วัดสุวรรณคีรี (Wat Suwankhiri)
 
Back    03/01/2018, 10:36    25,739  

หมวดหมู่

สถานที่ทางศาสนา


ประวัติความเป็นมา

       วัดสุวรณคีรีหรือวัดหัวเขาหรือวัดออก (อยู่ทางทิศตะวันออกของวัดบ่อทรัพย์) ตั้งอยู่บนเนินริมทะเลสาบสงขลา ที่บ้านบ่อเตย ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สร้าง ซึ่งชาวบ้านจะเรียกว่าวัดออก เพราะอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดบ่อทรัพย์ วัดสิริวรรณาวาส วัดภูผาเบิก เป็นวัดโบราณวัดหนึ่งคู่บ้านคู่เมืองสงขลา สร้างประมาณปี พ.ศ. ๒๓๗๙ เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนที่ราบหรือภาษาใต้เรียกควน (ภูเขาลูกเล็ก ๆ) หันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่ปากอ่าวทะเลสาบสงขลาและเมืองสงขลาฝั่งบ่อยาง ด้านหน้าวัดมีบ่อน้ำและศาลาแสดงถึงความเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งในอดีดกาลวัดสุวรณคีรีเคยเป็นวัดร้างมาก่อนต่อมาได้รับการบูรณะให้เป็นวัดสำคัญประจำเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน โดยท่านพระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา (พ.ศ. ๒๓๒๘-๒๓๕๔) เมื่อได้รับการบูรณะและสถาปนาขึ้นเป็นวัดหลวง และเป็นสถานที่ที่ถือน้ำสาบานหรือน้ำพิพัฒน์สัตยาของเหล่าข้าราชการบเมืองสงขลา วัดสุวรรณคีรีได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๐  วัดตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลาที่บ้านบ่อเตย ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มีโบราณสถานที่สำคัญ คือพระอุโบสถเพราะภายในอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพเขียนสีที่มีความสวยงามด้วยเส้น และองค์ประกอบไม่แพ้จิตรกรรมที่พระอุโบสถวัดมัชฌิมาวาส (ในปัจจุบันภาพบางส่วนจางและลบเลือนไปบางส่วน) และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทองปางมารวิชัย นอกจากนี้ยังมีหอระฆังตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอุโบสถ เจดีย์หินแบบจีน (ถะ) ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของอุโบสถ และซุ้มใบเสมาสร้างด้วยหินแกรนิตลักษณะศิลปะจีน ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้สวยงาม ตามประวัติการสร้างวัดนั้นพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๕๒๗) ได้แต่งคำโคลงไว้บทหนึ่งว่า.......... 

                                   วัด  ไทธิเบศเจ้า  จอมนรินทร์
                                   สุ    สวรรค์คัลลัยถวิล  สร้างไว้
                                  วรรณ   ประโยชน์เพิ่มภิญ  โญยศ   กันนา
                                 คีรี   ราบล้างลงได้   สร้างเชตุพนถวายฯ                                 

       ตามคำโคลงนี้ทำให้ทราบว่าเจ้าเมืองสงขลาคนใดคนหนึ่งเป็นผู้สร้างวัดสุวรรณคีรี   ถ้าพิจารณาตามชื่อวัดแล้วผู้สร้างก็คือหลวงสุวรรณคีรีสมบัติ (เหยียง ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๑๘-๒๓๒๒) หรือหลวงสุวรรณคีรี (บุญฮุย ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๓๕๕) เพราะใช้นามว่าหลวงสุวรรณคีรีสมบัติ ซึ่งเป็นนามพ้องกันกับวัดมีเพียง ๒ คนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหลักฐานคำจารึกที่พระเจดีย์ (ถะเจดีย์แบบจีน) ที่ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถวัดว่าเจ้าพระยาสงขลา (บุญฮุย ณ สงขลา) เป็นผู้สร้างเจดีย์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๔๐ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๔๑ จึงสามารถสันนิษฐานได้ว่าวัดสุวรรณคีรีสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีตอนปลายหรือกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเมื่อครั้งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จตรวจการณ์คณะสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้กล่าวถึงวัดสุรรณคีรีไว้ว่า

           “วัดสุวรรณคีรีตั้งอยู่บนเชิงเขามีลานขึ้นไปเป็นชั้น ๆ กว้างขวางมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ของก่อสร้างก็เป็นชิ้นเป็นอัน อุโบสถใหญ่และกุฏีก่ออิฐถือปูนหลังคามุงกระเบื้องทั้งนั้นเสียแต่ปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมและปล่อยให้นกเรี้ยว มีพระ ๖ รูปไม่พอจะรักษาได้ทราบว่าอย่างนี้เพราะชาวบ้านไม่นับถือพระครูญาณโมลีรังเกียจในความประพฤติของพระครู ไม่มีใครไปทำบุญและช่วยธุระ บางบ้านถึงไม่ใส่บาตร...”

