ภาพ : https://link.psu.th/ZaP6q7
วังพิพิธภักดีเป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เป็นสถานที่อยู่ของพระพิพิธภักดี (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) บุตรชายคนโตของพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสงคราม (นิโวะ อับดุลละบุตร) เจ้าเมืองยะหริ่งคนที่ ๗ ตามประวัติกล่าวกันว่าในอดีตนั้น พระพิพิธภักดิ์ (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) ไปรักใคร่ชอบพอกับตนตนกูชงหลานสาวพระยาสายบุรี (พระยาสุริยสุนทรบวรภักดีฯ) ซึ่งฝ่ายพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสงคราม (นิโวะ อับดุลละบุตร) ไม่เห็นด้วยเนื่องจากขณะนั้นเมืองยะหริ่งกับเมืองสายบุรี มีปัญหาข้อพิพาทกัน แต่ในที่สุดพระพิพิธภักดิ์ (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) ก็แต่งงานกับตนกูซงหลานพระยาสายบุรีจนได้ และได้สร้างวังพิพิธภักดีขึ้นในบริเวณใกล้ เคียงคู่กับวังพระยาสายบุรี ซึ่งในปัจจุบันจะมองเห็นวังโดยมีถนนสุริยะตัดผ่านหน้าวัง จึงทำให้วังพิพิธภักดีตั้งอยู่ตรงข้ามวังสายบุรี พระพิพิธภักดีนั้นมีบุตรชาย ๒คน ประกอบด้วย
๑. ตนกูอิสมาแอ |
๒. ตนกูอับดุลฮามิด (นายมานพ พิพิธภักดี) |
ต่อมาตนกูชงภริยาเสียชีวิต พระพิพิธภักดีจึงกลับมาอยู่วังยะหริ่ง และได้ภรรยาชาวกรุงเทพฯ เชื้อสายจีนคือนางสวาสดิ์ พิพิธภักดี ในสมัยปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล พระพิพิธภักดี (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และลาออกมาเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานี และดำรงตำแหน่งอยู่ถึง ๔ สมัย รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอีก ๑ สมัย จากนั้นท่านได้ล้มป่วยเป็นอัมพาต จนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ ๕ ธัมวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ต่อมาบุตรชายของพระพิพิธภักดีคือตนกูอับดุลฮามิด (นายมานพ พิพิธภักดี) ได้รับช่วงวังพิพิธภักดีต่อมา และได้ภรรยาซึ่งเป็นหลานพระยากลันตัน มีบุตรธิดาด้วยกัน ๗ คน ประกอบด้วย
๑. ตนกูอิสกันดา |
๒. ตนกูมะหะมุด |
๓. ตนภูอานิส (ประไหมสุหรี ในสุลต่านรัฐกลันตัน) |
๔. ตนกูอนีซะห์ |
๕. ตนกูอับดุลรอมาน |
๖. ตนกูอนิเซง |
๗. ตนกูอนิชัน |
การใช้พื้นที่ในวังพิพิธภักดี
วังพิพิธภักดีตั้งอยู่เลขที่ ๔๓ ถนนกลาพอ ตำบลตะลุบัน อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ตัววังหันหน้าไปทางทิศใต้ บนเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่เศษ อาณาเขตของวังนั้นทางทิศใต้จดถนนกลาพอ ทิศเหนือและทิศตะวันออกจดอาณาเขตบ้านเรือนของประชาชน ทิศตะวันตกจดถนนสุริยะ ตัววังด้านหน้าตรงข้ามบ้านพักนายอำเภอสายบุรี ตัววังด้านข้างทางทิศตะวันตกตรงข้ามวังสายบุรี ถ้าเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปในวังจะเป็นบริเวณสนามหญ้าปกคลุมไปทั่วบริเวณตัววัง