน และปูไก่ได้อีกด้วย ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกมีแนวปะการังริมฝั่งก่อตัวบนพื้นทรายกระจาย มีสภาพสมบูรณ์ปานกลาง ปะการังที่พบได้แก่ ปะการังโขด ปะการังนิ้วมือผิวขรุขระ ปะการังผิวยู่ยี่ ปะการังไฟ สัตว์ทะเลที่พบได้แก่ ปูแมงมุม ปูปะการัง กุ้งมดแดง กุ้ง พยาบาล ดาวทะเล ดาวขนนก ปลิงทะเล ปลาสิงโต ปลาอมไข่ลายทแยง ปลาวัวจมูก ยาว และปลาผีเสื้อครีบยาว เป็นต้น

         - เกาะยาวน้อย
        
    เกาะยาวน้อย อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ตั้งอยู่ในอ่าวพังงา เป็นเกาะขนาดใหญ่ มีพื้นที่ ๓๖.๑๔ ตารางกิโลเมตร ลักษณะเป็นภูเขาวางตัวทิศเหนือไปยังทิศใต้ มีที่ราบ ชายฝั่งทะเลอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมประกอบอาชีพประมงชายฝั่ง เกาะยาวน้อยมีชายหาดขาว เงียบสงบ และยังคงสภาพธรรมชาติเดิมอยู่มาก เช่น หาดป่าทราย และแหลมเบา พบแนวปะการังก่อตัวได้ดีทางฝั่งตะวันออก พื้นที่แนวปะการังรวม ๑.๙๗ ตารางกิโลเมตร บริเวณหน้าหาดพบ แนวปะการังที่ระดับความลึก ๑-๓ เมตร ตอนบนของทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พบปะการังพื้นราบเป็นบริเวณกว้าง ที่ระดับความลึก ๐.๕ เมตร เช่น ปะการังลาย ดอกไม้ ปะการังจาน ปะการังโขด ปะการัง ช่องเหลี่ยม ปะการังสมองร่องสั้น และสัตว์ ทะเลหลากชนิด

           - เกาะยาวใหญ่
        
    เกาะยาวใหญ่ อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ลักษณะของเกาะเป็นทิวเขาวางตัวจากเหนือลงใต้ ความยาวรวม ๓๖ กิโลเมตร ภูเขาบนเกาะมีความสูง ๓๐๐ เมตรจาก ระดับทะเลปานกลาง พื้นที่เกาะรวม ๘๗.๒๔ ตารางกิโลเมตร มีที่ราบอยู่รอบเกาะต่อเนื่องด้วยชายหาด เกาะยาวใหญ่มีหาดทรายหลายแห่ง เช่น อ่าวปูนเต หาดคลองสน แหลมโละบาเกา และอ่าวโละจาก พื้นที่ชายหาดเหล่านี้มีความสวยงาม หาดทรายสีทอง คลื่นลมสงบ จึงสามารถเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย แนวปะการังรอบเกาะก่อตัวได้ดีทางทิศตะวันตก มีพื้นที่รวม ๑.๓๘ ตารางกิโลเมตร บริเวณตอนบนปะการังกระจายอยู่บนพื้ ทราย ส่วนบริเวณริมฝั่งปะการังขึ้นอยู่บนโขดหิน ตอนล่างปะการังก่อตัวขึ้นหนาแน่น สลับกับแนวทรายหรือแนวโขดหินที่ระดับ ความลึก ๕ เมตร ทิศใต้แนวปะการังก่อตัวได้น้อยที่ปีกอ่าวด้านนอกและทิศตะวันออก ปะการังก่อตัวทางตอนใต้เพียงเล็กน้อย ปะการังที่พบได้แก่ปะการังโขด ปะการัง เขากวาง ปะการังดาวใหญ่หนาม และปะการังเขากวางพุ่ม นอกจากนี้ยังสามารถพบสัตว์ทะเลได้อีกหลายชนิด

          - เกาะสิมิลัน
          
เกาะสิมิลันอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน พื้นที่รวม ๓.๗๙ ตารางกิโลเมตร วางตัวจากทิศเหนือสู่ทิศใต้ บนเกาะมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ ทิศเหนือมีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตา เช่น หินรูปรองเท้าบู๊ตหรือหินรูปหัวเป็ด และหินรูปเรือใบ ซึ่งอยู่ทางตอนบนตรงกับแนวหาดเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นความสวยงามของท้องทะเล ชายหาดบนเกาะสิมิลันเป็นอ่าวรูปโค้งเหมือนเกือกม้า มีหาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่ม น้ำทะเลใส ระดับน้ำทะเลในบริเวณรอบเกาะค่อนข้างลึกเฉลี่ยที่ ๒๕-๓๐ เมตร หลังชายหาดมีที่พักที่กางเต็นท์ ร้านค้า ร้านอาหารที่ทางอุทยานฯ จัดไว้รองรับนักท่องเที่ยว แนวปะการังเกาะสิมิลันก่อตัวหนาแน่นทางทิศตะวันออก ในเขตลาดชันมากกว่าบริเวณน้ำตื้น ส่วนใหญ่มีสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงความสมบูรณ์ดี พบปะการังอ่อน ปะการังผิวยู่ยี่ ปะการังโขด และปะการัง แปรงล้างขวด นอกจากนี้ยังพบสัตว์ทะเล สีสันสวยงามอีกหลายชนิด เป็นเกาะที่ สามารถดำน้ำได้ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น