       วัดสุวรรณคีรีเป็นวัดประจำตระกูล ณ สงขลาและสุวรรณคีรี ได้รับการดูแลบูรณะจากลูกหลานของตระกูล ณ สงขลาตลอดมาและเมื่อย้ายเมืองสงขลาจากท่าแหลมสนมายังตำบลบ่อยางในปี พ.ศ. ๒๓๓๙ วัดสุวรรณคีรีก็ขาดการดูแลทำให้ทรุดโทรมลง จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ จึงได้มีการบูรณะใหม่อีกครั้งโดยพระครูคลิ้ง ธมฺมรกฺขิโต (พันธุอุบล) เจ้าอาวาสรูปที่ ๙ 


ความสำคัญ

       วัดสุวรรณคีรีมีความต่อเนื่องกันในด้านการวางผังและภูมิสถาปัตยกรรม มีการทำกำแพงกันดินด้วยหินภูเขา ใน ๓ ระดับ มีทางเดินและบันไดเชื่อมต่อกันระหว่างวัดปูด้วยกระเบื้องหน้าวัวโบราณ ซึ่งมีลวดลายในเนื้อกระเบื้องอันเป็นเอกลักษณ์กระเบื้องดินเผาเกาะยอนับเป็นตัวอย่าง ที่สำคัญทั้งในด้านสถาปัตยกรรม และภูมิสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจและทรงคุณค่า พระอุโบสถมีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่งดงาม มีเจดีย์ก่ออิฐฉาบปูนตกแต่งด้วยปูนปั้นศิลปะอิทธิพลตะวันตก เจดีย์จีนทำด้วยหินแกรนิต หอระฆัง ซุ้มเสมาประดับด้วยปูนปั้นละเอียดงดงาม อีกทั้งองค์ประกอบทางภูมิสถาปัตยกรรมนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง วัดสุวรรณคีรีหรือวัดออกเป็นวัดที่ใช้ทำพิธีถือน้ำสาบานหรือน้ำพิพัฒน์สัตยาอธิษฐานของบรรดาเหล่าข้าราชการเมืองสงขลาในช่วงปี พ.ศ. ๒๓๗๙ หรือในช่วงที่เมืองสงขลาตั้งอยู่ที่ท่าแหลมสนการที่ชาวบ้านเรียกวัดแห่งนี้ว่า "วัดออก" มาจากตัววัดสุวรรณคีรีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัดบ่อทรัพย์ วัดภูผาเบิก และวัดสิริวรรณาวาส วัดสร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จฯพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.๑) พระยาวิเชียรคีรีเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๖ เคยอธิบายถึงผู้สร้างวัดแห่งนี้ผ่านโคลงกลอนบทหนึ่งซึ่งทำให้ทราบว่าวัดสุวรรณคีรี สร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองสงขลาคนใดคนหนึ่งระหว่างหลวงสุวรรณคีรีสมบัติ(เหยียง ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๑ (พ.ศ. ๒๓๑๙-๒๓๒๒) หรือหลวงสุวรรณคีรี (บุญฮุย ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๒๒-๒๓๕๕) เป็นวัดสำคัญประจำเมืองสงขลาฝั่งแหลมสน ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพเขียนสีที่เขียนที่สวยงามและทรงคุณค่ายิ่ง (ปัจจุบันภาพส่วนมากลบเลือนไปตามกาล) อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีหอระฆัง และเจดีย์หินสถาปัตยกรรมแบบจีน (ถะ) ตั้งอยู่บริเวณรอบพระอุโบสถ สำหรับหอระฆังของวัดสุวรรณคีรีทางกรมศิลปากรได้ให้ข้อมูล ไว้ว่าหอระฆังด้านหน้าพระอุโบสถเป็นตัวอาคารที่ก่อด้วยปูน มีทั้งหมดสองชั้นชั้นล่างก่อทึบ ชั้นบนก่อโปร่ง มีการเจาะช่องหน้าต่างเป็นรูปวงรีทั้งสี่ด้าน ภายในแขวนระฆัง อาคารดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงศิลปะที่รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่น การทำซุ้มประตูอาร์ตโค้งที่ชั้นล่างซุ้มหน้าต่างทรงรูปไข่ที่ชั้นบน ซึ่งเป็นอิทธิพลของตะวันตกในช่วงปลายของรัชกาลที่ ๓ ส่วนเจดีย์หินหรือถะศิลาด้านหน้าอุโบสถ มีลักษณะสำคัญคือด้านล่างเป็นฐานเขียง รองรับส่วนกลางซึ่งมีรูปทรงเหมือนอาคาร ๖ ชั้น และอยู่ในผัง ๘ เหลี่ยม ด้านบนสุดประดับปล้องไฉน ทั้งนี้ถะคือสถูปทรงอาคารซึ่งเป็นศิลปะแบบเฉพาะของชาวจีน ที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ราชวงศ์ซ่ง ในชั้นที่ ๒ ปรากฏจารึกภาษาจีนอ่านว่า "เจียงชิ่งซื่อเหนียน" แปลว่าปีที่ ๔ แห่งรัชสมัยพระเจ้าเจียชิ่ง อยู่ในปี พ.ศ. ๒๓๔๒ ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ ๑ ของไทย โบราณสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเจดีย์หน้าวัดสุวรรณคีรี เจดีย์แห่งนี้ชาวบ้านล่ำลือกันว่าหินที่ล้อมรอบเจดีย์องค์นี้งอกขึ้นมาเอง ต่อมาพระและชาวบ้านได้ช่วยกันบูรณะใหม่มีการทาสีให้ดูสวยงาม รอบ ๆ ฐานพระเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ มีรูปพระสาวกปูนปั้นนูนต่ำประนมมืออยู่ภายในวงกลม