พื้นที่บริเวณวังปลูกไม้ยื่นต้น เช่น มะขาม มังคุค และไม้ผลอื่น ๆ รวมทั้งไม้ดอกไม้ประดับ รอบตัววังมีกำแพงเตี้ย ๆ สูงประมาณ ๘๐ เชนติเมตร อยู่ห่างจากตัววังประมาณ ๙๐ เชนติเมตร ตามแนวกำแพงรั้วเตี้ย ๆ เหล่านี้ปลูกต้นเข็มเป็นแนวยาวชนานไปกับกำแพงรั้ว ลักษณะเด่นของวังพิพิธภักดีคือเป็นสถาปัตยกรรม ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะชวากับศิลปะตะวันตก คือทางทิศตะวันตกของตัววังระหว่างกึ่งกลาง มีการออกมุขแบบตะวันตก ด้านหน้าของมุขสร้างเป็นรูปวงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ เมตรครึ่ง ใช้สำหรับเป็นบ่อเลี้ยงปลา ความลึกของบ่อประมาณ ๖๕ เซนติเมตร ขอบบ่อปลากว้างประมาณ ๒๐ เซนติเมตร อยู่ห่างจากบริเวณมุขของวังประมาณ ๓ เมตร รอบบริเวณบ่อเลี้ยงปลาในอดีตมีกระเบื้องมุงหลังคาเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนยาวด้านละ ๒๐ เซนติเมตร สีแดงวางเรียงช้อนกันเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันกระเบื้องมุงหลังคาถูกเปลี่ยนใหม่โดยเจ้าของปัจจุบันแต่ก็ยังคงใช้วัสดุแบบเดิม ส่วนทางทิศตะวันออกของตัววังห่างจากกำแพงรั้วไปประมาณ ๒ เมตร มีบ่อน้ำสูงประมาณ ๙๐ เชนติเมตร ขอบบ่อกว้าง ๑๕ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางของบ่อประมาณ ๘๕ เซนติเมตร น้ำจากบ่อใช้สำหรับอุปโภคบริโภคของคนในวังพิงพิพิธภักดี แต่ในปัจจุบันพื้นที่รอบตัววังมีหญ้าขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณเนื่องจากไม่ได้ได้เป็นที่อยู่อาศัยจึงถูกทิ้งร้างเป็นเวลานานหลายปี บางช่วงมีหน่วยราชการมาเซ่าเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำงานและอยู่อาศัย แต่ปัจจุบันไม่มีคนอาศัย เจ้าของบ้านจะมาดูแลทำความสะอาดวังเป็นบางครั้่งระยะ ๆ
เนื่องจากวังพิพิธภักดีเป็นวังยกพื้นสูงจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตร การใช้พื้นที่แบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ
๑. บริเวณใต้ถุนของวัง บริเวณใต้ถุนวังเป็นพื้นที่โล่ง มีเสาซึ่งของรับทั้งหมด ๑๖ เสา เป็นเสาก่อด้วยซีเมนต์ มีลวดลายตกแต่งสวยงาม พื้นใต้ถุนปูด้วยซีเมนต์ตลอด ทางทิศตะวันออกริมสุดของตัววัง มีห้อง ๑ ห้อง กว้าง ๓ เมตร ยาว ๔ เมตร ใช้เป็นที่สำหรับเก็บของ |
๒. บริเวณชั้นบน บริเวณชั้นบน แบ่งออกเป็น - ชั้นที่ ๑ ก่อนที่จะก้าวขึ้นบันใด ชานบันไดเป็นพื้นปูด้วยดีแดงขนาดกว้างและยาว ๓๐ เซนติเมตร ชานบันไดกว้างประมาณ ๒ เมตร ๕๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๔ เมตร มีเสา ๒ เสา รองรับระเบียง - ชั้นที่ ๒ เมื่อก้าวขึ้นบันไดจะเห็นตัววังแบ่งออกเป็น ๓ ช่วง คือช่วงแรกเป็นห้องโถงกว้างมีประตูเปิดเข้าสู่ช่วงกลาง ช่วงกลางแบ่งเป็น ๓ ห้อง คือ บริเวณที่เป็นมุขใช้สำหรับเป็นที่พักผ่อน ห้องกลางมีบันไดขึ้นสู่ชั้นที่ ๒ และประตูเปิดเข้าสู่ช่วงที่ ๓ รวมทั้งประตูเปิดออกสูบริเวณเฉลียงด้านหน้าของตัววัง มีระเบียงซึ่งยื่นยาวอกมาประมาณ ๕ เมตร ความกว้าง ๒ เมตร มีบันไดลงสู่เบื้องล่าง ๑ ทาง ส่วนช่วงที่ ๓ แบ่งเป็น ๓ ห้อง ห้องที่ ๒ มีประตูบานพับกว้างเปิดออกสู่ระเบียงในชั้นที่ ๒ |