            - เกาะสุรินทร์ใต้
          
     เกาะสุรินทร์ใต้ ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ มีเขายอดสูง ๕๕๕ เมตร จากระดับทะเลปานกลาง พื้นที่ราบบริเวณชายฝั่งมีลักษณะเว้าแหว่ง เช่นเดียวกับเกาะสุรินทร์เหนือ มีชายหาดหลายแห่ง เช่น อ่าวสุเทพ อ่าวผักกาด และอ่าวเต่า สังคมพืชแบบป่าดงดิบชื้นและป่า ชายหาด พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ยาง ตะเคียน จิกทะเล พลับพลึงทะเล ก้านทอง เตยหนู หวายนั่ง และตะบัน เป็นต้น แนวปะการังของเกาะสุรินทร์ใต้เป็น แนวปะการังริมฝั่งก่อตัวขึ้นรอบเกาะยาวต่อเนื่องไปยังเกาะสุรินทร์เหนือ ที่ระดับความลึกระหว่าง ๒-๓๐ เมตร แนวปะการังมีความสมบูรณ์ปานกลางถึงสมบูรณ์ดีมาก โดยเฉพาะทางทิศใต้ที่อ่าวผักกาด มีความสมบูรณ์มากที่สุด ปะการังที่พบได้แก่ ปะการังเขากวาง ปะการังโขด ปะการังผิวยู่ยี่ และปะการังไฟแบบแผ่น สัตว์ทะเลที่พบได้แก่ ดาวขนนก เม่นดำหนามสั้น ปลิงชมพู ปูดาวขนนก ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาผีเสื้ออันดามัน ปลาผีเสื้อลายแปดขีด ปลาผีเสื้อหลังดำและปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ

             - เกาะสุรินทร์เหนือ
       
     เกาะสุรินทร์เหนือ ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ มีพื้นที่ ๑๔.๑๙ ตารางกิโลเมตร มียอดเขาสูง ๓๑๔ เมตร มีพื้นที่ราบอยู่ตรงชายทะเล ซึ่งมีลักษณะเป็นอ่าวเว้าแหว่งอยู่รอบเกาะ เช่น อ่าวแม่ยาย อ่าวไม้งาม อ่าวทรายแดง อ่าวจาก และ อ่าวไทรเอน แต่ละอ่าวมีขนาดใหญ่ เป็นหาดทรายล้อมรอบด้วยเขาสูงที่มีสังคม พืชแบบป่าดงดิบชื้นพันธุ์ไม้ที่พบ ได้แก่ ชะเมา ไทร จิกทะเล พลับพลึงทะเล ชิงซี่ ก้านทอง เตยหนู หวายนั่งและตะบัน แนวปะการังรอบเกาะสุรินทร์เหนือ เป็นแบบแนวปะการังริมฝั่งตั้งแต่ความลึกตัั้งแต่ 1 เมตรจนถึง ๓๐ เมตร ปะการังก่อตัวในเขตที่ราบและเขตลาดชัน ส่วนใหญ่มีความ สมบูรณ์ดี ปะการังที่พบได้แก่ปะการังโขด ปะการังนิ้วมือผิวขรุขระ ปะการังเขากวาง แปรงล้างขวด ปะการังผิวยู่ยี่ ปะการังไฟ แบบแผ่น ปะการังจาน ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังสีน้ำเงิน ปะการังโต๊ะ ปะการังอ่อน แส้ทะเล กัลปังหา สัตว์ทะเลอื่น ๆ จำนวน มาก ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา เกาะสุรินทร์เหนือเป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ มีบ้านพัก (บริเวณอ่าวช่องขาดและอ่าวไม้งาม) สถานที่กางเต็นท์ ร้านค้า ร้านอาหาร อุปกรณ์ดำน้ำ ตื้นและเรือหางยาว รวมถึงไกด์ท้องถิ่น กิจกรรมบนเกาะ ได้แก่ ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก พายเรือคายัก เดินป่าตามเส้นทางศึกษา ธรรมชาติระหว่างอ่าวช่องขาดและอ่าวไม้งาม เป็นต้น