โบราณสถาน/โบราณวัตถุ

พระอุโบสถ

       พระอุโบสถวัดวุวรรณคีรีตั้งอยู่บนลานที่สูงกว่าพื้นที่โดยรอบ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีช่องประตูหน้า ๒ ช่อง ตรงกลางมีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพร มีหน้าต่าง ๗ ช่อง มีบันไดทางขึ้น ๔ ด้านแต่ละบันไดมีรูปสิงโตจำหลักหิน ๒ ตัว รวมเป็น ๘ ตัว อยู่ตรงด้านยาวของอาคารทั้ง ๒ ด้านทั้งด้านหน้าและด้านหลัง  ชั้นฐานประกอบด้วยหน้ากระดาษ ๑ ชั้น สำหรัคบเสาพาไลในปัจจุบันได้บูรณะใหม่ทั้งหมดโดยใช้และคานเสริมเหล็ก แทนเสาและผนังอิฐแบบของเดิม ตัวอุโบสถก่อด้วยอิฐถือปูน ขนาดกว้างประมาณ ๘.๒๕ เมตร ยาว ๑๕.๙๐ เมตร อุโบสถมีประตู ๔ ประตู ด้านหน้า ๒ ประตู ด้านหลัง ๒ ประตู ด้านหน้ามีตุ๊กตาจีนเฝ้า ๒ ตัว หน้าบันทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีลวดลายปูนปั้นรูปดอกไม้และสัตว์ป่า เช่น กระจง กระรอก และ ประดับด้วยเครื่องถ้วยเครื่องชามจีนอย่างสวยงาม ภายในอุโบสถมีเสาสี่เหลี่ยมรองรับหลังคา ๒ แถว แถวละ ๖ ต้น บัวหัวเสาเป็นรูปบัวเหลี่ยมแบบศิลปะโคธิคของชาติตะวันตก สำหรับพระประธานก่อด้วยอิฐถือปูนลงรักปิดทองปางมารวิชัยขนาดใหญ่จำนวน ๓ องค์ มีรูปพระสาวกพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ซ้ายขวาตามลำดับ ด้านหน้าพระประธานมีพระพุทะรูปอีกหลายองค์ เช่น พระพุทธรูปบุเงินปางอุ้มบาตร ๑ องค์ พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ปางห้ามสมุทร ปางห้ามมาร พระพุทธรูปหินอ่อนศิลปะพม่า ๒ องค์ และพระพุทธรูปจำหลักไม้ฝีมือช่างท้องถิ่นจำนวนมาก ฝาผนังอุโบสถทั้ง ๔ ด้าน สมัยก่อนมีจิตรกรรมฝาผนังตอนล่างเป็นเรื่องทศชาติ ตอนบนเป็นเรื่องพุทธประวัติแต่น่าเสียดายว่าปัจจุบันจิตรกรรมฝาผนังถูกน้ำฝนลบเลือนเกือบหมดแล้ว เหลือเพาะผนังด้านหลังพระประธานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเขียนเป็นภาพสวรรค์ชั้นต่าง ๆ วิมานปราสาทนางฟ้าเทพบุตรลอยอยู่ตามหมู่เมฆ เรียงเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป จนชั้นสูงสุดเป็นภาพปราสาทใหญ่ พระอุโบสถของวัดสุวรรณคีรีเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ทั้งส่วนผนังและหน้ายันกรอบ หน้าบันลดรูปไม่มีการประดับช่อฟ้า ในระกาและหางหงส์ กลางหน้าบันเป็นงานปูนปั้นลายพันธุ์พฤกษาสลับดอกไม้โดยเกสรของดอกไม้แต่ละดอกแทนด้วยภาชนะเครี่องเคลือบทั้งนี้การประดับหน้าบันและฝังภาชนะกระเบื้องเคลือบ เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอยุธยาตอนปลาย และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น นอกจากนี้ลักษณะของประตูและหน้าต่างของอุโบสถสร้างแบบเรียบง่ายไม่มีการประดับสิ่งใด ๆ ส่วนด้านนอกอุโบสถมีการประดับด้วยซุ้มเสมาสร้างด้วยหินแกรนิต ลักษณะศิลปะแบบจีน ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูปดอกไม้ ภายในเป็นเสมาหินแกรนิตแบบเสมาคู่ปักอยู่ซุ้มใบเสมาทั้งแปดทิศ ซึ่งเป็นพุทธศิลป์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้านหน้าประตูทางเข้าของอุโบสถมีการประดิษฐานประติมากรรมศิลารูปทหารจีน ทั้งนี้น่าสังเกตว่าเนื้อศิลามีสำดำสลับเทาและขาว ฝีมือช่างแกะสลักริ้วผ้าค่อนข้าวเป็นลอนคลื่น แต่ไม่ค่อยแกะสลักลวดลายรายละเอียดมากนัก ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงงานประติมากรรมศิลาในมณฑลฝูเจี้ยน ทั้งนี้ประติมากรรมจากแหล่งดังกล่าวน่าจะเป็นที่นิยมเพราะปรากฏในวัดอื่น ๆ ด้วย เช่น วัดมัชฌิมาวาส เป็นต้น ประติมากรรมรูปบุคคลดังกล่าวแต่งชุดทหารจีนหน้าตาถมึงทึงและถือดาบเป็นอาวุธ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงส่วนด้ามเท่านั้น ทั้งนี้เทพเจ้าจีนที่แต่งชุดทหารและถืออาวุธมีอยู่หลายองค์อาจหมายถึงฉินซูเป่า และหยู่ฉือจิ้งเต๋อ ซึ่งเป็นเทพประตูที่นิยมในหมู่ชาวจีนก็เป็นได้  

พระอุโบสถประดิษฐานอยู่บนเนินเขาสูง

พระประธานในพระอุโบสถ

       ด้านหน้าประตูทางเข้าของอุโบสถมีการประดิษฐานประติมากรรมศิลารูปทหารจีน ทั้งนี้น่าสังเกตว่าเนื้อศิลามีสำดำสลับเทาและขาว ฝีมือช่างแกะสลักริ้วผ้าค่อนข้าวเป็นลอนคลื่น แต่ไม่ค่อยแกะสลักลวดลายรายละเอียดมากนักลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงงานประติมากรรมศิลาในมณฑลฝูเจี้ยน ทั้งนี้ประติมากรรมจากแหล่งดังกล่าวน่าจะเป็นที่นิยม เพราะปรากฏในวัดแห่งอื่นด้วย เช่น วัดมัชฌิมาวาส เป็นต้น ประติมากรรมรูปบุคลดังกล่าว แต่ชุดทหารจีน หน้าตาถมึงทึง และถือดาบเป็นอาวุธซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงส่วนด้ามเท่านั้น ทั้งนี้เทพเจ้าจีนที่แต่งชุดทหารและถืออาวุธมีอยู่หลายองค์อาจหมายถึง ฉินซูเป่า และหยู่ฉือจิ้งเต๋อ ซึ่งเป็นเทพประตูที่นิยมในหมู่ชาวจีน