รูปทรงและวัสดุที่ใช้วังพิพิธภักดิ์
รูปทรงและวัสดุที่ใช้วังพิพิธภักดิ์ ซึ่งสร้างโดยสถาปนิกขาวจีนจากรุงเทพฯ เป็นวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง โดยสั่งไม้มาจากกรุงเทพฯ ลำเลียงเข้าทางปากน้ำสายบุรี ตัววังถูกล้อมรอบด้วยกำแพงทั้ง ๔ ด้าน ลักษณะรูปทรงของวังสร้างเป็นบ้านไม้ ๒ ชั้นขนาดใหญ่ทรงปั้นหยาหรือลีมะ ด้านหน้าตัววังเป็นหลังคาแบบบลานอหรือหน้าจั่ว ซ้อนกันอยู่บนหลังคาปั้นหยาอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบบ้านของชาวไทยมุลลิมทั่วไป ตัววังยกพื้นสูงประมาณ ๒ เมตร ปัจจุบันวังพิพิธภักดียังอยู่ในสภาพที่ดี เพราะได้รับการบูรณะซ่อมแชมจากเจ้าของวังปัจจุบัน คือคุณอรุณ กิจถาวร สำหรับองค์ประกอบด้านสถาปัตยกรรมของวัง ประกอบด้วย
๑. กำแพงวัง ๑.๑ กำแพงวังชั้นนอกทั้ง ๔ ด้านมีความแตกต่างกัน คือทางทิศใต้ซึ่งเป็นด้านหน้าของวัง กำแพงยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะเป็นกำแพงที่ก่ออิฐถือปูน มีสันกว้างประมาณ ๑๕ เซนติเมตร กำแพงสูงประมาณ ๑ เมตร ๙๐ เซนติเมตร โดยแบ่งเป็นช่วงทั้งหมด ๑๖ ช่วง แต่ละช่วงมีช่องเล็ก ๆ ซึ่งสามารถมองทะลุออกไปภายนอกได้ ช่องเล็ก ๆ เหล่านี้กว้างประมาณ ๗ เชนติเมตร และยาวประมาณ ๖๔ เชนติเมตร ทางทิศเหนือเป็นกำแพงรั้วลวดหนาม ทิศตะวันออกเป็นกำแพงรั้วสังกะสี ทิศตะวันตกเป็นกำแพงก่ออิฐลักษณะเป็นช่องโปร่ง ๑.๒ กำแพงวังชั้นใน เป็นกำแพงรั้วเตี้ย ๆ สูงประมาณ ๘๐ เชนติเมตร ก่อปูนทาสีขาวแบ่งเป็นช่วง ๆ ช่วงละ ๑๓ ต้น |
๒. บันได ลักษณะบันไดของวังพิพิธภักดี มีทั้งหมด ๓ แบบ คือ ๒.๑ บันไดทางขึ้นสู่วังด้านหน้า เป็นบันไดก่ออิฐธปูนแบบทึบทาด้วยสีแดง มีลักษณะโค้งเวียน ซึ่งเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีลูกกรงราวบันได ทำเป็นปูนปั้นมีลวดลายเป็นรูปดอกไม้ เพิ่มความสวยงามให้แก่บันไดซึ่งมีทั้งหมด ๑๑ ขั้น ๒.๒ บันไดภายในวัง ซึ่งเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ ๒ เป็นบันไดไม้ทึบมีบังชั้น ราวบันไดเป็นไม้ขี่ตามแนวตั้ง บันใดช่วงเทมี ๗ ชั้น ถึงชานพักบันไดขึ้นสู่ช่วงที่ ๒ มี ๙ ชั้น ๒.๓ บันไดทางขึ้นสู่ระเบียงหน้าวัง เป็นบันได้ไม้ทึบบังชั้นเช่นกัน มีทั้งหมด ๙ ชั้น ที่หน้าบันไดมีแท่งซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่กว่าขั้นบันได โดยใช้ปูแทนบันไดขั้นแรก บันไดทั้งหมดมีชั้นเป็นเลขคี่ ซึ่งเกี่ยวโยงไปสู่ความเชื่อในเรื่องการสร้างบ้านที่ต้องทำบันไดเป็นเลขคี่ ตามแบบชาวพุทธที่เชื่อว่า "บันไดคู่คือบันไดผี บันไดคี่คือบันไดคน" ทั้งนี้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่อยู่อาศัย |