             - เกาะหนุ่ย
           
     เกาะหนุ่ย ตำบลพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา เป็นเกาะขนาดเล็ก มีพื้นที่ เพียง ๐.๑ ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตอน ใต้ของเวิ้งอ่าวโละโป๊ะใหญ่ ห่างจากฝั่งของ เกาะยาวเพียง ๓๐๐ เมตร บนเกาะมีต้นไม้ ขึ้นหนาแน่น รอบเกาะเป็นโขดหิน ไม่มีหาด ทราย อยู่ในเขตน้ำค่อนข้างตื้น ไม่มีแนว ปะการัง แต่เป็นเกาะที่มีทัศนียภาพสวยงาม

             - เกาะห้อง
             เกาะห้อง ตำบลคลองเคียน อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา มีพื้นที่ ๐.๑๙ ตาราง กิโลเมตร อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่ง ชาติอ่าวพังงา เป็นเกาะภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ มีชายหาดขนาดเล็กอยู่ริมฝั่งชายฝั่ง ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นหินชัน ชื่อเกาะห้องมาจากลักษณะของทะเลใน ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขา มีทางเข้าแคบมองดูคล้ายเป็นห้อง เป็นปรากฏการณ์ของภูเขาหินปูนในอดีตยุบตัวลง

 

           - เกาะหินหัวกะโหลก-หินปูซาร์
          
     เกาะหินหัวกะโหลก-หินปูซาร์หรือเกาะเจ็ด อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีลักษณะ เป็นหินโผล่ขึ้นมาจากน้ำรูปร่างเหมือนหัวกะโหลก เป็นจุดดำน้ำลึกที่เรียกว่า Elephant head rock มีปะการังก่อตัวบนโขดหิน ทัศนียภาพเหมือนหุบเขาใต้ทะเล พบสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลหลายชนิดได้แก่ ปะการังแข็ง ปะการังอ่อน กัลปังหารูปพัดหลากสีสัน ปลาทะเลสีสันสดใส อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบปลากระเบนราหูหรือฉลามวาฬอีกด้วย

            - เกาะหูยง
         
    เกาะหูยงหรือเกาะหนึ่ง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา มีพื้นที่ ๐.๙๗๗ ตารางกิโลเมตร อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีหาดทรายสีขาว ยาวที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน เป็นพื้นที่ในความดูแลของกองทัพเรือ สงวนไว้สำหรับให้เต่าทะเลวางไข่ ตามปกติจึงห้ามบุคคลทั่วไปเข้าไปใช้ประโยชน์ ฤดูวางไข่ของเต่าทะเลคือระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ โดยจะพบร่องรอยของเต่าที่ขึ้นมาวางไข่บนชายหาดคล้ายกับรอยตีนตะขาบเล็ก ๆ อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาดำน้ำดูปะการัง แบบดำน้ำตื้นที่เกาะหูยงได้ แนวปะการังเกาะหูยงมีพื้นที่รวม ๐.๓๘ ตารางกิโลเมตร พบปะการังก่อตัวขึ้นบนพื้นทรายตั้งแต่ทางทิศเหนือเรื่อยมาทางทิศตะวันออกของเกาะ ที่ความลึกตั้งแต่ ๑๔-๒๐ เมตร ทิศตะวันตกมีปะการังก่อตัวขึ้นบนโขดหิน ส่วนใหญ่มีสภาพสมบูรณ์ปานกลางถึงสมบูรณ์ดีมาก ปะการังที่พบได้แก่ ปะการังเขากวางใหญ่ ปะการังหนามขนุนแบบกิ่ง ปะการังโขด สัตว์ทะเลที่พบได้แก่ปลาสลิดหินม้าลาย ปลาสิงโต ปลากะรังจิ๋ว ปลากะพงเหลืองลายพาด ปลาผีเสื้อลายแปดขีด ปลาวัวดำ ปลานกแก้ว และปลานกขุนทอง เป็นต้น

     


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
พังงา (Phang Nga)
ที่อยู่
จังหวัด
พังงา


วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

ทรัพยากรการท่องเที่ยวไทยชุดภาคใต้ : พังงา. (2556). ฝ่ายส่งเสริมสินค้าการท่องเที่ยว กองส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.
ประพนธ์ เรืองณรงค์. (2551). ชื่อบ้านนามเมืองภาคใต้ จังหวัด อำเภอ และสถานที่ บุคคลบางชื่อ. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์.
ประวัติจังหวัดพังงา. (2559). สืบค้น 8 ก.ย. 64, จาก https://link.psu.th/CXmHp9


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2025