นนทรีหรือตุ๊กตาศิลา (นักรบจีน)

จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ

      จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถเป็นภาพเขียนสีฝุ่นมีรองพื้น ฝีมือช่างหลวง ภาพเดิมชำรุดเหลืออยู่เพียงส่วนน้อย กรมศิลปากรได้ทำการซ่อมและบูรณะ ซึ่งร่องรอยของจิตรกรรมเดิมเห็นจะได้ว่าเป็นจิตรกรรมที่สวยงามด้วยเส้น สี และองค์ประกอบซึ่งสวยงามอย่างยิ่ง นับเป็นฝีมือของช่างชี้นครู เนื้อเรื่องที่เขียนเป็นภาพพุทธประวัติ ไตรภูมิและทศชาติชาดก มีพื้นที่เขียนภาพประมาณ ๗ ตารางเมตร โดยเขียนภาพสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วมีแม่น้ำไหลออกจากปากราชสีห์ วัว ม้าและช้างไว้ตอนบน ตอนล่างเป็นภาพพระมาลัยโปรดสัตว์นรก อยู่บนผนังด้านหลังพระประธาน ผนังด้านหน้าพระประธานเป็นภาพมารผจญ ด้านข้างเป็นภาพทศชาติชาดก ตอนบนเหนือกรอบหน้าต่่างเขียนภาพพุทธประวัติ และบนเพดานเขียนลายดาวทองบนพื้นรักแดง ซึ่งสวยงามและมีคุณค่าอย่างยิ่ง

เจดีย์หินแบบจีน

      เจดีย์หินแบบจีน (ถะ) ตั้งอยู่บริเวณลานด้านหน้าของอุโบสถเป็นเจดีย์หินแกรนิต รูปทรงหกเหลี่ยมมี ๗ ชั้น มีคำจารึกภาษาจีนและภาษาไทยในชั้นที่ ๓ ของเจดีย์ว่า “กระหม่อมฉันเจ้าพระยาสงขลา (บุญฮุย) น้อมเกล้าถวายไว้ก่อสร้างปีมะเส็งสำเร็จปีมะเมีย วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๓๔๑” ซึ่งคล้ายกับเจดีย์ที่วัดมัชฌิมาวาสแต่ในวัดสุวรรณคีรีมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างคือด้านล่างเป็นฐานเขียงรองรับส่วนกลาง ซึ่งมีรูปทรงเหมือนอาคารซ้อนชั้นโดยมีทั้งหมด ๖ ชั้น และอยู่ในผังแปดเหลี่ยมด้านบนสุดประดับปล้องไฉน ทั้งนี้ถะคือสถูปทรงอาคารซึ่งเป็นแบบเฉพาะที่ชาวจีนพัฒนาขึ้นมาโดยมีทั้งทรงสี่เหลี่ยมและทรงแปดเหลี่ยมโดยตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งลงมาปรากฏแต่ถะทรงแปดเหลี่ยมเท่านั้น ที่ชั้นที่สองของส่วนกลางปรากฏจารึกภาษาจีน โดยด้านหนึ่งอ่านว่า “เจียงชิ่งซื่อเหนียน” แปลว่าปีที่สี่แห่งรัชสมัยพระเจ้าเจียชิ่ง ซึ่งอยู่ในปี พ.ศ. ๒๓๔๒ อันตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๑ หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าถะองค์นี้สร้างขึ้นในสมัยดังกล่าว อย่างไรก็ตามเชื่อว่าถะองค์นี้คงแกะสลักและนำเข้ามาจากเมืองจีนทั้งนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นชาวสยามมีความนิยมนำเข้าประติมากรรมศิลาจากเมืองจีนเป็นจำนวนมาก

เจดีย์หินแบบจีน (ถะ)

เจดีย์ทอง

       เจดีย์ทองที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าของวัดเป็นเจดีย์ที่ก่ออิฐถือปูน ฐานเจดีย์เป็นรูปทรงกระบอกและมีก้อนหินใหญ่ประดับฐานรอบฐานทั้ง ๔ ทิศ (เล่ากันว่าหินเหล่านี้งอกขึ้นมาเอง) และมีรูปพระสาวกปูนปั้นนูนต่ำนั่งประนมมืออยู่ภายในวงกลม องค์เจดีย์เป็นระฆังแบบโอคว่ำมีลวดลายเป็นปูนปั้นรูปพวงดอกไม้ประดับรอบองค์ซึ่งเป็นอิทธิพลจากศิลปะจีนสมัยรัตนโกสินทร์

   ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของหอระฆังซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีทั้งหมดสองชั้น ชั้นล่างก่อทึบ ส่วนชั้นบนก่อโปร่ง มีการเจาะช่องหน้าต่างรูปวงรีทั้ง ๔ ด้าน ภายในแขวนระฆังไว้ อาคารดังกล่าวสะท้อนลักษณะศิลปะตะวันตกหลาย ๆ ประการ  เช่น การทำซุ้มประตูอารค์โค้งที่ชั้นล่าง ซุ้มหน้าต่างทรงรูปไข่ที่ชั้นบน รวมไปถึงลักษณะเสาหลอกที่ชวนให้นึกถึงระเบียบแบบตะวันตก ทั้งนี้อิทธิพลตะวันตกเริ่มเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๓ และชัดเจนขึ้นในสมัยถัดมา ดังนั้นจึงพอกำหนดอายุหอระฆังดังกล่าวว่าไม่เก่าไปกว่ารัชกาลที่ ๓

    หอระฆังของวัดสุวรรณคีรี เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน มีทั้งหมดสองชั้น ชั้นล่างก่อทึบ ส่วนชั้นบนก่อโปร่ง มีการเจาะช่องหน้าต่างรูปวงรีทั้งสี่ด้าน ภายในแขวนระฆัง อาคารดังกล่าวสะท้อนลักษณะศิลปะตะวันตกหลายประการ เช่น การทำซู้มประตูอารค์โค้งที่ชั้นล่าง ซุ้มหน้าต่างทรงรูปไข่ที่ชั้นบน รวมไปถึงลักษณะเสาหลอกที่ชวนให้นึกถึงระเบียบแบบตะวันตก ทั้งนี้อิทธิพลตะวันตกเริ่มเข้ามาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๓ และชัดเจนขึ้นในสมัยถัดมา ดังนั้นจึงพอกำหนดอายุหอระฆังดังกล่าวว่าไม่เก่าไปกว่ารัชกาลที่ ๓


ปูชนียวัตถุ

สมเด็จเจ้าเกาะยอ

     สมเด็จเจ้าเกาะยอ หรือพระราชมุนีเขากุดเป็นชาวบ้านพรุ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หรือที่ชาวบ้านเกาะยอเรียกว่า "พ่อท่านสมเด็จเจ้าเกาะยอ" เป็นพระชั้นสมเด็จที่เดินทางมากับสมเด็จเจ้าพะโค๊ะ และสมเด็จเจ้าจอมทอง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าพระสามเกลอ ทางภาคใต้ ทั้ง ๓ องค์ซึ่งท่านได้เดินทางเทศนาธรรมมาเรื่อย ๆ และมาอยู่กันคนละแห่งละที่ คือสมเด็จเจ้าพะโค๊ะอยู่ที่วัดพะโค๊ะ, สมเด็จเจ้าจอมทองมาอยู่ที่วัดเกาะใหญ่ และสมเด็จเจ้าเกาะยออยู่ที่เขากุฏเกาะยอ ซึ่งทุกปีในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปีลูกหลานชาวเกาะยอจะประกอบพิธีกรรมและขึ้นเขากุฏ เพื่อสักการและหม่ผ้าเจดีย์สมเด็จเจ้าเกาะยอ ในขณะบางคนที่เคยบนบานสานกล่าวใว้ก็จะนำของไปแก้บนกันในวันนั้น ส่วนลูกหลานสมเด็จเจ้าเกาะยอที่อยู่ไกล ๆ ก็ตั้งจิตภาวนาถึงสมเด็จเจ้าเกาะยอให้สมเด็จเจ้าเกาะยอคุ้มครองป้องกันภัยให้ลูกหลานทุก ๆ คน

    สมเด็จเจ้าเกาะยอถือกำเนิดสมัยกรุงศรีอยุธยาเดิมชื่อขาว เพราะสมัยแรกเกิดที่ฝ่ามือด้านขวาของท่านเป็นรูปดอกบัวสีขาว เมื่ออายุ ๒๐ ปี บิดานำไปฝากไว้กับสมภารอ่ำวัดต้นปาบ ตำบลบ้านพรุ เพื่อให้บวชเรียนจนสามารถจดจำคำขออุปสมบทได้หมด จึงได้อุปสมบท ณ วัดต้นปาบ เมื่อศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉานได้ร่ำลาสมภารอ่ำไปออกธุดงค์และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสุวรรณคีรี ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา อยู่ ๖ พรรษา ต่อจากนั้นเดินทางธุดงค์ไปจำพรรษาที่วัดบางโหนด (บ้านบางลึก ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา) เมื่อออกพรรษาแล้วได้เดินธุดงค์ไปเมืองสทิงพระ (อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา) ที่นี่ท่านได้พบกับสมเด็จเจ้าพะโคะและได้สนทนาธรรมกันจนเป็นที่ชอบพออัธยาศัย  ในระหว่างการสนทนาธรรมสมเด็จเจ้าเกาะยอ ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าถ้าหากท่านกับสมเด็จเจ้าพะโคะได้เคยสร้างบารมีร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ขอให้ท่านเห็นสมเด็จเจ้าพะโคะนั่งอยู่บนพรมสีแดงปรากฏว่าท่านเห็นสมเด็จเจ้าพะโคะนั่งอยู่บนพรมสีแดงจริงหลังจากนั้น สมเด็จเจ้าเกาะยอและสมเด็จเจ้าพะโคะ ได้ออกเดินทางธุดงค์ไปด้วยกันจนไปพบสมเด็จเจ้าเกาะใหญ่ ได้สนทนาธรรมจนเป็นที่ชอบพอกันแล้ว สมเด็จเจ้าเกาะยอได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากสมเด็จเจ้าเกาะใหญ่เคยสร้างสมบารมีมาด้วยกันในชาติปางก่อน ขอให้ท่านเห็นเจ้าเกาะใหญ่ยืนอยู่บนพรมสีเหลือง ปรากฏว่าท่านก็ได้เห็นสมเด็จเจ้าเกาะใหญ่ยืนอยู่บนพรมสีเหลืองจริง ๆ เมื่อแยกย้ายกันกลับสมเด็จเจ้าเกาะยอได้ขึ้นฝั่งที่บ้านแหลมพ้อ ตำบลเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ปักกลดจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๗ เดือน จึงได้เดินทางไปเยี่ยมโยมบิดามารดาที่บ้านพรุ โดยจำพรรษาที่วัดต้นปาบ ระหว่างจำพรรษาท่านได้เหยียบรอยเท้าไว้ต่อมาชาวบ้านได้เรียกชื่อวัดต้นปาบว่า “วัดพระบาทบ้านพรุ” สมเด็จเจ้าเกาะยอเดินทางกลับเกาะยออีกครั้ง ครั้งนี้ได้ขึ้นไปปักกลดจำพรรษาอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง ในค่ำคืนหนึ่งขณะที่ท่านได้นั่งสมาธิอยู่นั้นเกิดนิมิตเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลอยลงมายังยอดเขา โดยตรัสทำนายว่าต่อไปบนยอดเขาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตถาคตเจ้าขอให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี้ และให้สร้างรูปเหมือนจำลองตถาคตประดิษฐานไว้บนยอดเขาลูกนี้ด้วย และให้ทำพิธีสักการะบูชาในวันวิสาขบูชา วันเพ็ญเดือน ๖ ของทุกปี ให้ตั้งชื่อเขาลูกนี้ว่าเขากุด หลังจากนั้นสมเด็จเจ้าเกาะยอได้สรางพระพุทธรูปจำลองแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้บนยอดเขาท่านได้จำพรรษาอยู่บนยอดเขาเป็นเวลานาน ได้ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองและประชาชนบริเวณเกาะยอให้ความเคารพบูชามาก สมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงเห็นว่าสมเด็จเจ้าเกาะยอเป็นผู้มีบุญญาธิการสูง จึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานสมณศักดิ์ที่พระราชมุนีเขากุด ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าสมเด็จเจ้าเกาะยอ หรือสมเด็จเจ้าเขากุด เมื่อมรณภาพแล้ว ชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างสถูปเจดีย์ก่อด้วยอิฐถือปูนเก็บอัฐิธาตุของท่าน ไว้บนยอดเขากุดในบริเวณที่ประดิษฐานพระพุทธรูปจำลองปรากฏหลักฐานอยู่จนถึงทุกวันนี้ 

ศาลาประดิษฐานสมเด็จเจ้าเกาะยอ


ปูชนียบุคคล

เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี   

       วัดสุวรรณคีรีมีเจ้าอาวาสปกครองดูแลที่พอประมวลได้จำนวน  ๙  รูป ประกอบด้วย

  • พระปลัดนก
  • พระครูญาณโมลี (เรื่อง)
  • พระครูญาณโมลี (เอียด)
  • พระปลัดมี ปญิญาพโล
  • พระเลือน ปานงฺกโร
  • พระอ่ำ จนฺทนิโก
  • พระกิ้มอิ้น ติสฺสโร
  • พระแสง
  • พระอธิการคลิ้ง ธมฺมรกฺขิโต
  • พระอาจารย์พระอธิการมงคล ปญฺญาวุโฑ

      สำหรับในที่นี้จะขอกล่าวจะเฉพาะบทบาทขอพระอธิการคลิ้ง ธมฺมรกฺขิโต เจ้าอาวาสรูปที่ ๙ พอเป็นสังเขป ดังที่กล่าวในเบื้องต้นแล้วว่าวัดสุวรรณคีรีเป็นวัดประจำตระกูล ณ สงขลาและสุวรรณคีรีวัดจึงได้รับการดูแลปฏิสังขรณ์ตลอดมา แต่เมื่อมีการย้ายเมืองสงขลาจากฝั่งแหลมสนมายังตำบลบ่อยาง (ตัวเมืองสงขลาในปัจจุบัน) วัดสุวรรณคีรีก็ได้ชำรุดทรุดโทรมลงมากเพราะการดูแล จนกระทั่งปี พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ ก็ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่อีกครั้งโดยพระอธิการคลิ้ง ธมฺมรกฺขิโต (พันธุอุบล) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ ๙ ในการบูรณะได้จัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาทุนทรัพย์สำหรับการจัดสร้างวัตถุมงคลที่น่าสนใจของวัดโดยเฉพาะพระเนื้อว่านหลวงพ่อทวดปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ โดยที่พระอธิการคลิ้งได้ดำริให้จัดสร้างแบบเหรียญทั้งสิ้นจำนวน ๗๘,๐๐๐ องค์ พระบูชา ๔๓๓ องค์ กำหนดพิธีการจัดสร้างโดยได้อัญเชิญดวงวิญญาณของสมเด็จเจ้าราชมุณีเขากุดเกาะยอ (หลวงพ่อทวดเขากุด) ทำพิธี ๗ วัน ๗ คืน โดยอารธนานิมนต์พระเกจอาจารย์ ๑๐๘ รูป อาทิ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ แห่งวัดสวนขัน พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย อาจารย์วัน วัดปากพะยูน พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ หลวงพ่อช่วง วัดกลาง เป็นต้น สำหรับมวลสารที่นำมาประกอบพิธีเป็นไปตามสูตรว่าน ๑๐๘ ชนิด ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ปัจจุบันหาได้ยากมาก 

หรียญสมเด็จเจ้าราชมุณีเขากุดเกาะยอ ปี ๒๕๐๕


ข้อมูลพื้นฐาน
ชื่อ/สถานที่/เรื่อง
วัดสุวรรณคีรี (Wat Suwankhiri)
ที่อยู่
เลขที่ ๑๕๑ หมู่ที่ ๒ ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา
จังหวัด
สงขลา
ละติจูด
7.19505
ลองจิจูด
100.5784143



วีดิทัศน์

บรรณานุกรม

ปรุงศรี วัลลิโภดม และคณะ (บรรณาธิการ). (2545).  วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดสงขลา. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร.

พรทิพย์ พันธุโกวิท, ศิริพร สังข์หิรัญ และธนิสรา พุ่มผะกา. (2555). ทำเนียบนามแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้  (โบราณสถานในจังหวัด

        สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล). พิมพ์ครั้งแรก. กรุงเทพฯ : บางกอกอินเฮ้าส.

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (2537). สงขลา ถิ่นวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ.

หาดใหญ่โฟกัส. (2560).  วัดสุวรรณคีรี : วัดโบราณคู่เมืองสงขลา. สืบค้นวันที่ 11 ม.ค. 61, จาก https://www.hatyaifocus.com/บทความ/521-เรื่องราวหาดใหญ่

        -วัดสุวรรณคีรี-%7C-วัดโบราณคู่เมืองสงขลา/

อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ มหาอำมาตย์เอกเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ป.จ., ม.ป.ช.ม.ว. ม.ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส

         วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2519. (2519). กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. 

 


รูปภาพ
 
      Font Size  
Back to Top
Khunying Long Athakravisunthorn Learning Resources Center
Prince of Songkhla University ©2018-2024