๓. เสา วังพิพิธภักดีมีลักษณะเสาดังนี้ คือ ๓.๑ เสาด้านหน้าของวังใช้รองรับน้ำหนักของส่วนที่เป็นระเบียง ชั้น ๒ มี ๒ ต้น เป็นเสาที่หล่อด้วยซีเมนต์ ตั้งอยู่บนตอม่อที่ก่ออิฐฉาบปูน มีการตกแต่งลวดลายที่ขอบเสาตอม่อ ๓.๒ เสาใต้ถุนวัง เป็นเสาตอม่อก่ออิฐถือปูนตกแต่งลวดลายมีทั้งหมด ๑๖ ต้น เพื่อรับน้ำหนักตัววังเสาที่รองรับน้ำหนักระเบียงหน้าวัง ซึ่งเป็นเสาที่หล่อด้วยซีเมนต์ไม่มีการฉาบผิวตั้งอยู่บนตอม่อ ซึ่งหล่อด้วยชีเมนต์ไม่ฉาบผิวเช่นกัน มีขนาดกว้างและยาว ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร |
๔. พื้นวัง ลักษณะพื้นของวังพิพิธภักดีมีดังนี้ คือ ๔.๑ พื้นใต้ถุนวัง เป็นพื้นลาดปูนซีเมนต์ตลอด พื้นบ้านซานบันไดปูด้วยอิฐสีแดง มีขนาดกว้างและยาว ๓๐ เซนติเมตร ๔.๒ พื้นวังชั้นที่ ๑ และชั้นที่ ๒ เป็นพื้นไม้สักเรียงลักษณะการเข้าลิ้น พื้นวังได้รับการขัดเงาสวยงาม ๔.๓ พื้นระเบียงชั้นที่ ๒ และบริเวณมุขเป็นพื้นซีเมนต์ และพื้นระเบียงหน้าวังชั้นที่ ๑ เป็นพื้นเรียงด้วยไม้ห่าง ๆ เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้าออกได้ เป็นการช่วยระบายอากาศภายในห้องได้เป็นอย่างดี |
๕. ประตู วังพิพิธภักดีใช้บานประตูลูกฟักไม้ทึบทั้งหมด ขนาดของประตูกว้าง ๑ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตร ๕๐ เซนติเมตร |
๖. หน้าต่าง ลักษณะหน้าต่างของวังพิพิธภักดี มีทั้งหมด ๓ แบบ คือ ๖.๑ หน้าต่างแบบลูกพักทึบยาวตลอดถึงพื้น แบ่งเป็น ๒ ช่วง มีลูกกรงไม้กลึงแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม มีขอรับขอสับโลหะ ๖.๒ หน้าต่างแบบลูกฟักผสมบานเกล็ด มีความยาวตลอดถึงพื้นและมีลูกกรงไม้กลึงแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม มีขอรับขอสับโลหะเช่นกัน ๖.๓ หน้าต่างบานเกล็ดทั้งบาน มีขอรับขอสับโลหะ |
๗. ระเบียง วังพิพิธภักดีมีระเบียงทั้งชั้นที่ ๑ และชั้นที่ ๒ โดยชั้นที่ ๑ ระเบียงและลูกกรงทำด้วยไม้ ส่วนชั้นที่ ๒ พื้นระเบียงปูด้วยซีเมนต์ ลูกกรงระเบียงทำเป็นปูนปั้น |
๘. ฝ่าผนัง ใช้ไม้สักตีเรียงกันตลอดฝาผนัง ต่อมาเจ้าของปัจจุบันได้ทำการตกแต่งใหม่ โดยใช้สีทาฝาผนังใหม่เป็นสีขาว ส่วนกายในใช้สีทาต่างสีในแต่ละห้องมีทั้งสีเขียว สีฟ้า และสีเหลือง |
๙. ช่องแสง เป็นส่วนประกอบด้านบนของประตูและหน้าต่าง ช่องแสงของวังพิพิธภักดีใช้กระจกมัวรูปลี่เหลี่ยมจัตุรัส เพื่อให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาได้บางส่วน |
๑๐. ช่องระบายอากาศ วังพิพิธภักดีมีช่องระบายอากาศทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ๒ ลักษณะ คือ ๑๐.๑ ช่องระบายอากาศเหนือหน้าต่าง เป็นรูปครึ่งวงกลมแกะสลักลายพรรณพฤกษาอย่างสวยงามเหมือนกันทุกช่อง ๑๐.๒ ช่องระบายอากาศใต้หลังคา เป็นช่องระบายอากาศที่ยาวต่อเนื่องกันตลอด แกะสลักเป็นลวดลายพรรณพฤกษาเช่นกัน โดยจัดองค์ประกอบให้มีความต่อเนื่อง มองดูกลมกลืนและสวลวยงาม ช่องระบายกากาศเหล่านี้ช่วยให้แสงสว่างผ่านเข้ามาได้ |
๑๑. หลังคา ลักษณะหลังคาของวังพิพิธภักดีเป็นหลังคาทรงปั้นหยา หรือลีมะ โดยหลังคาทางทิศใต้มีลักษณะผสมสานระหว่างหลังคาทรงปั้นหยากับหน้าจั่ว มีการเจาะหลังคาเป็นหน้าจั่วเล็ก ๆ บนพื้นหลังคา เพื่อเน้นให้เกิดความงดงามและระบายอากาศภายในหลังคาไปด้วย ใช้กระเบื้องชีเมนต์สีแดงมุง หลังคารูปลี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน มีขนาดกว้างและยาว ๒๔ เซนติเมตร ซึ่งมีการเปลี่ยนหลังคาใหม่ในสมัยของคุณอรุณ กิจถาวร เป็นเจ้าของโดยใช้กระเบื้องแบบเดิมทั้งหมด |
เครื่องใช้ภายในวังพิพิธภักดี
ปัจจุบันข้าวของครื่องใช้ภายในวังพิพิธภักดิ์ได้กระจัดกระจาย โดยบางส่วนทางเชื้อสายของวังพิพิธภักดีเดิมนำไปเก็บไว้และบางส่วน ได้มีการขายทอดตลาดไปบ้าง เนื่องจากต้องการเงินมาใช้ ดังนั้นวังพิพิธภักดีใน ปัจจุบันจึงมีแต่ตัววังที่ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของเครื่องใช้ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามวังพิพิธภักดีเคยเป็นที่อยู่อาศัยของพระพิพิธภักดี ซึ่งเป็นหลานเขยของพระยาสายบุรี (พระยาสุริยสุนทรบวรภักดี) และเป็นคนในชนชั้นปกครอง ดังนั้นวังพิพิธภักดีจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางที่ประชาชนทั่วไปให้ความเคารพยกย่องในตัวพระพิพิธภักดี ซึ่งเป็นคนในเชื้อสายเจ้าเมืองยะหริ่ง และมีความสัมพันธ์กับเมืองสายบุรีในฐานะหลานเขย ส่งผลให้ท่านเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในการช่วยราชการของวังพระยาสายบุรี (พระยาสุริยสุนทรบวรภักดี) ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในท้องถิ่น ที่มีเรื่องเดือดร้อนโดยเป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับเจ้าเมืองสายบุรี ประชาชนจึงให้ความเคารพนับถือจนส่งผลดีแก่ท่าน เมื่อท่านลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานี จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งหลายสมัย ประชาชนส่วนหนึ่งของอำเภอสายบุรีถือว่าเป็นฐานเสียงที่สำคัญของท่าน ในขณะเดียวกันวังพิพิธภักดียังสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญทางด้านต่าง ๆ ของอำเภอสายบุรีในอดีตได้เป็นอย่างดี สถาปัตยกรรมของวังซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะตะวันตกและศิลปะชวาย่อมสะท้อนให้เห็นว่าเมืองสายบุรีในอดีตเป็นเมืองท่า ค้าขายกับพ่อค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปด้วยเหตุนี้สถาปัตยกรรมของชาวตะวันตก จึงถูกนำมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมของท้องถิ่นได้อย่างกลมกลืนและสวยงาม กลายเป็นมรดกล้ำค่าทางวัฒนธรรมที่ส่งผลให้ชาวสายบุรีภาคภูมิใจตราบเท่าทุกวันนี้
จุรีรัตน์ บัวแก้ว. (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี). มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี.